เมนู

อรรถกถาขุททกนิกาย ชื่อปรมัตถโชติกา


(ปฐมภาค)


อรรถกถาอุรควรรค สุตตนิบาต


อรรถกถาอุรคสูตร


ข้าพเจ้าขอนอบน้อม แด่พระผู้มี-
พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
นั้น.

ข้าพเจ้า (พระพุทธโฆษาจารย์) ขอ
ถวายอภิวาทแด่พระรัตนตรัย อันสูงสุดกว่า
สิ่งที่ควรไหว้ทั้งหลาย แล้วจักอธิบายความ
แห่งสุตตนิบาต ที่พระโลกนาถเจ้า ผู้ทรง
แสวงหาทางแห่งการหลุดพ้นจากโลก ผู้ทรง
มีปกติละเสียซึ่งความเสียหาย (แม้) เล็กน้อย
ได้ทรงแสดงไว้แล้วในคัมภีร์ขุททกนิกาย.

ก็สุตตนิบาตนี้ ได้หยั่งลง (มีอยู่)
ในคัมภีร์ขุททกนิกายนั่นเอง เพราะฉะนั้น
ข้าพเจ้าจักได้อธิบายความแห่งสุตตนิบาต
แม้นี้.

หากจะมีคำถามว่า เพราะเหตุไร
คัมภีร์นี้ซึ่งเกลื่อนกล่นไปด้วยคาถานับร้อย
ประกอบด้วยเคยยะและเวยยากรณะ จึงได้
ชื่อว่า สุตตนิบาต เล่า ?

ตอบว่า ที่เรียกว่าสูตร เพราะพระ-
พุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เพราะไหลออกซึ่ง
ประโยชน์ทั้งหลาย เพราะเป็นเครื่องต้านทาน
ไว้ เพราะไข และเพราะแสดงออกซึ่งอรรถ
ทั้งหลายด้วยดี นิบาตนี้ อันพระธรรมสังคาห-
กาจารย์เจ้าทั้งหลาย รวบรวมพระสูตร
ทั้งหลายเห็นปานนั้น แล้วย่อลงไว้โดย
ประการนั้นๆ ฉะนั้น จึงได้ชื่อว่า สุตตนิบาต.

อนึ่ง พระสูตรแม้ทั้งหมด โดย
กำหนดแล้วก็เป็นพระดำรัสของพระพุทธเจ้า
ผู้คงที่ และคัมภีร์นี้เป็นการรวบรวม
พระสูตรเหล่านั้น เพราะฉะนั้น จึงได้ชื่อว่า
สุตตนิบาต เพราะไม่มีลักษณะพิเศษที่เป็น
เครื่องหมายให้เรียกชื่อเป็นอย่างอื่นไปได้.

ก็สุตตนิบาตนี้ ซึ่งได้รับการตั้งชื่ออย่างนี้. เมื่อว่าโดยวรรคแล้วก็มี
5 วรรค คือ

1. อุรควรรค
2. จูฬวรรค
3 มหาวรรค
4. อัฏฐกวรรค
5. ปารายนวรรค.
บรรดาวรรคทั้งห้านั้น อุรควรรค เป็นวรรคแรก เมื่อว่าโดยสูตรแล้ว
ในอุรควรรคมี 12 สูตร ในจูฬวรรคมี 14 สูตร ในมหาวรรคมี 12 สูตร
ในอัฏฐกวรรคมี 16 สูตร ในปารายนวรรคมี 16 สูตร จึงรวมเป็น 70 สูตร.
บรรดาพระสูตรเหล่านั้น อุรคสูตรเป็นสูตรแรก เมื่อว่าโดยประมาณ
แห่งปริยัติแล้ว ก็มี 8 ภาณวาร
แต่เมื่อว่าโดยปริมาณแห่งวรรค สูตรและปริยัติอย่างนี้ อุรคสูตรนี้
ก็มีคาถาแรก นี้ว่า
โย จ อุปฺปติตํ วิเนติ โกธํ
วิสฏํ สมฺปวิสํว โอสเถภิ
โส ภิกฺขุ ชหาติ โอรปารํ
อุรโค ชิณฺณมิว ตจํ ปุราณํ

ภิกษุใดแล ย่อมกำจัดความโกรธที่
เกิดขึ้นแล้ว เหมือนหมอกำจัดพิษงูที่ซ่านไป
แล้วด้วยโอสถฉะนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่าย่อมละ
ซึ่งฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้ เหมือนงูละ
คราบเก่าที่คร่ำคร่าแล้วฉะนั้น.

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ เพื่อจะได้อธิบายความแห่งคาถานั้น ท่านจึง
ได้กล่าวปัญหากรรมนี้ว่า
คาถานี้ ใครกล่าว ? กล่าวที่ไหน ?
กล่าวเมื่อใด ? กล่าวเพราะเหตุไร ? ข้าพเจ้า
จักประกาศวิธีนี้ แล้วอธิบายความแห่งคาถา
นั้น.

ถามว่า ก็คาถานี้ใครกล่าว ? กล่าวที่ไหน ? กล่าวเมื่อใด ? และ
กล่าวเพราะเหตุใด ?
ตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงได้รับพยากรณ์ใน
สำนักพระพุทธเจ้า 24 พระองค์ ทรงบำเพ็ญบารมีตราบเท่าเสวยพระชาติเป็น
พระเวสสันดร แล้วทรงอุปบัติในดุสิตภพ. พระองค์ทรงจุติแม้จากดุสิตภพ
นั้นแล้ว ก็ทรงอุบัติในศากยตระกูล ได้เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงบรรลุ
สัมมาสัมโพธิญาณ ณ ควงไม้โพธิ แล้วทรงแสดงธรรมจักร ทรงแสดงธรรม
เพื่อประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์โดยลำดับ. คาถานี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้นผู้เป็นสยัมภู ไม่มีอาจารย์ ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง ตรัสไว้แล้ว
ก็คาถานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว เพื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนา
แก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้อยู่ในเมืองอาฬวี ในกาลที่พระองค์ทรงบัญญัติภูตคาม-
สิกขาบท (สิกขาบทที่ห้ามพรากของเขียว เช่นตัดต้นไม้เป็นต้น) ในเมือง
อาฬวีนั้น
การวิสัชนา โดยสังเขปในคาถาที่หนึ่งนี้ มีเพียงเท่านี้ ส่วนการวิสัชนา
โดยพิสดาร ผู้ศึกษาพึงทราบได้ ด้วยสามารถแห่งทูเรนิทาน อวิทูเรนิทาน
และสันติเกนิทาน ดังต่อไปนี้ :-

ในนิทาน (เหตุเกิด) ทั้ง 3 อย่างนั้น ที่ชื่อว่า ทูเรนิทาน ได้แก่
กถาที่กล่าวถึงเรื่องของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งแต่พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า
ทีปังกรจนถึงปัจจุบัน
ที่ชื่อว่า อวิทูเรนิทาน ได้แก่ กถาที่กล่าวถึงเรื่องของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตั้งแต่ดุสิตภพจนถึงปัจจุบัน
ที่ชื่อว่า สันติเกนิทาน ได้แก่ กถาที่ปรารภเรื่องของพระผู้มี-
พระภาคเจ้าตั้งแต่โพธิมณฑลจนถึงปัจจุบัน
เพราะในนิทานทั้งสามนั้น อวิทูเรนิทานและสันติเกนิทาน จัดเข้าใน
ทูเรนิทานนั่นเอง ฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบวิสัชนาในที่นี้โดยพิสดาร ด้วย
สามารถแห่งทูเรนิทานเท่านั้น
ก็การวิสัชนานี้นั้น ข้าพเจ้า (พระพุทธโฆษาจารย์) ได้กล่าวไว้แล้ว
ในอรรถกถาชาดก เพราะฉะนั้น ในที่นี้จึงไม่ต้องกล่าวให้พิสดารอีก. เพราะ
ผู้ศึกษาพึงทราบโดยนัยพิสดารที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วในอรรถกถาชาดกนั่นเอง
ส่วนความแปลกกันมีดังต่อไปนี้ :-
ในคาถาที่หนึ่ง (ในอรรถกถาชาดก) เรื่องบังเกิดขึ้นในเมืองสาวัตถี.
ในพระสูตรนี้เรื่องบังเกิดขึ้นในเมืองอาฬวี ดังที่พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าว
ไว้ว่า สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ที่อัคคาฬวเจดีย์เมืองอาฬวี.
ก็สมัยนั้นแล พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวี พากันทำนวกรรมอยู่ ตัดต้นไม้เองบ้าง
ให้คนอื่นตัดบ้าง แม้ภิกษุชาวเมืองอาฬวี รูปหนึ่งก็ตัดต้นไม้ เทวดาที่สิงอยู่
ที่ต้นไม้นั้น ได้กล่าวคำนี้กะภิกษุนั้นว่า " ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านต้องการทำ
ที่อยู่ของตน จงอย่าทำลาย (ตัด) ที่อยู่ของข้าพเจ้า ภิกษุนั้นไม่สนใจ
ยังตัดอยู่นั้นเอง และได้สับเอาแขนลูกของเทวดานั้นเข้า

