เมนู

สัลลสูตรที่ 8


ว่าด้วยความเป็นธรรมดาของสัตว์โลก


[380] ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายใน
โลกนี้ ไม่มีเครื่องหมาย ใคร ๆ รู้ไม่ได้
ทั้งลำบาก ทั้งน้อย และประกอบด้วยทุกข์.
สัตว์ทั้งหลาย ผู้เกิดแล้ว จะไม่ตาย
ด้วยความพยายามอันใด ความพยายามอัน
นั้นไม่มีเลย แม้อยู่ได้ถึงชราก็ต้องตายเพราะ
สัตว์ทั้งหลายมีอย่างนี้เป็นธรรมดา.
ผลไม้สุกงอมแล้ว ชื่อว่าย่อมมีภัย
เพราะจะต้องร่วงหล่นลงไปในเวลาเช้า ฉัน
ใด สัตว์ทั้งหลายผู้เกิดแล้ว ชื่อว่าย่อมมีภัย
เพราะจะต้องตายเป็นนิตย์ ฉันนั้น.
ภาชนะดินที่นายช่างทำแล้วทุกชนิด
มีความแตกเป็นที่สุด แม้ฉันใด ชีวิตของ
สัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่
ทั้งคนเขลา ทั้งคนฉลาด ล้วนไปสู่อำนาจ
ของมฤตยู มีมฤตยูเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
ด้วยกันทั้งหมด.


เมื่อสัตว์เหล่านั้นถูกมฤตยูครอบงำ
แล้ว ต้องไปปรโลก บิดาจะป้องกันบุตรไว้
ก็ไม่ได้ หรือพวกญาติจะป้องกันพวกญาติ
ไว้ก็ไม่ได้.
ท่านจงเห็น เหมือนเมื่อหมู่ญาติของ
สัตว์ทั้งหลายผู้จะต้องตาย กำลังแลดูรำพัน
อยู่โดยประการต่าง ๆ สัตว์ผู้จะต้องตายผู้
เดี๋ยวเท่านั้นถูกมฤตยูนำไปเหมือนโคที่บุคคล
จะพึงฆ่าถูกนำไปตัวเดียวฉะนั้น ความตาย
และความแก่กำจัดสัตว์โลกอยู่อย่างนี้ เพราะ
เหตุนั้น นักปราชญ์ทั้งหลายทราบชัดสภาพ
ของโลกแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก.
ท่านย่อมไม่รู้ทางของผู้มาหรือผู้ไป
ไม่เห็นที่สุดทั้งสองอย่าง ถึงจะคร่ำครวญไป
ก็ไร้ประโยชน์ ถ้าผู้คร่ำครวญหลงเบียด
เบียนตนอยู่ จะยังประโยชน์อะไร ๆ ให้เกิด
ขึ้นได้ไซร้ บัณฑิตผู้เห็นแจ้งก็พึงกระทำ
ความคร่ำครวญนั้น.
บุคคลจะถึงความสงบใจได้ เพราะ
การร้องไห้ เพราะความเศร้าโศก ก็หาไม่

ทุกข์ย่อมเกิดแก่ผู้นั้นยิ่งขึ้น และสรีระของ
ผู้นั้นก็จะซูบซีด.
บุคคลผู้เบียดเบียนตนเอง ย่อมเป็น
ผู้ซูบผอม มีผิวพรรณเศร้าหมอง สัตว์ทั้ง-
หลายผู้ละไปแล้ว ย่อมรักษาตนไม่ได้ด้วย
ความรำพันนั้น การรำพันไร้ประโยชน์.
คนผู้ทอดถอนใจของบุคคลผู้ทำกาละ
แล้ว ยังละความเศร้าโศกไม่ได้ ตกอยู่ใน
อำนาจแห่งความเศร้าโศก ย่อมถึงทุกข์ยิ่ง
ขึ้น.
ท่านจงเห็นคนแม้เหล่าอื่นผู้เตรียม
จะดำเนินไปตามยถากรรม (และ) สัตว์
ทั้งหลายในโลกนี้ ผู้มาถึงอำนาจแห่งมัจจุ
แล้ว กำลังพากันดิ้นรนอยู่ทีเดียว.
ก็สัตว์ทั้งหลายย่อมสำคัญด้วยอาการ
ใด ๆ อาการนั้น ๆ ย่อมแปรเป็นอย่างอื่นไป
ในภายหลัง ความพลัดพรากกันเช่นนี้ย่อม
มีได้ ท่านจงดูสภาพแห่งโลกเถิด.
มาณพแม้จะพึงเป็นอยู่ร้อยปีหรือยิ่ง
กว่านั้น ก็ต้องพลัดพรากจากหมู่ญาติ ต้อง
ละทิ้งชีวิตไว้ในโลกนี้.

