เมนู

เลสสูตรที่ 7


ว่าด้วยความเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[373] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในชนบทชื่ออังคุตตราปะ
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวนมากประมาณ 1,250 รูป เสด็จถึงอาปณนิคมของ
ชาวอังคุตตราปะ.
เกณิยชฎิลได้สดับข่าวมาว่า พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจาก
ศากยสกุส เสด็จจาริกไปในชนบทชื่ออังคุคคราปะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่
ประมาณ 1,250 รูป เสด็จถึงอาปณหิคมตามลำดับ ก็กิตติศัพท์อันงามของ
ท่านพระโคดมพระองค์นั้นแล ขจรไปแท้อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ ๆ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ฯลฯ ทรงเบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งเองแล้วทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์
เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามใน
ท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้ง
พยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ปานนั้น ย่อมเป็น
ความดีแล.
ครั้งนั้นแล เกณิยชฎิลเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้
สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกัน
ไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้เกณิยชฏิล
เห็นแจ้ง ให้สมาทานอาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา.

ลำดับนั้น เกณิยชฎิล อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง
ให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า
ว่า ขอพระโคดมผู้เจริญ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงรับภัตของข้าพระองค์
เสวยในวันพรุ่งนี้ พระเจ้าข้า.
[374] เมื่อเกณิยชฎิลกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสกะเกณิยชฎิลว่า ดูก่อนเกณิยะ ภิกษุสงฆ์มีมากถึง 1,250 รูป อนึ่ง
ท่านก็เลื่อมใสในพวกพราหมณ์ยิ่งนัก.
แม้ครั้งที่ 2 เกณิยชฎิลก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระโคดมผู้เจริญ ภิกษุสงฆ์มีมากถึง 1,250 รูป ทั้งข้าพระองค์เป็นผู้เลื่อมใส
ในพวกพราหมณ์ก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ขอพระโคดมผู้เจริญพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
ทรงรับภัตของข้าพระองค์เพื่อเสวยในพรุ่งนี้ .. .แม้ครั้งที่ 3 เกณิยชฎิล...
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงรับนิมนต์ด้วยดุษณีภาพ.
ลำดับนั้นแล เกณิยชฎิลทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์แล้ว
ลุกจากอาสนะ เข้าไปสู่อาศรมของตนแล้ว เรียกมิตรอำมาตย์และญาติสายโลหิต
ทั้งหลายมากล่าวว่า มิตรอำมาตย์ และญาติสาโลหิตผู้เจริญทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า
ข้าพเจ้านิมนต์พระสมณโคดมพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เพื่อเสวยภัตในวันพรุ่งนี้
ขอท่านทั้งหลายช่วยข้าพเจ้าขวนขวายด้วยกาย พวกมิตร อำมาตย์และญาติ
สาโลหิตทั้งหลายของเกณิยชฎิลรับคำแล้ว บางพวกขุดเตา บางพวกผ่าฟืน
บางพวกล้างภาชนะ บางพวกช่วยตั้งหม้อน้ำ บางพวกปูอาสนะ ส่วนเกณิยชฎิล
ตกแต่งโรงปะรำเอง.
[375] ก็สมัยนั้นแล เสลพราหมณ์อาศัยอยู่ในอาปณนิคม เป็นผู้รู้
จบไตรเพทพร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุและคัมภีร์เกตุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษร

