เมนู

โกกาลิกสูตรที่ 10


ว่าด้วยกรรมที่ให้เกิดในนรก


[384] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล โกกาลิกภิกษุ
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ตกอยู่ใน
อำนาจแห่งความปรารถนาลามก พระเจ้าข้า.
[385] เมื่อโกกาลิกภิกษุกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสกะโกกาลิกภิกษุว่า โกกาลิกะ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ โกกาลิกะ เธอ
อย่าได้กล่าวอย่างนี้ เธอจงยังจิตให้เลื่อมใสในสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด
สารีบุตรและโมคคัลลานะมีศีลเป็นที่รัก.
แม้ครั้งที่ 2 โกกาลิกภิกษุก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชักนำข้าพระองค์ให้จงใจเชื่อ ให้
เลื่อมใสก็จริง แต่พระสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีความปรารถนาลามก
แม้ครั้งที่ 2 พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสกะโกกาลิกภิกษุว่า โกกาลิกะ เธอ
อย่าได้กล่าวอย่างนี้ โกกาลิกะ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้เลย เธอจงยังจิตให้
เลื่อมใสในสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด สารีบุตรและโมคคัลลานะมีศีลเป็น
ที่รัก.

แม้ครั้งที่ 3. . .
ลำดับนั้นแล โกกาลิกภิกษุลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้ากระทำประทักษิณแล้วหลีกไป เมื่อโกกาลิกภิกษุหลีกไปแล้วไม่นานนัก
ได้มีต่อมประมาณเมล็ดพันธุ์ผักกาดเกิดขึ้นทั่วกาย ครั้นแล้ว เป็นย่อมประมาณ
เท่าเมล็ดถั่วเขียว เท่าเมล็ดถั่วดำ เท่าเมล็ดพุดทรา เท่าผลพุดทรา เท่าผล
มะขามป้อม เท่าผลมะตูมอ่อน เท่าผลขนุนอ่อน แตกหัวแล้ว หนองและ
เลือดไหลออก ลำดับนั้น โกกาลิกภิกษุมรณภาพเพราะอาพาธนั้นเอง ครั้น
โกกาลิกภิกษุมรณภาพแล้ว ก็ย่อมอุบัติในปทุมนรก เพราะจิตคิดอาฆาตใน
พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ. ครั้งนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อ
ปฐมยามล่วงไปแล้ว มีรัศมีงามยิ่ง ทำพระเชตวันสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมเเล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โกกาลิก-
ภิกษุมรณภาพแล้ว ครั้นแล้วอุบัติในปทุมนรก เพราะจิตคิดอาฆาตในพระ-
สารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ท้าวสหัมบดีพรหมครั้นกราบทูลดังนี้แล้ว
กระทำประทักษิณแล้ว ได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง.
ครั้นพอล่วงราตรีนั้น ไป พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อคืนนี้ เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว ท้าวสหัมบดีพรหม
มีรัศมีอันงามยิ่ง ทำวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้ามาหาเราถึงที่อยู่ อภิวาท
แล้วยืนอยู่ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
โกกาลิกภิกษุมรณภาพแล้วอุบัติในปทุมนรก เพราะจิตคิดอาฆาตในพระสารีบุตร