ครั้งนั้นแล เทวดานั้น มีความดำริดังนี้ว่า ไฉนหนอ เราพึงฆ่า
ภิกษุนี้เสียในที่นี้ทีเดียว ครั้งนั้นแล เทวดานั้นได้มีความคิดอีกว่า ก็การที่
เราพึงฆ่าพระภิกษุรูปนี้เสียในที่นี้นั่นเองไม่ควรเลย ไฉนหนอเราพึงกราบทูล
เรื่องนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้งนั้นแล เทวดานั้นเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับแล้ว
ได้กราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า สาธุ ๆ เทพดา เธอดีนักแล เทพดา
ที่เธอไม่ปลงชีวิตภิกษุนั้นเสีย ดูก่อนเทพดา ถ้าหากว่า เธอจะพึงปลงชีวิต
พระภิกษุนี้แล้วไซร้ เธอจะประสบบาปมาก จงไปเถิด เทพดา ต้นไม้ใน
โอกาสโน้นว่างอยู่ เธอจงเข้าสิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้นั้น
ก็แล พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว เพื่อจะกำจัดความ
โกรธที่บังเกิดขึ้นแล้วแก่เทวดานั้น จึงตรัสคาถานี้ว่า
ผู้ใดแลพึงยับยั้งความโกรธที่บังเกิด-
ขึ้นไว้ได้ ผู้นั้น ก็ดุจบุคคลหยุดรถที่ไปอย่าง
รวดเร็วไว้ได้ ฉะนั้น
*.
ต่อแต่นั้น เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูล (พระผู้มีพระภาคเจ้า) เพราะ
เหตุที่ได้ฟังพวกมนุษย์กล่าวโทษอย่างนี้ว่า อย่างไรกันนะ พวกสมณศากยบุตร
จักตัดต้นไม้เองบ้าง จักให้บุคคลอื่นตัดบ้าง พวกสมณศากยบุตร ย่อมเบียด-
เบียนสิ่งที่มีชีวิต ซึ่งมีอินทรีย์อันเดียว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงบัญญัติ
สิกขาบทนี้ว่า เป็นปาจิตตีย์ เพราะพรากภูตคาม ดังนี้แล้ว เพื่อจะทรง
แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายที่มาในที่นั้นจึงได้ตรัสคาถานี้ว่า

1. ขุ. ธ. 37.

ภิกษุใดแลกำจัดความโกรธที่บังเกิด
ขึ้นแล้ว เหมือนหมองูกำจัดพิษงูที่ซ่านไป
แล้วด้วยโอสถฉะนั้น ดังนี้.

เรื่องเดียวกันนี้เอง ถึงการสงเคราะห์ (ปรากฏว่ามีอยู่) ในที่มา
แห่งคือ ในวินัย ในธรรมบท (และ) ในสุตตนิบาต ด้วยประการฉะนี้
ก็ด้วยคำเพียงเท่านี้ มาติกานั้นใด ท่านตั้งไว้แล้วว่า
คาถานี้ ใครกล่าว ? กล่าวที่ไหน ?
กล่าวเมื่อใด ? กล่าวเพราะเหตุไร ? ข้าพเจ้า
จักประกาศวิธีนี้ แล้วอธิบายความแห่งคำนั้น

มาติกานั้น เป็นอันข้าพเจ้าประกาศแล้วทั้งโดยย่อทั้งโดยพิสดาร ยกเว้นการ
อธิบายความ (เท่านั้น ) ก็ในคาถาที่หนึ่งนี้ มีอรรถาธิบายดังต่อไป :-
บทว่า โย ได้แก่ ภิกษุใด คือเช่นไร คือบวชจากขัตติยสกุลก็ตาม
บวชจากพราหมณสกุลก็ตาม จะเป็นผู้บวชใหม่ก็ตาม จะเป็นพระมัชฌิมะก็ตาม
จะเป็นพระเถระก็ตาม.
บทว่า อุปฺปติตํ ได้แก่ ที่ตกไปแล้ว ที่ไปแล้ว ที่เป็นไปแล้ว
เบื้องบน ๆ มีคำอธิบายว่าที่บังเกิดขึ้นแล้ว.
ธรรมดาว่า ความโกรธที่บังเกิดขึ้นนี้ มีหลายประเภท คือ
วัตตมานะ 1 ภุตวาปคตะ 1 โอกาสกตะ 1 ภูมิลัทธะ 1.
บรรดาความโกรธทั้ง 4 ประเภทนั้น ความพร้อมเพรียงแห่งการ
บังเกิดขึ้นเป็นต้น ที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งแม้ทั้งหมด ชื่อว่า วัตตมานุปปันนะ

ซึ่งท่านกล่าวหมายเอาว่า ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว ธรรมทั้งหลายที่ไม่
เกิดขึ้น ธรรมทั้งหลายที่มีปกติเกิดขึ้น.1
กุศลและอกุศล กล่าวคือภุตวาปคตะ ที่เสวยรสแห่งอารมณ์แล้วดับไป
และสังขาตะที่เหลือ กล่าวคือภุตวาปคตะที่ไม่ถึงขณะทั้ง 3 มีอุปปาทขณะ
เป็นต้นแล้วดับไป ชื่อว่า ภุตวาปคตุปันนะ. ภุตวาปคตุปปันนะนี้นั้น
พึงเห็นได้ ในคำว่า " ทิฏฐิที่เป็นบาปเห็นปานนี้บังเกิดขึ้นแล้ว2 " และในสูตร
ทั้งหลาย มีอาทิอย่างนี้ " เมื่อสติสัมโพชฌงค์เกิดขึ้นแล้ว การบำเพ็ญภาวนา
ให้บริบูรณ์ก็ย่อมมีได้ ฉันใด3 "
กรรมที่ท่านกล่าวแล้วโดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า " กรรมทั้งหลาย ที่ทำ
แล้วในกาลก่อนของเขาเหล่านั้นใด " ดังนี้ แม้เป็นกรรมที่ล่วงแล้ว ก็ชื่อว่า
โอกาสกตุปปันนะ เพราะห้ามวิบากของกรรมอื่นแล้ว ให้โอกาสแก่วิบาก
ของตนตั้งอยู่ และเพราะวิบากที่ได้โอกาสแล้วอย่างนั้น แม้ยังไม่บังเกิดขึ้น
ก็บังเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ในเมื่อได้ทำโอกาสอย่างนี้แล้ว.
อกุศลที่ยังไม่ได้ถอนขึ้น ในภูมิทั้งหลายเหล่านั้น ชื่อว่า ภูมิลัทธุป-
ปันนะ

ผู้ศึกษาพึงทราบ ความต่างกันแห่งภูมินี้และภูมิที่ได้แล้ว คือขันธ์ 5
ที่เป็นไปในภูมิ 3 อันเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ชื่อว่า ภูมิ. กิเลสชาตที่
สมควรบังเกิดขึ้นในขันธ์ 5 ชื่อว่า ภูมิลัทธะ. เพราะเหตุนั้นแล ภูมินั้นจึง
ชื่อว่าเป็นภูมิอันได้แล้ว ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ภูมิลัทธะ.
ก็ภูมิลัทธะนั้น จะพึงได้ก็ด้วยสามารถแห่งอารมณ์ จริงอยู่ กิเลส
แม้ทั้งหมด ย่อมบังเกิดขึ้นปรารภขันธ์ทั้งหลาย ของพระขีณาสพทั้งหลาย

1. อภิ. สํ 2. 2. สํ. ขนฺธวารวคฺค 97. 3. ที. ม. มหาสติปฏฺฐานสูตฺต 355.

