เมนู

กลหวิวาทสูตรที่ 11


ว่าด้วยเหตุเกิดจากของที่รักเป็นต้น


พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
[418] ความทะเลาะ, ความวิวาท,
ความร่ำไร, ความเศร้าโศก, กับทั้งความ
ตระหนี่, ความถือตัว, ความดูหมิ่นผู้อื่น,
และทั้งคำส่อเสียด, เกิดจากอะไร ธรรม
เครื่องเศร้าหมองเหล่านั้น เกิดจากอะไร
ขอเชิญพระองค์ จงตรัสบอกเนื้อความที่
ข้าพระองค์ถามนั้นเถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ความทะเลาะ, ความวิวาท ความ
ร่ำไร, ความเศร้าโศก กับทั้งความตระหนี่,
ความถือตัว, ความดูหมิ่นผู้อื่น และทั้งคำ
ส่อเสียด, ต่างเกิดจากของที่รัก, ความทะ-
เลาะ ความวิวาท ต่างประกอบด้วยความ
ตระหนี่, เมื่อความวิวาทเกิดแล้ว คำส่อ-
เสียดย่อมเกิด.

พระพุทธนิมิตตรัสถามต่อไปว่า

ความรักในโลกเล่ามีอะไรเป็นเหตุ
แม้อนึ่ง ชนเหล่าใดมีกษัตริย์เป็นต้น มี
ความโลภ เที่ยวไปในโลก ความโลภของ
ชนมีกษัตริย์เป็นต้นเหล่านั้น มีอะไรเป็น
เหตุ ความหวังและความสำเร็จของนรชน
ซึ่งมีในสัมปรายภพ มีอะไรเป็นเหตุ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ความรักในโลกมีความพอใจเป็นเหตุ
แม้อนึ่ง ชนเหล่าใดมีกษัตริย์เป็นต้น มี
ความโลภเที่ยวไปในโลก ความโลภของชน
มีกษัตริย์เป็นต้นเหล่านั้น มีความพอใจเป็น
เหตุ ความหวังและความสำเร็จของนรชน
ซึ่งมีในสัมปรายภพ มีความพอใจนี้เป็นเหตุ.

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
ความพอใจในโลกเล่ามีอะไรเป็นเหตุ
แม้การวินิจฉัย คือตัณหาและทิฏฐิก็ดี ความ
โกรธ โทษแห่งการกล่าวมุสา และความ
สงสัยก็ดี ที่พระสมณะตรัสแล้ว เกิดจาก
อะไร.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า

บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวสุขเวทนาและ
ทุกขเวทนาใดว่า เป็นความยินดีและความ
ไม่ยินดีในโลก ความพอใจย่อมเกิด เพราะ
อาศัยสุขเวทนาและทุกขเวทนา สัตว์ในโลก
เห็นความเสื่อมไปและความเกิดขึ้นในรูปทั้ง
หลายแล้ว ย่อมกระทำการวินิจฉัย.
ความโกรธ โทษแห่งการกล่าวมุสา
และความสงสัยธรรมแม้เหล่านี้ เมื่อความ
ยินดีและความไม่ยินดีทั้งสองอย่างนั่นแหละ
มีอยู่ ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ บุคคลผู้มีความสงสัย
พึงศึกษาเพื่อทางแห่งญาณ ท่านผู้เป็นสมณะ
รู้แล้ว จึงกล่าวธรรมทั้งหลาย.

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
ความยินดีและความไม่ยินดี มีอะไร
เป็นเหตุ เมื่อธรรมอะไรไม่มี ธรรมเหล่านี้
จึงไม่มี ขอพระองค์จงตรัสบอกอรรถ คือ
ทั้งความเสื่อมไปและทั้งความเกิดขึ้น (แห่ง
ความยินดีและความไม่ยินดี) นี่ว่า มีสิ่งใด
เป็นเหตุ แก่ข้าพระองค์เถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า

ความยินดี ความไม่ยินดี มีผัสสะ
เป็นเหตุ เมื่อผัสสะไม่มี ธรรมเหล่านี้จึงไม่มี
เราขอบอกอรรถ คือ ทั้งความเสื่อมไป และ
ทั้งความเกิดขึ้นนี้ว่า มีผัสสะนี้เป็นเหตุ แก่
ท่าน.

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
ผัสสะในโลกเล่า มีอะไรเป็นเหตุ
อนึ่ง ความหวงแหนเกิดจากอะไร เมื่อธรรม
อะไรไม่มี ความถือว่าสิ่งนี้เป็นของเราจึงไม่มี
เมื่อธรรมอะไรไม่มี ผัสสะ จึงไม่ถูกต้อง.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ผัสสะ อาศัยนามและรูปจึงเกิดขึ้น
ความหวงแหน มีความปรารถนาเป็นเหตุ
เมื่อความปรารถนาไม่มี ความถือว่า สิ่งนี้
เป็นของเราจึงไม่มี เมื่อรูปไม่มี ผัสสะจึง
ไม่ถูกต้อง.

