เมนู

วังคีสสูตรที่ 12


ว่าด้วยสงสัยปรินิพพาน


[329 ] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่อัคคาฬวเจดีย์ ใกล้เมือง
อาฬวี ก็สมัยนั้นแล พระเถระชื่อ นิโครธกัปปะ เป็นพระอุปัชฌาย์ของท่าน
พระวังคีสะปรินิพพานแล้วไม่นานที่อัคคาฬวเจดีย์ ครั้งนั้น ท่านพระวังคีสะ
หลีกเร้นอยู่ในที่สงัด ได้เกิดความปริวิตกแห่งใจขึ้นอย่างนี้ว่า พระอุปัชฌาย์
ของเราปรินิพพานแล้วหรือหนอแล หรือว่ายังไม่ปรินิพพาน ครั้นเวลาเย็น
ท่านพระวังคีสะออกจากที่หลีกเร้น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค-
เจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ข้าพระองค์หลีกออกเร้นอยู่
ในที่ลับ เกิดความปริวิตกแห่งใจขึ้นอย่างนี้ว่า พระอุปัชฌาย์ของเราปรินิพพาน
เเล้วหรือหนอแล หรือว่ายังไม่ได้ปรินิพพาน ลำดับนั้น ท่านพระวังคีสะลุก
จากอาสนะ กระทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค-
เจ้า แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
[330] ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทูล
ถามพระศาสดาผู้มีพระปัญญาไม่ทราม ข้า-
แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงเห็นธรรมอัน
มั่นคง พระองค์ทรงขนานนามแห่งภิกษุผู้

เป็นพราหมณ์ ผู้ตัดความสงสัย มีชื่อเสียง
มียศ ผู้คุ้มครองตนได้ มุ่งวิมุตติ ปรารภ
ความเพียร กระทำกาละที่อัคคาฬวเจดีย์ ที่
ข้าพระองค์ได้ประพฤตินอบน้อมท่านอยู่ว่า
นิโครธกัปปะ นิพพานแล้ว.
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ศากยะ
มีพระจักษุรอบคอบ แม้ข้าพระองค์ทั้งหมด
ย่อมปรารถนาเพื่อจะรู้พระสาวกนั้น ข้าพระ-
องค์ทั้งหลายตั้งโสตไว้ชอบแล้วเพื่อจะฟัง
พระองค์เป็นพระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมของข้าไ
พระองค์ทั้งหลาย ขอทรงโปรดตรัสความ
สงสัยของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระองค์
ตรัสบอกความข้อนี้แก่พระองค์เถิด.
ข้าแต่พระองค์ผู้มีปัญญาเสมอด้วย
แผ่นดิน มีพระจักษุรอบคอบ ขอพระองค์
โปรดตรัสบอกภิกษุผู้เป็นพราหมณ์ ผู้ปริ-
นิพพานแล้ว อนึ่ง ขอพระองค์ตรัสในท่าม
กลางข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนอย่างท้าว-
สหัสสเนตร พระนามว่าสักกะ ย่อมตรัสใน
ท่ามกลางแห่งเทวดาทั้งหลาย ฉะนั้น.

กิเลสเครื่องร้อยรัดเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ในโลกนี้ เป็นทางแห่งโมหะ เป็นฝักฝ่าย
แห่งความไม่รู้ เป็นที่ตั้งแห่งความสงสัย
กิเลสเครื่องร้อยรัดเหล่านั้น มาถึงพระตถา-
คตผู้มีจักษุผู้ยิ่งกว่านระทั้งลายแล้วย่อมไม่มี
ก็ถ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็น
บุรุษ จะไม่พึงกำจัดเหล่ากิเลสเสีย โดยส่วน
เดียวเหมือนลมไม่พึงกำจัดเมฆไซร้ สัตว์โลก
ทั้งหมดถูกความไม่รู้ปกคลุมแล้ว พึงเป็น
โลกมืด เหมือนโลกที่ถูกเมฆปกคลุมแล้ว
เป็นโลกมืด ฉะนั้น.
นรชนทั้งหลายแม้มีความรุ่งเรือง จะ
ไม่พึงเดือดร้อน ส่วนนักปราชญ์ทั้งหลาย
เป็นผู้กระทำความรุ่งเรือง ข้าแต่พระองค์
ผู้เป็นนักปราชญ์ เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์
ย่อมสำคัญพระองค์ว่าเป็นนักปราชญ์ และ
ว่าผู้กระทำความรุ่งเรือง เหมือนอย่างนั้นนั่น
แล ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบอยู่ ซึ่งพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าผู้เห็นแจ่มแจ้ง จึงเข้ามาเฝ้า
ขอพระองค์โปรดตรัสบอก ทรงกระทำให้

แจ่มแจ้งซึ่งภิกษุชื่อนิโครธกัปปะแก่ข้าพระ-
องค์ทั้งหลายในบริษัทเถิด.
พระองค์ผู้มีพระดำรัสไพเราะ ขอ
จงตรัสถ้อยคำอันไพเราะเถิด ขอพระองค์
จงค่อยเปล่งด้วยพระสุรเสียงอันพระองค์ทรง
กำหนดดีแล้ว เหมือนหมู่หงส์ยกคอขึ้นแล้ว
ค่อย ๆ เปล่งเสียงอันไพเราะ ฉะนั้น.
ข้าพระองค์ทั้งหมดเป็นผู้ปฏิบัติตรง
จะคอยฟังพระดำรัสอันไพเราะของพระองค์
ข้าพระองค์ขอทูลวิงวอนให้พระองค์ผู้ละชาติ
และมรณะได้แล้ว ทรงกำจัดบาปไม่มีส่วน
เหลือให้ทรงแสดงธรรม การกระทำความ
ใคร่หามีแก่ปุถุชนทั้งหลายไม่ ส่วนการ
กระทำความพิจารณาย่อมมีแก่พระตถาคต
ทั้งหลาย.
ไวยากรณ์อันสมบูรณ์นี้ เป็นของ
พระองค์ผู้มีพระปัญญาผุดขึ้นดี ทรงเรียนดี
แล้ว.
ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระ-
ปัญญาไม่ทราม อัญชลีไม่มีในภายหลังนี้ ข้า-
พระองค์ประณมดีแล้ว พระองค์ทรงทราบ