มีคัมภีร์อิติหาสะเป็นที่ 5 เป็นผู้เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์
โลกายตะ และตำราทำนายมหาปุริสลักษณะ ทั้งบอกมนต์แก่มาณพ 300 คน
ด้วย ก็สมัยนั้น เกณิยชฏิลเป็นผู้เลื่อมใสในเสลพราหมณ์ยิ่งนัก.
ครั้งนั้นแล เสลพราหมณ์แวดล้อมด้วยมาณพ 300 คน เดินเที่ยว
พักผ่อนอยู่ ได้เข้าไปสู่อาศรมของเกณิยชฎิล ได้เห็นคนบางพวกขุดเตา ฯลฯ
บางพวกปูอาสนะ ในอาศรมของเกณิยชฎิล ส่วนเกณิยชฎิลตกแต่งโรงปะรำเอง
ครั้นแล้วได้ถามเกณิยชฎิลว่า ท่านเกณิยะผู้เจริญ จักมีอาวาหะ วิวาหะหรือ
เตรียมจัดมหายัญหรือ หรือท่านได้ทูลเชิญเสด็จพระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่า
พิมพิสารจอมทัพ พร้อมทั้งรี้พล เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้.
เกณิยชฎิลตอบว่า ท่านเสละผู้เจริญ อาวาหะหรือวิวาหะจะมีแก่ข้าพเจ้า
ก็หามิได้ แม้พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าพิมพิสารจอมทัพ พร้อมทั้งรี้พล
ข้าพเจ้าก็มิได้ทูลเชิญเพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ แต่ข้าพเจ้าจัดมหายัญ. พระสมณ-
โคดมผู้ศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จจาริกไปในชนบทชื่ออังคุต-
ตราปะพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 1,250 รูป เสด็จถึงอาปณนิคม
ตามลำดับ ก็กิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมนั้นแล ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า
แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ฯลฯ ทรงเบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม ดังนี้ ข้าพเจ้านิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พร้อม
ด้วยภิกษุสงฆ์ เพื่อเสวยภัตในวันพรุ่งนี้.
ส. ท่านเกณิยะผู้เจริญ ท่านกล่าวว่า พุทโธ หรือ.
ก. ท่านเสสะผู้เจริญ ข้าพเจ้ากล่าวว่า พุทโธ.
ส. ท่านเกณิยะผู้เจริญ ท่านกล่าวว่า พุทโธ หรือ.
ก. ท่านเสละผู้เจริญ ข้าพเจ้ากล่าวว่า พุทโธ.

ลำดับนั้นแล เสลพราหมณ์ดำริว่า แม้เสียงประกาศว่า พุทโธ
หาได้ยากในโลก พระมหาบุรุษผู้ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ
ซึ่งมาในมนต์ของพวกเรา ย่อมมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือ
ถ้าอยู่ครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นธรรมราชา เป็น
ใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร 4 เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักร
มั่นคง ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว 7 ประการ คือ จักรแล้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว
แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้วเป็นที่ 7 พระราชโอรสของ
พระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยี
กองทัพของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชนะโดยธรรม มิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้
ศัสตรา ทรงครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต. ถ้าแลเสด็จออกผนวช
เป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคา คือ กิเสสอัน
เปิดแล้วในโลก. เสลพราหมณ์ถามว่า ท่านเกณิยะผู้เจริญ ก็บัดนี้พระโคดม
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญพระองค์นั้น ประทับอยู่ที่ไหน.
[376] เมื่อเสลพราหมณ์ถามอย่างนี้แล้ว เกณิยชฎิลได้ยกแขนขวา
ขึ้นชี้ แล้วกล่าวกะเสลพราหมณ์ว่า ท่านเสสะผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับอยู่ที่ทิวไม้มีสีเขียวนั่น.
ลำดับนั้นแล เสลพราหมณ์พร้อมด้วยมาณพ 300 คน เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ แล้วกล่าวเตือนมาณพเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญ
ทั้งหลาย จงเงียบเสียง ค่อย ๆ เดินตามกันมา เพราะท่านผู้เจริญเหล่านั้นเที่ยว
ไปผู้เดียวเหมือนราชสีห์ ให้ยินดีได้ยาก ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย เวลาเรา
สนทนากับพระสมณโคดมท่านทั้งหลายอย่าพูดสอดขึ้นในระหว่างถ้อยคำของเรา
จงรอให้ถ้อยคำของเราจบลงก่อน. เสลพราหมณ์ได้สนทนาปราศรัยกับพระผู้มี

พระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง.
ครั้นแล้ว เสลพราหมณ์ได้ตรวจดูมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ
ในพระกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ
โดยมากเว้น อยู่ 2 ประการ คือ พระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก 1 พระชิวหาใหญ่ 1
จึงยังเคลือบแคลงสงสัยไม่เชื่อไม่เลื่อมใสในมหาปุริสลักษณะ 2 ประการ. ครั้ง
นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า เสลพราหมณ์นี้ เห็นมหาปุริสลักษณะ
32 ประการ ของเราโดยมาก เว้นอยู่ 2 ประการ คือ คุยหะเร้นให้อยู่ในฝัก 1
ชิวหาใหญ่ 1 จึงยังเคลือบแคลงสงสัยไม่เชื่อไม่เลื่อมใสในมหาปุริสลักษณะ 2
ประการ ทันใดนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้
เสลพราหมณ์ได้เห็นพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก และทรงแลบพระชิวหาสอดเข้าช่อง
พระกรรณทั้งสอง กลับไปมา สอดเข้าช่องพระนาสิกทั้งสอง กลับไปมา
แผ่ปิดมณฑลพระนลาต เสลพราหมณ์คิดว่า พระสมณโคดมทรงประกอบด้วย
มหาปุริสลักษณะ 32 ประการบริบูรณ์ไม่บกพร่อง แต่เราไม่ทราบว่า พระองค์
เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ ก็แลเราได้ฟังคำของพราหมณ์ทั้งหลายผู้แก่เฒ่าผู้เป็น
อาจารย์เเละปาจารย์กล่าวอยู่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัม-
พุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงทำพระองค์ให้ปรากฏในเมื่อบุคคลกล่าวถึงคุณของ
พระองค์ ถ้ากระไรเราพึงชมเชยพระสมณโคดม เฉพาะพระพักตร์ด้วยคาถา
อันสมควร.
ลำดับนั้นแล เสลพราหมณ์ได้ชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้าเฉพาะพระ-
พักตร์ด้วยคาถาอันสมควรว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์
มีพระกายบริบูรณ์ สวยงาม ประสูตดีแล้ว
มีพระเนตรงาม มีพระฉวีวรรณดุจทองคำ
มีพระเขี้ยวขาวดี มีความเพียร อวัยวะใหญ่
น้อยเหล่าใด มีแก่คนผู้เกิดดีแล้ว อวัยวะ
ใหญ่น้อยเหล่านั้นทั้งหมดในพระกายของ
พระองค์เป็นมหาปุริสลักษณะ.
พระองค์มีพระเนตรแจ่มใส มีพระ-
พักตร์งาม มีกายใหญ่ตรง มีรัศมีรุ่งเรื่อง
อยู่ในท่ามกลางสมณสงฆ์ดังพระอาทิตย์.
พระองค์เป็นภิกษุมีพระเนตรงาม มี
พระฉวีวรรณงามเปล่งปลั่งดังทองคำ ประ-
โยชน์อะไรด้วยความเป็นสมณะของพระองค์
ผู้มีวรรณะอันอุดมอย่างนี้.
พระองค์ควรเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ผู้ประเสริฐในราชสมบัติ ผู้เป็นใหญ่ในแผ่น
ดินมีมหาสมุทร 4 เป็นขอบเขต ผู้ทรงชนะ
แล้ว ผู้เป็นใหญ่ในชมพูทวีป มีกษัตริย์
ประเทศราชตามเสด็จ ข้าแต่พระโคดม ขอ
พระองค์ทรงเป็นพระราชาที่พระราชาทรง
บูชา เป็นจอมมนุษย์ ครองราชสมบัติเถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
[377] ดูก่อนเสลพราหมณ์ เรา
เป็นพระราชาชั้นเยี่ยมเป็นพระธรรมราชา
เรายังจักรที่ใคร ๆ พึงให้เป็นไปไม่ได้ ให้
เป็นรูปโดยธรรม.

เสลพราหมณ์กราบทูลว่า
พระองค์ทรงปฏิญาณว่า เป็นพระ-
สัมมาสัมพุทธะ เป็นพระธรรมราชาชั้นเยี่ยม
ข้าแต่พระโคดม พระองค์ตรัสว่า จะยังจักร
ให้เป็นไปโดยธรรม ใครหนอเป็นสาวก
เสนาบดีของพระองค์ผู้ประพฤติตามพระ-
ศาสดา ใครจะยังธรรมจักรที่พระองค์ให้เป็น
ไปแล้วนี้ ให้เป็นไปตาม.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนเสลพราหมณ์
สารีบุตรผู้เกิดตามตถาคต จะยัง
ธรรมจักรอันยอดเยี่ยมที่เราให้เป็นไปแล้ว
ให้เป็นไปตาม ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมที่ควร
รู้ยิ่ง เราได้รู้ยิ่งแล้ว ธรรมที่ควรให้เจริญ
เราได้ให้เจริญแล้วและธรรมที่ควรละ เราละ
ได้แล้ว เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นพระพุทธะ-
ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงขจัดความ
สงสัยในเราเสีย จงน้อมใจเชื่อ การได้เห็น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเนือง ๆ เป็น
การได้โดยยาก ความปรากฏเนือง ๆ แห่ง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดแล หาได้
ยากในโลก เราเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์นั้น ผู้เป็นศัลยแพทย์ชั้นเยี่ยม.
เราเป็นผู้ประเสริฐไม่มีผู้เปรียบ ย่ำยี
มารและเสนามารเสียได้ ทำปัจจามิตรทั้งหมด
ไว้ในอำนาจ ไม่มีภัยแต่ที่ไหน ๆ บันเทิงอยู่.