และพระโมคคัลลานะ ท้าวสหัมบดีพรหม ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว กระทำ
ประทักษิณแล้ว ได้อันตรธานหายไปในที่นั้นเอง.
[386] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูล
ถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ประมาณอายุในปทุมนรก
นานเพียงใด พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ประมาณอายุในปทุมนรก
นานนัก การนับประมาณอายุในปทุมนรกนั้นว่า เท่านี้ปี เท่านี้ร้อยปี เท่านี้
พันปี หรือว่าเท่านี้แสนปี ไม่ใช่ทำได้ง่าย.
ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระองค์สามารถจะทรงกระทำการเปรียบ
เทียบได้หรือไม่ พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับว่า สามารถ ภิกษุ ดังนี้แล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุ เปรียบเหมือนเกวียนที่บรรทุกงาหนัก 20 หาบของชาวโกศล
เมื่อล่วงไปได้ร้อยปี พันปี แสนปี บุรุษพึงหยิบเมล็ดงาขึ้นจากเกวียนนั้นออก
ทิ้งเมล็ดหนึ่ง ๆ ดูก่อนภิกษุ เกวียนที่บรรทุกงาหนัก 20 หาบของชาวโกศล
นั้น จะพึงถึงความสิ้นไปโดยลำดับนี้เร็วเสียกว่า แต่อัพพุทนรกหนึ่งจะไม่พึง
ถึงความสิ้นไปได้เลย ดูก่อนภิกษุ 20 อัพพุทนรกเป็นหนึ่งนิรัพพุทนรก 20
นิรัพพุทนรกเป็นหนึ่งอัพพนรก 20 อัพพนรกเป็นหนึ่งอหหนรก 20 อหห-
นรกเป็นหนึ่งอฎฏนรก 20 อฏฏนรกเป็นหนึ่งกุมุทนรก 20 กุมุทนรกเป็น
หนึ่งโสคันธิกนรก 20 โสคันธิกนรกเป็นหนึ่งอุปลกนรก 20 อุปลกนรก
เป็นหนึ่งปุณฑรีกนรก 20 ปุณฑรีกนรกเป็นหนึ่งปทุมนรก อย่างนี้ ก็โกกาลิก-
ภิกษุอุบัติในปทุมนรกเพราะจิตคิดอาฆาตในสารีบุตรและโมคคัลลานะ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว
จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
[387] วาจาหยาบเช่นกับขวาน
เกิดในปากของบุรุษแล้ว เป็นเหตุตัดรอน
ตนเองของบุรุษผู้เป็นพาล ผู้กล่าวคำทุภาษิต
ผู้ใดสรรเสริญคนที่ควรนินทา หรือนินทา
คนที่ควรสรรเสริญ ผู้นั้นย่อมก่อโทษเพราะ
ปาก ย่อมไม่ได้ความสุขเพราะโทษนั้น การ
แพ้ด้วยทรัพย์เพราะเล่นการพนันเป็นโทษ
เพียงเล็กน้อย โทษของผู้ที่ยังใจให้ประทุษ-
ร้ายในท่านผู้ปฏิบัติดีนี้แล เป็นโทษมากกว่า.
บุคคลตั้งวาจาและใจอันลามกไว้แล้ว
เป็นผู้ติเตียนพระอริยเจ้า ย่อมเข้าถึงนรก
ตลอดกาลประมาณด้วยการนับปี 100,000
นิรัพพุทะและ 40 อัพพุทะ.
ผู้กล่าวคำเท็จย่อมเข้าถึงนรก อนึ่ง
ผู้ทำกรรมอันลามกแล้ว กล่าวว่าไม่ได้ทำ
ก็ย่อมเข้าถึงนรกอย่างเดียวกัน แม้คนทั้ง
สองนั้นเป็นมนุษย์มีกรรมอันเลวทราม ละ
ไปแล้วย่อมเป็นผู้เสมอกันในโลกเบื้องหน้า.

ผู้ใดประทุษร้ายต่อคนผู้ไม่ประทุษ-
ร้าย ผู้เป็นบุรุษหมดจด ไม่มีกิเลสเครื่อง
ยั่วยวน บาปย่อมกลับมาถึงผู้เป็นพาลนั้นเอง
เหมือนธุลีละเอียดที่บุคคลซัดไปทวนลม
ฉะนั้น.
ผู้ที่ประกอบเนือง ๆ ในคุณคือความ
โลภ ไม่มีศรัทธา กระด้าง ไม่รู้ความ
ประสงค์ของผู้ขอ มีความตระหนี่ ประกอบ
เนือง ๆ ในคำส่อเสียด ย่อมบริภาษผู้อื่น
ด้วยวาจา.
แน่ะคนผู้มีปากเป็นหล่ม กล่าวคำ
อันไม่จริง ผู้ไม่ประเสริฐ ผู้กำจัดความเจริญ
ลามก ผู้กระทำความชั่ว ผู้เป็นบุรุษในที่สุด
มีโทษ เป็นอวชาต ท่านอย่าได้พูดมากใน
ที่นี้ อย่าเป็นสัตว์นรก.
ท่านย่อมเกลี่ยธุลี คือ กิเลสลงในตน
เพื่อธรรมมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ท่านผู้ทำ
กรรมหยาบ ยังติเตียนสัตบุรุษ ท่านประพฤติ
ทุจริตเป็นอันมากแล้วย่อมไปสู่มหานรกสิ้น
กาลนาน.