แม้ที่ท่านกำหนดแล้ว อันต่างด้วยขันธ์ในอดีตเป็นต้น ก็ด้วยอำนาจแห่งอารมณ์
ดุจกิเลสที่บังเกิดขึ้นแก่นันทมาณพ และบุตรเศรษฐีชื่อว่า โสเรยยกะ เป็นต้น
เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายของพระมหากัจจายนะ และของนางอุบลวรรณาเถรี
เป็นต้น. ก็ถ้าหากว่าอารมณ์นี้ จะพึงชื่อว่าภูมิลัทธะแล้วไซร้ ใคร ๆ ก็ไม่พึง
ละมูลแห่งภพได้ เพราะเหตุที่อารมณ์นั้นอันใคร ๆ ไม่พึงละได้ แต่พึงทราบว่า
ที่ชื่อว่า ภูมิลัทธะ ก็ด้วยสามารถแห่งวัตถุ.
ด้วยว่า ขันธ์ทั้งหลายที่มิได้กำหนดแล้วด้วยวิปัสสนา ย่อมบังเกิด
ขึ้นในวัตถุใด ๆ กิเลสชาตที่มีวัฏฏะเป็นมูล ก็ย่อมนอนเนื่องในขันธ์เหล่านั้น
นับตั้งแต่ได้บังเกิดขึ้นในวัตถุนั้น ๆ. กิเลสชาตนั้น พึงทราบว่าภูมิลัทธุป-
ปันนะ เพราะอรรถว่ายังละไม่ได้ ก็กิเลสทั้งหลายที่ยังละไม่ได้ และที่ยัง
นอนเนื่องอยู่ในขันธ์เหล่าใด (ย่อมบังเกิดขึ้น) แก่บุคคลใดในวัตถุนั้น ขันธ์
เหล่านั้นนั่นเอง ของบุคคลนั้นเป็นที่ตั้งของกิเลสเหล่านั้น หาใช่ขันธ์ของ
บุคคลเหล่าอื่นไม่. ก็ขันธ์ที่เป็นอดีตเท่านั้น เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสทั้งหลาย ที่
บุคคลนั้นยังละไม่ได้ และที่นอนเนื่องอยู่ในอดีตขันธ์ทั้งหลาย หาใช่ขันธ์
นอกจากนี้ไม่ ในขันธ์ที่เป็นอนาคตเป็นต้นก็มีนัยนี้ (เหมือนกัน) อนึ่ง
ขันธ์ที่เป็นกามาวจรเท่านั้น เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสทั้งหลายที่สัตว์ยังละไม่ได้ และ
ที่นอนเนื่องอยู่ในกามาวจรขันธ์ทั้งหลาย หาใช่ขันธ์นอกนี้ไม่ ในขันธ์ที่เป็น
รูปาวจรและอรูปาวจรก็นัยนี้ (เหมือนกัน).
ก็กิเลสชาตอันมีวัฏฏะเป็นมูลนั้น ๆ มีอยู่ในขันธ์ทั้งหลาย ของพระ-
อริยบุคคลใด ๆ ในบรรดาพระโสดาบันเป็นต้น อันพระอริยบุคคลนั้น ๆ ย่อม
ละได้ด้วยมรรคนั้น ๆ ขันธ์เหล่านั้น ๆ ของพระอริยบุคคลนั้น ๆ จะนับว่า

เป็นภูมิไม่ได้ เพราะไม่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสอันมีวัฎฏะเป็นมูลเหล่านั้น ๆ ที่พระ-
อริยบุคคลนั้น ๆ ละได้แล้ว. แต่ว่ากรรมที่ทำไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็น
กุศลก็ตาม เป็นอกุศลก็ตาม ย่อมมีแก่ปุถุชนได้ เพราะกิเลสที่มีวัฏฏะเป็นมูล
อันปุถุชนยังละไม่ได้โดยประการทั้งปวง เพราะเหตุนั้น วัฏฏะของปุถุชนนั้น
จึงเป็นไปเพราะกิเลสเป็นปัจจัย.
กิเลสชาตมีวัฏฏะเป็นมูลนั้น ของบุคคลนั้น ไม่ควรกล่าวว่ามีในรูป
ขันธ์เท่านั้น ไม่มีในขันธ์ทั้งหลาย มีภาวนาขันธ์เป็นต้น ฯลฯ หรือไม่ควร
กล่าวว่า มีในวิญญาณขันธ์เท่านั้น ไม่มีในขันธ์ทั้งหลายมีรูปขันธ์เป็นต้น.
เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุที่ว่ากิเลสชาตนั้นนอนเนื่องอยู่ในขันธ์ทั้ง 5 โดยไม่
พิเศษกว่ากัน (โดยไม่แปลกกัน) คืออย่างไร คือกิเลสชาตที่นอนเนื่องอยู่ใน
ขันธ์ 5 นั้น เปรียบเหมือนรสแห่งพื้นดินเป็นต้น ซึ่งติดอยู่ที่ต้นไม้ฉะนั้น
เหมือนอย่างว่า เมื่อต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ที่พื้นดิน อาศัยรสแห่งดินและรสแห่งน้ำ
เจริญงอกงามขึ้น ด้วยราก ลำต้น กิ่ง ใบอ่อน ใบแก่ ดอก และผล
เพราะได้อาศัยรสแห่งดินและรสแห่งน้ำนั้นเป็นปัจจัย ทำท้องฟ้าให้เต็ม มีการ
สืบต่อเชื้อสายของต้นไม้ไว้ ก็เพราะพืชที่สืบต่อกันมา ดำรงอยู่ได้จนถึงกัลปาว-
สาน รสแห่งแผ่นดินเป็นต้นนั้น ไม่ควรจะกล่าวว่า มีอยู่ที่รากเท่านั้น หา
ได้มีอยู่ที่ลำต้นเป็นต้นไม่ ฯลฯ หรือไม่ควรจะกล่าวว่า มีอยู่ที่ผลเท่านั้น หา
ได้มีอยู่ที่รากเป็นต้นไม่ เพราะเหตุไร เพราะรสแห่งแผ่นดินเป็นต้นซ่านไป
ในรากเป็นต้น (ของต้นไม้นั้น) ทั้งหมดทีเดียว โดยไม่พิเศษกว่ากันฉันใด
กิเลสชาตก็ฉันนั้น.