เสลพราหมณ์กล่าวกับมาณพ 300 คนว่า
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงฟังคำนี้ที่
พระผู้มีพระภาคเจ้ามหาวีรบุรุษ ผู้มีจักษุ
ผู้เป็นศัลยแพทย์ตรัสอยู่ ดังสีหะบันลืออยู่
ในป่า ฉะนั้น ถึงแม่พระองค์จะเป็นผู้เกิด
ในสกุลต่ำทราม (ก็ตามที)
ใคร ๆ ได้เห็นพระองค์ผู้ประเสริฐ
ไม่มีผู้เปรียบ ย่ำยีมารและเสนามารเสียได้
จะไม่พึงเลื่อมใส (ไม่มีเลย)
ผู้ใดปรารถนาก็จงตามเรามา หรือ
ผู้ใดไม่ปรารถนาก็จงไปเถิด เราจักบวชใน
สำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีปัญญาอัน
ประเสริฐนี้.

ถ้าท่านผู้เจริญชอบใจคำสั่งสอนของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างนี้ไซร้ แม้พวก
เราก็จักบวชในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธ-
เจ้า ผู้มีพระปัญญาอันประเสริฐ.
พราหมณ์ทั้ง 300 เหล่านี้ ได้ประนม
อัญชลีทูลขอว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ข้าพระองค์ทั้งหลาย จักประพฤติพรหมจรรย์
ในสำนักของพระองค์.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนเสลพราหมณ์
พรหมจรรย์เรากล่าวดีแล้ว ผู้บรรลุ
จะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล การบวช
ของบุคคลผู้ไม่ประมาทศึกษาอยู่ไม่เปล่า
ประโยชน์.

[378] เสลพราหมณ์พร้อมกับบริษัทได้บรรพชาอุปสมบทในสำนัก
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งนั้นแล พอล่วงราตรีนั้นไป เกณิยชฎิล สั่งให้
ตกแต่งขาทนียโภชนียาหารอันประณีตไว้ในอาศรมของตนเสร็จแล้วให้กราบทูล
ภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถึงเวลาแล้ว ภัตเสร็จ
แล้ว.
ลำดับนั้น เป็นเวลาเข้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตร
และจีวรเสด็จเข้าไปยังอาศรมของเกณิยชฎิล ครั้นแล้ว ประทับนั่งเหนืออาสนะ

ที่เขาปูลาดถวายพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์. ลำดับนั้น เกณิยชฎิล อังคาสภิกษุสงฆ์มี
พระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้อิ่มหนำสำราญด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีต
ด้วยมือของตน เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จ ชักพระหัตถ์จากบาตรแล้ว
เกณิยชฎิลถืออาสนะต่ำแห่งหนึ่ง นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาแก่เกณิยชฎิลด้วยพระคาถาเหล่านี้ว่า
ยัญทั้งหลายมีการบูชาไฟเป็นประมุข
ฉันท์ทั้งหลายมีสาวิตรีฉันท์เป็นประมุข พระ-
ราชาเป็นประมุขของมนุษย์ทั้งหลาย พระ-
จันทร์เป็นประมุขของดาวนักษัตรทั้งหลาย
พระอาทิตย์เป็นประมุขของความร้อนทั้ง-
หลาย พระสงฆ์แล เป็นประมุขของบุคคล
ทั้งหลายผู้มุ่งบุญ บูชาอยู่.