เพราะเหตุนั้น บุคคลฟังพระธรรม.
เทศนาของพระอรหันต์แล้ว เห็นคนผู้ล่วง
ลับทำกาละแล้ว กำหนดรู้อยู่ว่า บุคคลผู้
ล่วงลับทำกาละแล้วนั้น เราไม่พึงได้ว่า จง
เป็นอยู่อีกเถิด ดังนี้.
พึงกำจัดความรำพันเสีย บุคคลพึง
ดับไฟที่ไหม้ลุกลามไปด้วยน้ำ ฉันใด นรชน
ผู้เป็นนักปราชญ์ มีปัญญา เฉลียวฉลาด
พึงกำจัดความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นเสีย โดย
ฉับพลัน เหมือนลนพัดนุ่นปลิวไป ฉะนั้น.
คนผู้แสวงความสุขเพื่อตน พึงกำ-
จัดความรำพัน ความทะยานอยากและความ
โทมนัสของตน พึงถอนลูกศรคือกิเลสของ
ตนเสีย.
เป็นผู้มีลูกศร คือ กิเลสอันถอนขึ้น
แล้ว อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้วถึงความ
สงบใจ ก้าวล่วงความเศร้าโศกได้ทั้งหมด
เป็นผู้ไม่มีความเศร้าโศกเยือกเย็น ฉะนี้แล.

จบสัลลสูตรที่ 8

อรรถกถาสัลลสูตรที่ 8


สัลลสูตร มีคำเริ่มต้นว่า อนิมิตฺตํ ไม่มีเครื่องหมายดังนี้.
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ?
เรื่องเล่าว่า อุบาสกคนหนึ่งเป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคเจ้า
บุตรของเขาได้ถึงแก่กรรม เขาถูกความโศกเพราะบุตรครอบงำ ได้อดอาหาร
ถึง 7 วัน พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงอนุเคราะห์เขา จึงเสด็จไปยังเรือน
ของเขาเพื่อบรรเทาความโศก จึงได้ตรัสพระสูตรนี้.
ในบทเหล่านั้นบทว่า อนิมิตฺตํ ได้เเก่ เว้นจากเครื่องหมาย คือ กิริยา
อาการ. เหมือนอย่างว่ามีเครื่องหมายคือกิริยาอาการในบทมีอาทิว่า เราจักควัก
ลูกตาหรือโกนขนคิ้ว ท่านจงขโมยสินค้านั้นโดยเครื่องหมายนั้น ฉันใด ใน
ชีวิตมิได้เป็นฉันนั้น ไม่อาจจะได้ว่า ท่านจงเป็นอยู่ก่อน จงอย่าตาย จนกว่า
เราจะทำสิ่งนี้สำเร็จ. บทว่า อนญฺญาตํ อันใคร ๆ รู้ไม่ได้ คืออันใคร ๆ ไม่
สามารถรู้ได้โดยแน่นอน ว่าผู้นี้จะต้องเป็นอยู่ตลอดเวลาเท่านี้ ๆ ด้วยคติหรือ
ที่สุดของอายุ เหมือนอย่างอายุของเทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกาเป็นต้นกำหนดได้
ของสัตว์ทั้งหลายไม่เหมือนอย่างนั้น แม้ด้วยเหตุนี้ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายจึงเป็น
อันว่าอันใคร ๆ รู้ไม่ได้โดยแน่นอน. บทว่า กสิรํ ทั้งลำบาก คือ ยาก เพราะ
ความเป็นไปเนืองด้วยปัจจัยหลายอย่าง ไม่ใช่ให้เป็นไปเพื่อความสุขเท่านั้น.
เป็นความจริงอย่างนั้น ชีวิตเนื่องด้วยลมหายใจเข้าหายใจออกเนื่องด้วยมหาภูต
รูป (ดิน น้ำ ลม ไฟ) เนื่องด้วยกวฬีการาหาร เนื่องด้วยไออุ่น และเนื่องด้วย