อีกอย่างหนึ่ง เหมือนอย่างว่า บุรุษบางคนเบื่อในดอกและผลเป็นต้น
ของต้นไม้นั้นนั่นแหละ จะพึงใส่ยาพิษชื่อ มัณฑุกกัณฑกะ ลงที่ต้นไม้ในทิศ
ทั้งสี่ เมื่อเป็นเช่นนั้นต้นไม้นั้น ได้รับสัมผัสที่เป็นพิษนั้นถูกต้องเข้าแล้ว ก็
ไม่พึงสามารถเพื่อจะให้การสืบต่อเกิดขึ้นอีกได้ เพราะมีน้ำออกน้อยเป็นธรรมดา
เนื่องจากรสแห่งแผ่นดินและรสแห่งน้ำถูกยาพิษครอบงำแล้วฉันใด กุลบุตรผู้
เบื่อหน่ายในความเป็นไปของขันธ์ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ปรารภการเจริญมรรค
4 ในสันดานของตน ดุจการที่บุรุษนั้นประกอบยาพิษในทิศทั้ง 4 เมื่อเป็น
เช่นนั้น ขันธสันดานนั้นของกุลบุตรนั้น ที่แตกต่างกันโดยกรรมทั้งปวง มี
กายกรรมที่เข้าถึงสักว่าความเป็นกิริยาเป็นต้น เพราะกิเลสมีวัฏฏะเป็นมูลถูก
สัมผัสคือยาพิษในมรรคทั้ง 4 นั้นครอบงำแล้วโดยประการทั้งปวง จึงไม่
สามารถที่จะทำสันดานคือภพใหม่ให้บังเกิดขึ้นได้ เพราะถึงความไม่เกิดขึ้นใน
ภพใหม่เป็นธรรมดา แต่ว่าอนุปาทานย่อมดับไปอย่างเดียว เพราะความดับไป
แห่งปุริมวิญญาณ ดุจไฟป่าบังเกิดขึ้นแล้วดับไปเพราะหมดเชื้อฉะนั้น ผู้ศึกษา
พึงทราบความต่างกันแห่งภูมิ และภูมิลัทธะ ดังพรรณนามาฉะนี้
อีกอย่าง อุปปันนะแม้อื่นอีก 4 อย่าง คือ
1. สมุทาจารุปปันนะ
2. อารัมมณาธิคคหิตุปปันนะ
3. อวิกขัมภิตุปปันนะ
4. อสมุหตุปปันนะ.
ในอุปปันนะทั้ง 4 นั้น ธรรมชาติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ชื่อว่า สมุ-
ทาจารุปปันนะ

ก็กิเลสชาต แม้ยังไม่เกิดขึ้นในส่วนเบื้องต้น ในอารมณ์ที่มาสู่ครอง
แห่งจักขุทวารเป็นต้น ท่านเรียกว่า อารัมมณาธิคคหิตุปปันนะ เพราะ
ต้องบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในส่วนอื่น เพราะเหตุที่ตนได้รับอารมณ์ได้แล้ว
นั่นเอง ในข้อนี้มีกิเลสชาตที่บังเกิดขึ้นแก่พระมหาติสสเถระ ผู้เที่ยวไปบิณฑ-
บาตในกัลยาณคาม เพราะการเห็นรูปที่เป็นวิสภาคกันเป็นตัวอย่าง พึงทราบ
ประโยคในคำทั้งหลายมีคำว่า กามวิตกบังเกิดขึ้นแล้ว แก่บุคคลนั้นดังนี้
เป็นต้น.
กิเลสชาตที่ข่มไม่ได้ด้วยอำนาจของสมถะ และวิปัสสนาอย่างใดอย่าง
หนึ่ง แม้ไม่มาสู่การสืบต่อแห่งจิตแล้ว ก็ชื่อว่า อวิกขัมภิตุปปันนะ เพราะ
ไม่มีเหตุที่จะห้ามการบังเกิดขึ้นได้ อวิกขัมภิตุปปันนะนั้น พึงเห็นในอาคต
สถานทั้งหลาย เป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานาปานัสสติสมาธิแม้นี้แล
ที่บุคคลอบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว เป็นธรรมชาติสงบระงับ, ประณีต, ไม่
ต้องรดน้ำก็เย็น เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขและย่อมทำให้อกุศลบาปธรรม ที่
เกิดขึ้นแล้ว ๆ ให้อันตรธานไปโดยฐานะ ดังนี้.
ส่วนกิเลสชาต แม้ที่ข่มได้แล้วด้วยสมถะและวิปัสสนา ท่านเรียกว่า
อสมหตุปปันนะ เพราะอธิบายว่า ไม่ล่วงการบังเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะ
เหตุที่กิเลสชาตนั้น ยังถอนไม่ได้ด้วยอริยมรรค ก็ในข้อนี้มีกิเลสชาตที่บังเกิด
ขึ้นแก่พระเถระ ผู้ได้สมาบัติแปด ซึ่งกำลังเหาะไปในอากาศได้ฟังเสียงเพลง
ขับของสตรีผู้กำลังเก็บดอกไม้ทั้งหลาย ที่ต้นไม้มีดอกอยู่ ณ ชายป่าซึ่งขับร้อง
อยู่ด้วยเสียงอันไพเราะเป็นตัวอย่าง.

ผู้ศึกษาพึงทราบการประกอบประโยคแห่งอุปปันนะนั้น ในคำทั้งหลาย
เป็นต้นว่า พระอริยบุคคล ผู้ทำให้มากซึ่งมรรคอันประกอบด้วยองค์แปด
อันประเสริฐ พึงยังธรรมที่เป็นบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ๆ ให้อันตรธานไปใน
ระหว่างทีเดียว ก็อารัมมณาธิคคหิตุปปันนะ อวิกขัมภิตุปปันนะ และอสมูห-
ตุปปันนะ แม้ทั้ง 3 อย่างนี้ พึงทราบว่า ย่อมถึงการสงเคราะห์ด้วยภูมิลัทธะ
นั้นแล.
เมื่อกิเลสชาตมีประเภทตามที่กล่าวแล้วนั้น เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้นั่นเอง
ความโกรธนี้ก็พึงทราบว่า บังเกิดขึ้นแล้ว ด้วยอำนาจแห่งภูมิลัทธุปปันนะ
อารัมมณาธิคคตุปปันนะ อวิกขัมภิตุปปันนะ และอสมูหตุปปันนะ.
ถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะว่า บุคคลพึงกำจัดความโกรธนั้น ด้วยวิธีอย่างนี้
ด้วยว่า บุคคลย่อมสามารถจะกำจัดความโกรธที่บังเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งมีประเภท
ตามที่กล่าวมาอย่างนี้ ด้วยวินัยอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ก็กิเลสชาตนี้ใด กล่าวคือ
วัตตมานะ ภุตวาปคตะ โอกาสคตะ และสมุทาจาระ บังเกิดขึ้นแล้ว ความ
พยายามในกิเลสชาตนี้นั้น ย่อมไม่มีผล และไม่สามารถจะบังเกิดขึ้น ๆ ด้วยว่า
ความพยายามในกิเลสชาต (คือความโกรธ) ที่เป็นภุตวาปคตะ ชื่อว่า ไม่มีผล
เพราะกิเลสนั้นดับไปแล้ว ในระหว่างแห่งความพยายาม แม้ในความโกรธ
ที่เป็นโอกาสคตะก็เหมือนกัน ความพยายามในกิเลสชาตที่เป็นวัตตมานุป
ปันนะ และสมุทาจารุปปันนก็ไม่สามารถที่จะทำได้ เพราะความเศร้าหมอง
และความผ่องแผ้วไม่บังเกิดขึ้นพร้อมกัน.
ก็ในบทว่า วิเนติ นี้ พึงทราบวินิจฉัย ดังต่อไปนี้

ชื่อว่า วินัย มี 2 อย่าง ใน 2 อย่างนี้
อย่างหนึ่ง ๆ แบ่งเป็น 5 อย่าง ใน 5 อย่าง
นั้น วินัยนี้ ท่านเรียกว่า วิเนติ ก็ด้วยวิธี
8 อย่าง.