กรรมของใคร ๆ ย่อมฉิบหายไปไม่
ได้เลย บุคคลมาได้รับกรรมนั้นแล เป็น
เจ้าของแห่งกรรมนั้น (เพราะ) คนเขลาผู้ทำ
กรรมหยาบ ย่อมเห็นความทุกข์ในตน ใน
ปรโลก.
ผู้ทำกรรมหยาบย่อมเข้าถึงสถานที่
อันนายนิรยบาลนำขอเหล็กมา ย่อมเข้าถึง
หลาวเหล็กอันคมกริบและย่อมเข้าถึงก้อน
เหล็กแดงโชติช่วง เป็นอาหารอันสมควรแก่
กรรมที่ตนทำไว้อย่างนั้น.
นายนิรยบาลทั้งหลายเมื่อพูดก็พูดไม่
เพราะสัตว์นรกจะวิ่งหนีก็ไม่ได้ ไม่ได้ที่ต้าน-
ทานเลย นายนิรยบาลลากขึ้นภูเขาถ่านเพลิง
สัตว์นรกนั้นนอนอยู่บนถ่านเพลิงอันลาดไว้
ย่อมเข้าไปสู่กองไฟอันลุกโพลง.
พวกนายนิรยบาลเอาข่ายเหล็กพัน
ตีด้วยค้อนเหล็กในที่นั้น สัตว์นรกทั้งหลาย
ย่อมไปสู่โรรุวนรกที่มืดทึบ ความมืดทึบนั้น
แผ่ไปเหมือนกลุ่มหมอกฉะนั้น.
ก็ลำดับนั้น สัตว์นรกทั้งหลาย ย่อม
เข้าไปสู่หม้อเหล็กอัน ไฟลุกโพลง ลอยฟ่อง

อยู่ ไหม้อยู่ในหม้อเหล็กนั้น อันไฟลุก
โพลงสิ้นกาลนาน.
ก็ผู้ทำกรรมหยาบจะไปสู่ทิศใด ๆ ก็
หมกไหม้อยู่ในหม้อเหล็กอันเปื้อนด้วยหนอง
และเลือดในทิศนั้น ๆ ลำบากอยู่ในหม้อ
เหล็กนั้น.
ผู้ทำกรรมหยาบหมกไหม้อยู่ในน้ำ
อันเป็นที่อยู่ของหมู่หนอน ในหม้อเหล็ก
นั้น ๆ แม้ฝั่งเพื่อจะไปก็ไม่มีเลย เพราะกะทะ
ครอบอยู่โดยรอบมิดชิดในทิศทั้งปวง.
และยังมีป่าไม้มีใบเป็นดาบคม สัตว์
นรกทั้งหลายย่อมเข้าไปสู่ป่าไม้ ถูกดาบ
ใบไม้ตัดหัวขาด พวกนายนิรยบาล เอาเบ็ด
เกี่ยวลิ้นออกแล้ว ย่อมเบียดเบียนด้วยการ
ดึงออกมา ๆ
ก็ลำดับนั้น สัตว์นรกทั้งหลายย่อม
เข้าถึงแม่น้ำด่างอันเป็นหล่ม ย่อมเข้าถึงคม
มีดโกนอันคมกริบ สัตว์นรกทั้งหลายผู้
กระทำบาป เป็นผู้เขลา ย่อมตกลงไปบน
คมมีดโกนนั้น เพราะได้กระทำบาปไว้.