[379] ครั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาแก่เกณิยชฎิลด้วย
พระคาถาเหล่านี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป ลำดับนั้นแล ท่านพระเสละ
พร้อมด้วยบริษัท หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจ
เด็ดเดี่ยว ไม่นานนักก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตร
ทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ใน
ปัจจุบันเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ
ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็ท่านพระเสละพร้อมด้วย
บริษัท ได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ๆ ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย.

ครั้งนั้นแล ท่านพระเสละ พร้อมทั้งบริษัทได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประณมอัญชลีไปทาง
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระจักษุ
ข้าพระองค์ทั้งหลายถึงสรณะในวันที่ 8 นับ
แต่วันนี้ เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลาย
จึงฝึกฝนตนอยู่ในศาสนาของพระองค์ 7
ราตรี.
พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า เป็น
ศาสดา เป็นมุนีครองงำมาร ทรงตัดอนุสัย
แล้ว เป็นผู้ข้ามได้เองแล้ว ทรงช่วยหมู่สัตว์นี้
ให้ข้ามได้ พระองค์ทรงก้าวล่วงอุปธิได้แล้ว
ทรงทำลายอาสวะทั้งหลายแล้ว ไม่ทรงถือ
มั่น ทรงละความกลัวและความขลาดได้แล้ว
ดังสีหะ.
ภิกษุ 300 รูปนี้ยืนประนมอัญชลีอยู่
ข้าแต่พระวีรเจ้า ขอพระองค์ทรงเหยียด
พระบาทยุคลเถิด ท่านผู้ประเสริฐทั้งหลาย
จงถวายบังคมพระบาทยุคลของพระศาสดา.

จบเสลสูตรที่ 7

อรรถกถาเสลสูตรที่ 7


เสลสูตร มีคำเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ? ท่านกล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นไว้ใน
นิทานแห่งเสลสูตรนั้นแล้ว. แม้ในลำดับการพรรณนาความแห่งสูตรนี้ ก็เช่น
เดียวกันกับสูตรก่อน พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในสูตรก่อนนั่นแล. ก็บทใด
ยังไม่ได้กล่าวไว้ เราจักเรียบเรียงบททั้งหลายที่มีความง่าย พรรณนาบทนั้น.
บทว่า องฺคุตฺตราเปสุ ได้แก่ ชนบทนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าอังคา,
อังคาใดชื่อว่า อาปะ ที่ซับน้ำมีอยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำคงคา, ท่านเรียกว่า
อุตตราปะ ก็มี เพราะอยู่ไม่ไกลแม่น้ำเหล่านั้น ถามว่า อังคาใดที่ชื่อว่า
อาปะอยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำคงคาตอนไหน ? ตอบว่า แม่น้ำคงคาที่ชื่อว่า
มหามหี. เพื่อความแจ่มแจ้งของแม่น้ำนั้นในสูตรนี้จะพรรณนาตั้งแต่ต้น.
มีเรื่องเล่ามาว่า ชมพูทวีปนี้มีประมาณหนึ่งหมื่นโยชน์. ในชมพูทวีป
นั้นพื้นที่ประมาณ 4 พันโยชน์ถูกน้ำท่วม จึงเรียกว่า สมุทร. พวกมนุษย์
อาศัยอยู่ในเนื้อที่ประมาณ 3 พันโยชน์ มีเขาหิมพานต์ตั้งอยู่ในเนื้อที่ 3 พัน
โยชน์โดยส่วนสูงประมาณ 500 โยชน์ ประดับด้วยยอด 84,000 ยอด โดย
รอบวิจิตรตระการไปด้วยมหานทีทั้งห้าไหลบ่าสงโดยยาวและกว้างประมาณ 100
โยชน์ เพราะลึกมาก มีบริเวณรอบ ๆ ประมาณ 150 โยชน์ มีสระใหญ่ 7
สระ มีสระอโนดาตเป็นต้นตั้งอยู่ ดังได้กล่าวไว้แล้วในอรรถกถาปูรฬาสสูตร.
ใน 7 สระนั้น สระอโนดาตล้อมไปด้วยภูขา 5 ลูกเหล่านี้ คือ สุทัสสนกูฎ
จิตรกูฏ กาฬกฏ คันธมาทนกูฏ เกลาสกูฏ. ในภูเขา 5 ลูกนั้น สุทัสสนกูฏ