ด้วยว่า วินัยนี้มี 2 อย่าง คือ สังวรวินัย 1 อสังวรวินัย 1 ก็ใน
วินัย 2 อย่างนี้ วินัยหนึ่ง ๆ แบ่งเป็น 5 อย่าง ก็แม้สังวรวินัยนี้ก็มี 5 อย่าง
คือ
1. ศีลสังวร
2. สติสังวร
3. ญาณสังวร
4. ขันติสังวร
5. วิริยสังวร.
แม้ปหานวินัย ก็มี 5 อย่าง คือ
1. ตทังคปหาน
2. วิกขัมภนปหาน
3. สมุจเฉทปหาน
4. ปฏิปัสสัทธิปหาน
5. นิสสรณปหาน.
ในสังวรวินัยทั้ง 5 อย่างนั้น ความสำรวมซึ่งมาแล้ว ในคำทั้งหลาย
เป็นต้นว่า ภิกษุเป็นผู้เข้าถึง เป็นผู้เข้าถึงพร้อมแล้วด้วยปาฏิโมกขสังวรนี้
ชื่อว่า ศีลสังวร.

ความสำรวมซึ่งมาแล้ว ในคำทั้งหลายเป็นต้นว่า ภิกษุย่อมรักษา
จักขุนทรีย์ ย่อมถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ชื่อว่า สติสังวร.
ความสำรวมซึ่งมาแล้ว ในคำทั้งหลายเป็นต้นว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อน
อชิตะ กระแส (กิเลส) เหล่าใดมีอยู่ในโลก
สติเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น เราเรียก
เครื่องกั้นกระแสทั้งหลายว่า สังวร กระแส
เหล่านั้น อันบุคคลย่อมกั้นเสียได้ด้วยปัญญา
ดังนี้

ชื่อว่า ญาณสังวร.
ความสำรวมซึ่งมาแล้ว ในคำทั้งหลายเป็นต้นว่า ภิกษุย่อมอดทนต่อ
ความหนาว ต่อความร้อน ดังนี้ ชื่อว่า ขันติสังวร.
ความสำรวมซึ่งมาแล้ว ในคำทั้งหลายเป็นต้นว่า ภิกษุย่อมยับยั้ง คือว่า
ย่อมละ ย่อมบรรเทากามวิตกที่บังเกิดขึ้นแล้ว ดังนี้ พึงทราบว่า วิริยสังวร.
ก็ความสำรวมนี้แม้ทั้งหมด ท่านเรียกว่า สังวร ก็เพราะสำรวมระวัง
กายทุจริต และวจีทุจริต เป็นต้น ที่จะพึงสำรวมระวัง เรียกว่า วินัย
เพราะกำจัดกายทุจริต และวจีทุจริตเป็นต้น ที่จะพึงกำจัดตามความเป็นจริง.
สังวรวินัย พึงทราบว่า แบ่งเป็น 5 อย่าง อย่างนี้ก่อน.
อีกอย่างหนึ่ง การสืบต่อสันดานที่ไม่มีประโยชน์อันใด เป็นไปอยู่
ในองค์แห่งวิปัสสนาทั้งหลาย มีนามรูปปริเฉท (การกำหนดรู้นามรูป) เป็นต้น
ด้วยอำนาจที่ยังละตนไม่ได้อยู่เพียงใด การละสันดานที่ไม่มีประโยชน์นั้น ๆ
ด้วยญาณนั้น ๆ ก็ย่อมมีอยู่เพียงนั้น.

คืออย่างไร ? คือ การละสักกายทิฏฐิ ด้วยการกำหนดนามรูป ละ
อเหตุกทิฏฐิ และวิสมเหตุกทิฏฐิ ด้วยการกำหนดปัจจัย ละความสงสัย ด้วย
การข้ามพ้นความสงสัย อันเป็นส่วนอื่นแห่งการกำหนดปัจจัยนั้นนั่นเอง ละการ
ยึดถือว่าเรา ว่าของเรา ด้วยการพิจารณากลาปะ ละความสำคัญว่ามรรคใน
ธรรมที่ไม่ใช่มรรค ด้วยการกำหนดมรรคและธรรมที่ไม่ใช่มรรค ละอุจเฉท-
ทิฏฐิด้วยการเห็นความเกิดขึ้น ละสัสสตทิฏฐิ ด้วยการเห็นความเสื่อม ละความ
สำคัญว่าสิ่งที่ไม่มีภัย ในสิ่งที่มีภัย ด้วยการเห็นภัย, ละความสำคัญว่าความยินดี
ด้วยการเห็นโทษ ละความสำคัญว่าความยินดียิ่ง ด้วยการตามเห็นความ
เบื่อหน่าย มีความเป็นผู้ไม่ใคร่เพื่อจะพ้น ด้วยมุญจิตุกัมยตาญาณ ละความ
ไม่วางเฉย ด้วยอุเบกขาญาณ ละธัมมทิฏฐิ ด้วยอนุโลมญาณ และละการ
กำหนดสังขารนิมิต อันตรงกันข้ามกับพระนิพพาน ด้วยโคตรภูญาณนี้ ชื่อว่า
ตทังคปหาน.
ก็การละนิวรณ์ทั้งหลาย ที่สมาธิอันต่างด้วยอุปจารสมาธิ และอัปปนา
สมาธิกำจัดเสียได้ จนกระทั่งตนไม่เสื่อม (จากสมาธินั้น) และยังเป็นไปอยู่
และการละกล่าวคือการไม่บังเกิดขึ้นแห่งปัจจนิกธรรมมีวิตกเป็นต้น ตามสมควร
แก่ตน ชื่อว่า วิกขัมภนปหาน.
ก็การละกล่าวคือการตัดขาด ซึ่งกองแห่งกิเลสอันเป็นฝ่ายของสมุทัย
ที่ท่านกล่าวไว้แล้วโดยนัยเป็นต้นว่า เพื่อละทิฏฐิตามหน้าที่ของตน ในสันดาน
ของตน โดยประกอบด้วยองค์มรรคนั้น ๆ เพราะได้เจริญอริยมรรค 4 แล้ว
โดยความไม่เป็นไปโดยส่วนเดียวอีก นี้ชื่อว่า สมุจเฉทปหาน.

ก็การที่กิเลสทั้งหลายสงบระงับไปในขณะแห่งผล ชื่อว่า ปฏิปัสสัทธิ
ปหาน
.
ส่วนพระนิพพาน ที่ละสังขตธรรมทั้งปวงเสียได้ เพราะสลัดสังขตธรรม
ทั้งปวงออกไปได้ ชื่อว่า นิสสรณปหาน.
ก็เพราะเหตุที่การละแม้ทั้งหมดนี้ ชื่อว่า ปหาน เพราะอรรถว่าสละ
ชื่อว่าวินัย เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องกำจัด ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ปหานวินัย.
อีกอย่างหนึ่ง การละนี้ท่านเรียกว่า ปหานวินัย ก็เพราะความมีอยู่
แห่งวินัยนั้น ๆ โดยการละความประพฤติล่วงละเมิดข้อนั้น ๆ เสียได้ แม้
ปหานวินัยนี้ พึงทราบว่า แบ่งเป็น 5 อย่าง ดังพรรณนามาฉะนี้.
วินัยเหล่านี้ จัดเป็น 10 อย่าง เพราะวินัยข้อหนึ่ง แบ่งเป็น 5
ด้วยประการฉะนี้.
ในวินัยทั้ง 10 อย่างนี้ เว้นปฏิปัสสัทธิวินัย และนิสสรณวินัยเสียแล้ว
วินัยนี้ ท่านเรียกว่า วิเนติ (ย่อมกำจัด) ด้วยปริยายนั้น ๆ ด้วยวินัย 8 อย่าง
ที่เหลือ ย่อมกำจัดอย่างไร ? คือ ด้วยว่า บุคคลเมื่อกำจัดกายทุจริตและ
วจีทุจริต ด้วยศีลสังวร ชื่อว่า ย่อมกำจัดความโกรธที่ประกอบด้วยกายทุจริต
และวจีทุจริตนั้น แม้กำจัดอยู่ ซึ่งอภิชฌาและโทมนัสเป็นต้น ด้วยสติสังวร
และปัญญาสังวร ชื่อว่าย่อมกำจัดความโกรธที่ประกอบด้วยโทมนัส แม้เมื่อ
อดทนความหนาว เป็นต้น ด้วยขันติสังวรอยู่ ชื่อว่า ย่อมกำจัดความโกรธ
อันเกิดแต่อาฆาตวัตถุนั้น ๆได้ แม้กำจัดพยาบาทวิตก ด้วยวิริยสังวรอยู่ ชื่อว่า
ย่อมกำจัดความโกรธ ที่ประกอบด้วยพยาบาทวิตกนั้นได้