ก็สุนัขดำ สุนัขด่าง และสุนัขจิ้งจอก
ย่อมรุมกัดกินสัตว์นรกทั้งหลาย ผู้ร้องไห้อยู่
ในที่นั้น ฝูงกาดำ แร้ง นกตะกรุม และกา
ไม่ดำ ย่อมรุมกันจิกกิน.
คนผู้ทำกรรมหยาบ ย่อมเห็นความ
เป็นไปในนรกนี้ยากหนอ เพราะฉะนั้น
นรชนพึงเป็นผู้ทำกิจที่ควรทำในชีวิตที่ยัง
เหลืออยู่นี้ และไม่พึงประมาท เกวียน
บรรทุกงา ผู้รู้ทั้งหลายนับแล้วนำเข้าไป
เปรียบในปทุมนรก เป็น 51,200 โกฏิ.
นรกเป็นทุกข์ เรากล่าวแล้วใน
พระสูตรนี้ เพียงใด สัตว์ทั้งหลายผู้ทำกรรม
หยาบ พึงอยู่ในนรกแม้นั้น ตลอดกาลนาน
เพียงนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลพึงกำหนด
รักษาวาจา ใจ ให้เป็นปกติในผู้สะอาด
มีศีลเป็นที่รักและมีคุณดีงามทั้งหลาย.

จบโกกาลิกสูตรที่ 10

อรรถกถาโกกาลิกสูตรที่ 10


โกกาลิกสูตร มีคำเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.
พระสูตรนี้มีการเกิดอย่างไร ?
การเกิดขึ้นแห่งสูตรนี้ จักมีแจ้งในอรรถกถาแห่งสูตรนั่นแล. บทมี
อาทิว่า เอวมฺเม สุตํ แห่งสูตรนี้ มีนัยดังได้กล่าวแล้วในอรรถกถานั่นแล
ก็ในบทว่า อถโข โกกาลิโก นี้ โกกาลิกะนี้เป็นใคร เหตุไรจึง
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านกล่าวไว้ดังต่อไปนี้.
มีเรื่องเล่ามาว่า โกกาลิกะนี้ เป็นบุตรของโกกาลิกเศรษฐี ในเมือง
โกกาลิกะแคว้น โกกาลิกะ ออกบวชแล้วอาศัยอยู่ในวิหารที่บิดาสร้างไว้นั่นเอง
มีชื่อว่าจูฬโกกาลิกะ มิใช่เป็นศิษย์ของพระเทวทัต. เพราะโกกาลิกะศิษย์พระ
เทวทัตนั้นเป็นบุตรพราหมณ์ ชื่อว่ามหาโกกาลิกะ. ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มี
พระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี พระอัครสาวกสองรูปพร้อมด้วยภิกษุ
ประมาณ 500 จาริกไปยังชนบท เมื่อจวนใกล้เข้าพรรษาส่งภิกษุเหล่านั้นกลับ
ไป ตนเองถือบาตรและจีวรไปถึงนครในชนบทนั้น ได้ไปยังวิหารนั้น ณ ที่นั้น
พระอัครสาวกทั้งสองรูปสนทนาอยู่กับโกกาลิกภิกษุนั้นแล้วกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโส
เราจักอยู่ ณ ที่นี้สัก 3 เดือน ท่านอย่าบอกใคร ๆ นะ โกกาลิกภิกษุรับคำ
ครั้นล่วงไป 3 เดือน วันหนึ่งโกกาลิกภิกษุรีบเข้าไปยังนครกล่าวว่า ท่านทั้ง
หลายไม่รู้หรือว่าพระอัครสาวกทั้งสองมาอยู่ ณ ที่นี้จึงไม่มีใครนิมนต์ถวายปัจจัย
ชาวนครถามว่า ทำไมพระคุณเจ้าไม่บอกพวกผมเล่า. โกกาลิกภิกษุตอบว่า จะ