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
เมื่อบุคคลปฏิบัติอย่างไร รูปจึงไม่มี
อนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี อย่างไรจึงไม่มี ขอ
พระองค์โปรดตรัสบอกอาการที่รูปและสุข

ทุกข์นี้ไม่มีแก่พระองค์เถิด ข้าพระองค์มีใจ
ดำริว่า เราควรรู้ความข้อนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
บุคคลเป็นผู้ไม่มีสัญญาเป็นปกติ
เป็นผู้ไม่มีสัญญาด้วยสัญญาอันผิดปกติ
เป็นผู้ไม่มีสัญญาก็มิใช่ เป็นผู้มีสัญญาว่าไม่มี
ก็มิใช่ เมื่อบุคคลปฏิบัติแล้วอย่างนี้ รูปจึง
ไม่มี เพราะว่าธรรมเป็นส่วนแห่งความเนิ่น
ช้า มีสัญญาเป็นเหตุ.

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
ข้าพระองค์ได้ถามความข้อใดกะ
พระองค์ พระองค์ก็ได้ทรงแสดงความข้อ
นั้นแก่ข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ขอถาม
ความข้ออื่นกะพระองค์ ขอเชิญพระองค์
ตรัสบอกความข้อนั้นเถิด.
ก็สมณพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตพวก
หนึ่งในโลกนี้ ย่อมกล่าวความบริสุทธิ์ของ
สัตว์ว่าเป็นยอดด้วยเหตุเพียงเท่านี้ หรือว่า
ย่อมกล่าวความบริสุทธิ์อย่างอื่นอันยิ่งไปกว่า
รูปสมาบัตินี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า

ก็สมณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่าเที่ยง
พวกหนึ่ง (มีความถือตัวว่า) เป็นบัณฑิต
ในโลกนี้ ย่อมกล่าวอรูปสมาบัตินี้ว่า เป็น
ความบริสุทธิ์ของสัตว์แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้
มณพราหมณ์ผู้มีวาทะว่าขาดสูญพวกหนึ่ง
เป็นผู้มีวาทะว่าตนเป็นคนฉลาดในอนุปาทิ-
เสสนิพพาน ย่อมโต้เถียงสมณพราหมณ์ผู้มี
วาทะว่าเที่ยงเหล่านั้น.
ส่วนท่านผู้เป็นมุนี รู้บุคคลเจ้าทิฏฐิ
เหล่านั้นว่า เป็นผู้อาศัยสัสสตทิฏฐิและอุจ-
เฉททิฏฐิ ท่านผู้เป็นมุนีนั้นเป็นนักปราชญ์
พิจารณารู้ผู้อาศัยทิฏฐิทั้งหลายแล้ว รู้ธรรม
โดยลักษณะมีความไม่เที่ยงและเป็นทุกข์เป็น
ต้น หลุดพ้นแล้ว ย่อมไม่ทะเลาะวิวาทกับ
ใคร ย่อมไม่มาเพื่อความเกิดในภพน้อยใหญ่

จบกลหวิวาทสูตรที่ 11

อรรถกถากลหวิวาทสูตรที่ 11


กลหวิวาทสูตร

มีคำเริ่มต้นว่า กุโต ปหูตา กลหา วิวาทา
ความทะเลาะ ความวิวาท เกิดจากอะไร ดังนี้เป็นต้น.
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ?
ในมหาสมัยนั้นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระสูตรแม้นี้ เพื่อทรง
ทำให้แจ้งถึงธรรมเหล่านั้นแก่เทวดาบางพวกผู้มีจิตเกิดขึ้นว่า ธรรมทั้งหลาย 8
ประการมีการทะเลาะกันเป็นต้นเกิดแต่เหตุไรหนอ จึงให้พระพุทธนิมิตตรัส
ถามพระองค์โดยนัยก่อนนั่นแล.
ในพระสูตรนั้นคาถาทั้งหมดมีการเชื่อมความปรากฏชัดแล้ว เพราะอยู่
ตามลำดับของการถามและการตอบ. แต่พึงทราบถึงการพรรณนาบทที่ยากของ
คาถาเหล่านั้นดังต่อไปนี้. บทว่า กุโต ปหูตา กลหา วิวาทา ได้แก่ธรรม
เครื่องเศร้าหมองเหล่านี้ คือ ความทะเลาะและความวิวาทอันเป็นเบื้องต้นของ
ความทะเลาะนั้นเกิดจากอะไร. บทว่า ปริเทวโสกา สหมจฺฉรา จ คือ
ความร่ำไร ความเศร้าโศก พร้อมกับความตระหนี่เกิดจากอะไร. บทว่า
มานาติมานา สหเปสุณา จ คือความถือตัว ความดูหมิ่นพร้อมด้วยคำ
ส่อเสียดเกิดจากไหน. บทว่า เต ได้แก่ ธรรมคือกิเลส 8 อย่าง แม้
ทั้งหมดเหล่านั้น. บทว่า ตทิงฺฆ พฺรูหิ คือ ขอพระองค์จงตรัสบอกเนื้อความ
ที่ข้าพระองค์ถามนั้นเถิด คือ ข้าพระองค์ขอวิงวอนพระองค์. บทว่า อิงฺฆ
เป็นนิบาตมีความว่า ขอร้อง. บทว่า ปิยปฺปหูตา คือ เกิดจากสิ่งที่รัก.
เป็นอันยุติดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วในนิเทศนี้นั่นแล. บทว่า มจฺเฉร-
ยุตฺตา กลหา วิวาทา
ความทะเลาะ ความวิวาทประกอบเข้าแล้วด้วยความ