อยู่ซึ่งคติของภิกษุชื่อนิโครธกัปปะ อย่าได้
ทรงทำข้าพระองค์ให้หลงเลย.
ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีความ
เพียรไม่ทราม พระองค์ทรงรู้แจ้งอริยธรรม
อันประเสริฐยิ่ง ทรงทราบอยู่ซึ่งไญยธรรม
ทั้งปวง อย่าได้ทรงทำข้าพระองค์ให้หลงเลย
ข้าพระองค์หวังจะได้สดับพระดำรัสของ
พระองค์อยู่ เหมือนบุรุษผู้ร้อนแล้วเพราะ
ความร้อนในฤดูร้อน หวังจะได้น้ำ ฉะนั้น.
ขอพระองค์จงยังสัททายตนะ คือ
สุตะให้ตกเถิด ภิกษุชื่อนิโครธกัปปะได้
ประพฤติพรหมจรรย์ ตามความปรารถนา
พรหมจรรย์อะไร ๆ ของท่านไม่เปล่า นิพ-
พานแล้ว อนุปาทิเสสนิพพานธาตุหรือ
หรือว่าเป็นผู้พ้นวิเศษแล้วยังมีอุปาทานเหลือ
อยู่ ข้าพระองค์ทั้งหลายจะขอฟังความข้อ
นั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยพระคาถาว่า
ภิกษุชื่อนิโครธกัปปะ ได้ตัดตัณหา
ในนามรูปนี้ ที่เป็นพระแสแห่งกัณหมาร

อันนอนเนื่องแล้วสิ้นกาลนาน เธอได้ข้าม
พ้นชาติและมรณะไม่มีส่วนเหลือ ปรินิพ-
พานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ประเสริฐสุดด้วยอินทรีย์
5 เป็นต้น ได้ตรัสอย่างนี้.

ท่านพระวังคีสะกราบทูลว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระ-
องค์นี้ได้ฟังแล้ว ย่อมเลื่อมใสพระดำรัสของ
พระองค์ ได้ยินว่า ข้าพระองค์ได้ทูลถาม
ถึงพรหมจรรย์อันไม่เปล่า พระองค์ผู้เป็น
พราหมณ์ไม่ล่วง ข้าพระองค์ผู้สาวกของ
พระพุทธเจ้า เป็นผู้มีปรกติกล่าวอย่างใด
กระทำอย่างนั้น ได้ตัดข่ายอันมั่นคงนั้น ๆ
ของมัจจุราชผู้มีมายาขาดแล้ว.
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุชื่อ
นิโครธกัปปะผู้สมควร ได้เห็นเบื้องต้นแห่ง
อุปาทาน ได้ล่วงบ่วงมารที่ข้ามได้แสนยาก
แล้วหนอ.

จบวังคีสสูตรที่ 12

อรรถกถานิโครธกัปปสูตรที่ 121


นิโครธกัปปสูตร มีคำเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้น ดังนี้.
พระสูตรนี้ท่านเรียกว่า วังคีสสูตร ดังนี้ก็มี.
ถามว่า พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ?
ตอบว่า การเกิดขึ้นแห่งพระสูตรนี้นั่นแล ท่านกล่าวไว้ในนิทานแห่ง
พระสูตรนั้นแล้ว.
บรรดาบททั้งหลายเหล่านั้น บทว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้น มีเนื้อความ
อันข้าพเจ้ากล่าวแล้วนั่นแหละ เพราะข้าพเจ้าได้ทิ้งเนื้อความเช่นนั้น เหล่านั้น
และเหล่าอื่นเสีย จักพรรณนาเฉพาะนัยที่ยังมิได้กล่าวไว้แล้วเท่านั้น.
บทว่า อคฺคาฬเว เจติเย ได้แก่ ที่อัคคาฬวเจดีย์ในเมืองอาฬวี จริง
อยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ยังไม่ทรงอุบัติขึ้น ได้มีเจดีย์เป็นอเนก มีอัคคาฬว-
เจดีย์ และโคตมเจดีย์เป็นต้น ซึ่งเป็นภพที่อยู่ของพวกยักษ์และนาคเป็นต้น
(แต่) เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอุบัติขึ้นแล้ว พวกมนุษย์ทั้งหลายก็รื้อ
เจดีย์เหล่านั้น สร้างเป็นวัดเสีย และมนุษย์ทั้งหลาย ก็เรียกกันโดยชื่อนั้นนั่นแล
มีคำอธิบายว่า เพราะพระเถระอยู่ในวัด กล่าวคืออัคคาฬวเจดีย์.
แม้คำว่า อายสฺมา ในคำว่า อายสฺมโต วงคีสสฺส นี้ เป็นคำ
ที่กล่าวด้วยความรัก.
คำว่า วังคีสะ นั่นเป็นชื่อของพระเถระนั้น พระวังคีสเถระนั้น ชน
ทั้งหลายพึงทราบกันอย่างนี้ จำเดิมแต่เกิดมา.
1. บาลีว่า วังคีสสตร.