ตทังคปหาน วิกขัมภนปหาน และสมุจเฉทปหาน ย่อมมีได้ (ย่อมเกิด
ได้) ด้วยธรรมเหล่าใด บุคคลแม้ละอยู่ซึ่งธรรม (อกุศลธรรม) เหล่านั้นๆ ด้วย
ไม่ให้ธรรมเหล่านั้นเป็นไปในตน ก็ชื่อว่า ย่อมกำจัดความโกรธที่มีฐานอันเดียว
กับธรรมที่จะพึงประหาณเสียด้วยองค์นั้น ๆ อันตนจะพึงข่ม และอันตนจะพึง
ละเสีย.
ก็ในที่นี้ แม้วินัยจะเกิดมีขึ้นไม่ได้เพราะปหานวินัยก็จริง แต่การละ
ย่อมมีได้ด้วยธรรมเหล่าใด บุคคลแม้กำจัดอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ท่านก็เรียกว่า
ย่อมกำจัดด้วยปหานวินัยโดยปริยาย.
ส่วนในกาลแห่งปฏิปัสสัทธิปหาน บุคคลนั้นท่านเรียกว่า ย่อมหา
กำจัดอะไร ด้วยธรรมทั้งหลายเหล่านั้นได้ไม่ ก็เพราะเหตุที่นิสสรณปหาน
เป็นสภาพธรรมอันผู้ปฏิบัติไม่พึงให้เกิดขึ้นได้ เพราะเหตุที่ไม่มีสิ่งที่จะพึงกำจัด.
ก็ในวินัย 10 อย่างนี้ เว้นปฎิปัสสัทธิวินัยและนิสสรณวินัยเสียแล้ว
วินัยนี้ท่านเรียกว่า ย่อมกำจัดได้โดยปริยายนั้น ๆ ด้วยวินัย 8 อย่างที่เหลือ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการกำจัดอาฆาตไว้ 5 อย่าง อย่างนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาฆาตซึ่งเกิดขึ้นแล้วแก่ภิกษุ อันเธอจะพึงกำจัดเสียได้
โดยประการทั้งปวง ในเพราะการกำจัดเสียได้ซึ่งอาฆาตใด ก็การกำจัดซึ่ง
อาฆาตเหล่านี้มี 5 อย่าง 5 อย่างอะไรบ้าง ? คือ ภิกษุทั้งหลาย อาฆาต
พึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด ภิกษุพึงเจริญเมตตาในบุคคลนั้น...พึงเจริญกรุณา...
พึงเจริญมุทิตา....พึงเจริญอุเบกขาในบุคคลนั้น พึงทำอมนสิการ (ความไม่
ใส่ใจ) ในบุคคลนั้นต่อไป อาฆาตในบุคคลนั้น อันภิกษุพึงกำจัดอย่างนี้

หรือว่าภิกษุพึงตั้ง (พิจารณา) ความที่สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน
นั่นเอง ในบุคคลนั้นไว้ให้มั่นคงว่า ท่านผู้มีอายุนี้ มีกรรมเป็นของของตน
มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็น
ที่พึ่งอาศัย จักทำกรรมอันใดไว้ดีหรือชั่ว ก็จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น และ
ท่านกล่าวการกำจัดอาฆาต 5 อย่าง โดยนัยแม้มีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มี
อายุ อาฆาตบังเกิดขึ้นแล้วแก่ภิกษุ อันท่านพึงกำจัดเสียได้โดยประการทั้งปวง
ในเพราะการกำจัดอาฆาตใด การกำจัดอาฆาตเหล่านี้มี 5 อย่าง 5 อย่าง
อะไรบ้าง ? คือ ดูก่อนท่านผู้มีอายุ บุคคลบางคนในโลกนี้ มีกายสมาจาร
ไม่บริสุทธิ์ มีวจีสมาจารไม่บริสุทธิ์ มีกายและวจีสมาจารไม่บริสุทธิ์ บุคคล
พึงกำจัดอาฆาตในบุคคลเห็นปานนี้แล บุคคลนี้แม้กำจัดอาฆาตอย่างใดอย่าง
หนึ่ง ในบรรดาอาฆาต 5 อย่างนั้น ท่านเรียกว่า วิเนติ (ย่อมกำจัด).
อีกอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อภิกษุระลึกถึงโอวาทของพระศาสดาอย่างนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้หากว่าพวกโจรที่มีใจต่ำช้า พึงเอาเลื่อยมีคมสองข้าง
ตัดอวัยวะน้อยใหญ่ ผู้ใดพึงยังใจให้ประทุษร้ายแม้ในโจรนั้น เธอนั้นไม่ชื่อว่า
ทำตามคำสอนของเรา เพราะทำใจให้ประทุษร้ายในโจรนั้น ดังนี้ เมื่อระลึก
ถึงโอวาทของพระศาสดาที่ตรัสไว้อีกว่า
ผู้ใดย่อมโกรธตอบต่อผู้โกรธแล้ว
ผู้นั้นแลเลวเสียกว่าผู้โกรธทีแรกนั้นอีก
เพราะเหตุที่โกรธตอบเขานั้น ผู้ที่ไม่โกรธ
ตอบต่อผู้ที่โกรธตนแล้ว ชื่อว่าย่อมชนะสง-
ครามซึ่งชนะได้แสนยาก ผู้ที่รู้ว่าคนอื่นโกรธ

แล้วเป็นผู้มีสติสงบเสงี่ยม ชื่อว่า ประพฤติ
ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งฝ่ายตน และ
ผู้อื่น.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม 7 ประการเหล่านี้ เป็นธรรมอันบุคคล
ผู้เป็นข้าศึกมุ่งแล้ว เป็นธรรมอันบุคคลผู้เป็นศัตรูพึงทำแก่กัน ย่อมมาถึงหญิง
หรือชายผู้เป็นคนขี้โกรธ ธรรม 7 ประการอะไรบ้าง ? คือ
(1) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนที่เป็นศัตรูกันในโลกนี้ ย่อมปรารถนา
ต่อคนที่เป็นศัตรู (ของตน) อย่างนี้ว่า โอหนอ ! ขอให้เจ้าคนนี้ พึงเป็น
ผู้มีผิวพรรณทราม ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า
คนที่เป็นศัตรูกัน ย่อมไม่ยินดีในการที่คนที่เป็นศัตรูของตนมีผิวพรรณเปล่ง-
ปลั่ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษบุคคลขี้โกรธนี้ถูกความโกรธครอบงำ มีความ
โกรธออกหน้า แม้เขาจะอาบน้ำแล้วอย่างสะอาด ลูบไล้อย่างดี ตัดผมและ
หนวดแล้ว นุ่งผ้าสะอาดก็จริง ถึงกระนั้น เขามีความโกรธครอบงำแล้ว
ย่อมมีผิวพรรณทรามแท้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมข้อที่หนึ่งนี้ ที่บุคคล
ผู้เป็นศัตรูกันชอบใจ ที่บุคคลผู้เป็นศัตรูกันพึงทำแก่กัน ย่อมมาถึงหญิงหรือ
ชายผู้ขี้โกรธ
(2) ภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอีก ศัตรูย่อมหวังต่อศัตรู (ของตน)
อย่างนี้ว่า ขอให้บุคคลนี้พึงนอนเป็นทุกข์ ฯลฯ
(3) ฯลฯ ขออย่าให้มันมีทรัพย์พอใช้จ่าย ฯลฯ
(4) ฯลฯ ขออย่าให้มันมีโภคทรัพย์ ฯลฯ

(5) ฯลฯ ขออย่าให้มันมียศ ฯลฯ
(6) ฯลฯ ขออย่าให้มันมีเพื่อน ฯลฯ
(7) ฯลฯ เพราะกายแตกเบื้องหน้าแต่ตาย ขอให้มันเข้าถึงอบาย
ทุคติ วินิบาต นรก ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ศัตรู
ย่อมไม่ยินดีด้วยการไปสุคติของศัตรู (ของตน) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษ
บุคคลขี้โกรธนี้ ถูกความโกรธครอบงำแล้ว มีความโกรธออกหน้า ย่อม
ประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา และทางใจ เขาครั้นประพฤติทุจริตทางกาย
ทางวาจาและทางใจแล้ว เบื้องหน้าแต่การตายเพราะกายแตก เป็นผู้ถูกความ
โกรธครอบงำแล้ว ก็ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ดังนี้
และแม้เมื่อพิจารณาโทษในความโกรธ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า
คนโกรธย่อมไม่รู้อรรถ คนโกรธ
ย่อมไม่เห็นกรรม ความโกรธย่อมครอบงำ
นรชนใด ความมืดบอดก็ย่อมมีแก่นรชนนั้น
ในกาลนั้น สัตว์ทั้งหลายโกรธเพราะความ
โกรธใดแล ย่อมเข้าถึงทุคติ ท่านผู้มีปัญญา
เห็นแจ้งทั้งหลาย รู้ดีแล้วจึงละความโกรธ
นั้นเสีย.

บุคคลพึงละความโกรธ พึงสละมานะ
พึงก้าวล่วงสังโยชน์ทั้งปวงเสีย.

ความโกรธก่อให้เกิดเสื่อมเสีย ความ
โกรธทำจิตให้กำเริบ คนย่อมไม่รู้จักความ
โกรธที่เกิดขึ้นแล้ว แต่จิตว่า เป็นภัย.

ดูก่อนท่านผู้มีปัญญาเพียงดังแผ่นดิน
ท่านจงข่มความผิดพลาดครั้งหนึ่งเสีย
บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่มีความโกรธเป็น
พลัง
ดังนี้.
ความโกรธก็ย่อมถึงความกำจัดไป ฉะนั้น บุคคลนี้ แม้พิจารณา
อย่างนี้แล้วกำจัดความโกรธอยู่ ท่านเรียกว่า วิเนติ (ย่อมกำจัด).
บทว่า โกธํ ได้แก่ ความอาฆาตที่เกิดขึ้นแต่อาฆาตวัตถุอย่างใด
อย่างหนึ่ง ในบรรดาอาฆาตวัตถุ 18 คือ อาฆาตวัตถุ 9 อย่าง ที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสไว้ในพระสูตร โดยนัยว่า " ย่อมบังเกิดอาฆาตขึ้นว่า เขาได้
ประพฤติความฉิบหายให้แก่เรา เป็นต้น " และอาฆาตวัตถุ 9 อย่าง ซึ่ง
สำเร็จแล้วโดยนัยตรงกันข้ามกับอาฆาตวัตถุ 9 อย่างแรกนั้นนั่นแลว่า เขาไม่ได้
ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เรา เป็นต้น จึงรวมเป็นอาฆาตวัตถุ 19
พร้อมกับอัฏฐานะ มีตอและหนามตำเป็นต้น.
บทว่า วิสฏํ ได้แก่ ซ่านไป.
บทว่า สปฺปวิสํ ได้แก่ พิษงู.
คำว่า อิว เป็นคำอุปมา. ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า สปฺปวิสํว
ก็เพราะลบอิอักษรออกเสีย.
บทว่า โอสเถภิ ได้แก่ ด้วยยาทั้งหลาย ท่านอธิบายไว้ว่า " ผู้ใด
ย่อมกำจัด คือ ย่อมอดกลั้น ได้แก่ ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้ถึง
ที่สุด ซึ่งความโกรธที่เกิดขึ้นแล้วตามอรรถที่กล่าวแล้ว คือ ที่ซึมซาบไปทั่ว

จิตสันดานแล้วตั้งอยู่ด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาอุบายเครื่องกำจัด
ทั้งหลาย ตามที่กล่าวแล้ว เหมือนหมอที่กำจัดพิษ ซึ่งถูกงูกัด พึงกำจัดพิษงู
ที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายแล้วคงอยู่ด้วยยานานาชนิด บรรดายาที่ทำด้วยรากไม้
ต้นไม้ เปลือกไม้ ใบ และดอก เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือด้วยโอสถ
ที่จัดปรุงขึ้น ได้ฉับพลันทีเดียวฉะนั้น.
บาทพระคาถาว่า โส ภิกฺขุ ชหาติ โอรปารํ ความว่า ภิกษุ
นั้นกำจัดความโกรธอยู่อย่างนี้ เพราะเหตุที่ความโกรธท่านละเสียได้สิ้นเชิง
ด้วยมรรคที่สาม (อนาคามิมรรค) ฉะนั้น ภิกษุนั้น พึงทราบว่า ย่อมละ
โอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 ประการที่เรียกกันว่า โอปาระฝั่งในเสียได้ แต่เมื่อ
กล่าวโดยไม่แปลกกันแล้ว คำว่า ปารํ เป็นชื่อของฝั่ง ฉะนั้น ท่านจึง
เรียกว่า โอรปารํ ก็เพราะอธิบายว่าฝั่งในด้วยเป็นฝั่งแห่งทะเล คือสังสารวัฏ
เหล่านั้นด้วย.
อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุใดกำจัดความโกรธที่บังเกิดขึ้นเสียได้ เหมือน
หมอกำจัดพิษงูที่ซ่านไปด้วยโอสถ ฉะนั้น ภิกษุนั้น กำจัดความโกรธได้สิ้นเชิง
ด้วยมรรคที่สาม แล้วตั้งอยู่ในอนาคามิผล ชื่อว่าย่อมละฝั่งในและฝั่งนอก
เสียได้.
ในคำว่า โอรปารํ นั้น อัตภาพของตน ชื่อว่า โอรํ ฝั่งใน.
อัตภาพของคนอื่น ชื่อว่า ปารํ ฝั่งนอก.
อีกอย่างหนึ่ง อายตนะภายใน 6 ชื่อว่าฝั่งใน อาตยนะภายนอก 6
ชื่อว่า ฝั่งนอก.

อนึ่ง มนุษยโลกชื่อว่าฝั่งใน เทวโลกชื่อว่าฝั่งนอก กามธาตุชื่อว่า
ฝั่งใน รูปธาตุและอรูปธาตุชื่อว่าฝั่งนอก กามและรูปภพ ชื่อว่า ฝั่งใน อรูปภพ
ชื่อว่า ฝั่งนอก. อัตภาพชื่อว่าฝั่งใน อุปกรณ์แห่งความสุขของอัตภาพชื่อว่า
ฝั่งนอก.
ภิกษุละอยู่ซึ่งฉันทราคะ ในฝั่งในและฝั่งนอกนี้ ด้วยมรรคที่สี่อย่างนี้
ท่านเรียกว่า ย่อมละฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้ ก็ในฝั่งในและฝั่งนอกนี้ พระ-
อนาคามีไม่มีฉันทราคะเลยในอัตภาพนี้เป็นต้น เพราะเหตุที่ท่านละกามราคะ
ได้แล้วแม้ก็จริง แต่ถึงกระนั้น ท่านก็ยังกล่าวว่า ย่อมละฝั่งในและฝั่งนอกได้
ด้วยการละฉันทราคะ ในพระคาถานั้น เพราะสงเคราะห์ฝั่งในและฝั่งนอก
ทั้งหมดนี้เข้าด้วยกัน ก็เพื่อจะประกาศคุณแห่งมรรคที่ 4 นั้น เหมือนมรรคที่
3 เป็นต้น.
บัดนี้ เพื่อจะประกอบเนื้อความนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส
อุปมาว่า เหมือนกับงูละคราบเก่าที่คร่ำคร่าไปฉะนั้น.
ในพระคาถานั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ สัตว์ที่ชื่อว่า งู เพราะอรรถ
วิเคราะห์ว่า ไปด้วยอก. คำว่า อุรโค เป็นชื่อของงู งูนั้นมี 2 ชนิด คือ
งูที่มีกามเป็นรูป 1 งูที่มีอกามเป็นรูป 1 แม้งูที่มีกามเป็นรูปก็มี 2 ชนิด คือ
งูที่เกิดในน้ำ 1 งูที่เกิดบนบก 1 งูที่เกิดในน้ำย่อมได้กามรูปในน้ำเท่านั้น
หาได้กามรูปบนบกไม่ ดุจสังขปาลนาคราช ในสังขปาลชาดก. งูที่เกิดบนบก
ย่อมได้กามรูปบนบกเท่านั้น หาได้กามรูปในน้ำไม่ งูนั้นย่อมลอกหนังที่
เรียกกันว่า คร่ำคร่า เพราะเป็นของแก่ และว่าเก่า เพราะดำรงอยู่สิ้นกาลนาน
จึงลอกคราบไปด้วยวิธี 4 อย่างคือ 1. ดำรงอยู่ในชาติกำเนิดของตน
2. เกลียดอยู่ 3. เพราะอาศัย 4. ด้วยกำลัง.

ชาติกำเนิดของงูชื่อว่า สชาติ ได้แก่ การมีตัวยาว ด้วยว่างูทั้งหลาย
ย่อมไม่ล่วงชาติกำเนิดของตน ในฐานะทั้ง 5 คือ 1. ในกาลอุบัติ 2. ในกาล
จุติ 3. ในกาลล่วงความหลับที่ตนปล่อยแล้ว 4. ในกาลเสพเมถุนกับ
นางนาคที่มีชาติกำเนิดเสมอกัน 5. ในกาลลอกคราบ เพราะเมื่อใดก็ตามที่งู
ลอกคราบ เมื่อนั้นงูนั้นทั้ง ๆ ที่ยังดำรงอยู่ในชาติกำเนิดของตนนั่นเอง ก็ย่อม
ลอกคราบ แม้ดำรงอยู่ในชาติกำเนิดของตน รังเกียจอยู่ (อึดอัดอยู่) ก็ย่อม
ลอกคราบ.
งูที่ชื่อว่า เกลียดคราบอยู่ คือ เมื่อใดก็ตามที่ตนเป็นผู้พ้นจากคราบ
ในฐานะกึ่งหนึ่ง ไม่พ้นจากคราบไปในฐานะกึ่งหนึ่ง ห้อยอยู่ เมื่อนั้น งูนั้น
อึดอัดอยู่ ย่อมลอกคราบนั้นไป.
ก็งูนั้น แม้รังเกียจอยู่อย่างนี้ อาศัยระหว่างท่อนไม้บ้าง ระหว่างรากไม้
บ้าง ระหว่างแผ่นหินบ้าง ย่อมลอกคราบนั้นไป.
ก็งูนั้นได้อาศัยระหว่างท่อนไม้เป็นต้น แม้เมื่อจะลอกคราบไป ทำ
กำลังให้เกิดแล้ว กระทำความอุตสาหะ กระทำหางให้คดด้วยความเพียร กําลัง
เห็นอยู่นั่นเอง แผ่พังพานก็ย่อมลอกคราบไปได้ งูนั้นครั้นลอกคราบอย่างนี้แล้ว
ก็ย่อมหลีกไปได้ตามปรารถนา ฉันใด ภิกษุแม้นี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ปรารถนา
จะละฝั่งในและฝั่งนอก ย่อมละไปได้ด้วยอาการ 4 คือ
1. แม้ดำรงอยู่แล้วในชาติกำเนิดของตน
2. เกลียดอยู่ลอกคราบไป
3. ย่อมลอกคราบไปเพราะอาศัย
4. ย่อมลอกคราบไปด้วยกำลัง.

ศีลชื่อว่าชาติกำเนิดของภิกษุ เพราะพระบาลีว่า เราเกิดแล้วแต่อริยชาติ
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุเป็นคนมีปัญญาดำรงอยู่ใน
ศีลแล้ว เป็นต้น. ภิกษุดำรงอยู่ในชาติของตนนี้ อย่างนี้แล้ว เกลียดซึ่งฝั่งใน
แต่ฝั่งนอกมีอัตภาพของตนเป็นต้นนั้น ซึ่งยังทุกข์ให้เกิดขึ้น เพราะการเห็น
โทษในเรื่องนั้น ๆ ดุจงูเกลียดอยู่ซึ่งคราบอันเก่าคร่ำคร่าของตนฉะนั้น อาศัย
กัลยาณมิตรทั้งหลาย ทำกำลังกล่าวคือความเพียรอันมีประมาณยิ่งให้เกิดขึ้น
แบ่งกลางคืนและกลางวันออกเป็น 6 ส่วน แล้วเพียรพยายามอยู่ โดยนัยที่ท่าน
กล่าวไว้ว่า ภิกษุชำระจิตให้สะอาดจากอาวรณียธรรมทั้งหลาย ด้วยการเดิน
จงกรมและด้วยการนั่งตลอดทั้งวัน ดังนี้เป็นต้น นั่งคู้บัลลังก์ ดุจงูทำหาง
ของตนให้คดฉะนั้น ภิกษุแม้นี้พยายามอยู่ เพราะความที่ตนมีความบากบั่น
ไม่ท้อถอย ดุจงูที่กำลังมองดูฉะนั้น ภิกษุแม้นี้ ทำความแผ่ไปแห่งญาณให้
บังเกิดขึ้น ดุจงูแผ่พังพานไปฉะนั้น ก็ย่อมละฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้ ดุจงู
ลอกคราบฉะนั้น ก็ครั้นสละฝั่งในและฝั่งนอกได้แล้ว เป็นผู้มีคราบอันละแล้ว
ดุจงูลอกคราบแล้วฉะนั้น ภิกษุแม้นี้ เป็นผู้มีภาระอันปลงลงแล้ว ย่อมก้าว
ไปสู่ทิศคืออนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ได้ตามปรารถนา เพราะเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ภิกษุใดกำจัดความโกรธที่เกิดขึ้นแล้ว
เสียได้ ดุจหมองูกำจัดพิษงูที่ซ่านไปด้วย
โอสถฉะนั้น ภิกษุนั้นย่อมละฝั่งในและฝั่ง
นอกเสียได้ ดุจงูละคราบเก่าที่คร่ำคร่าเสีย
ฉะนั้น.

คาถาที่หนึ่งนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงด้วยอด คือ พระอรหัต
ด้วยประการฉะนี้แล.
บัดนี้ ถึงลำดับการพรรณนาเนื้อความแห่งคาถาที่ 2 ในคาถาที่ 2 นั้น
มีมาติกา (หัวข้อ) ดังนี้เหมือนกันว่า
คาถานี้ใครกล่าว ? กล่าวที่ใด ?
กล่าวเมื่อใด ? กล่าวเพราะเหตุไร ? ข้าพเจ้า
จักประกาศวิธีนี้ แล้วทำการอธิบายความ
แห่งพระคาถานั้น.

ต่อแต่นั้นไป ก็เพราะกลัวความพิสดารเกินไปในคาถาทั้งปวง นับ
แต่นี้ไป ข้าพเจ้าจะไม่ยกมาติกามาแสดง แสดงอยู่ซึ่งเนื้อความแห่งคาถานั้นๆ
โดยนัยแสดงเหตุเกิดขึ้นเท่านั้น จักกระทำการอธิบายเนื้อความ คือ คาถาที่ 2
นี้ว่า โย ราคมุทจฺฉิทา อเสสํ เป็นต้น. คาถาที่ 2 นั้น มีเหตุเกิดขึ้น
ดังต่อไปนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในพระเชตวัน อารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้เมืองสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล บุตรช่างทองคนหนึ่ง
ซึ่งเป็นอุปัฏฐากของพระสารีบุตรเถระ ได้บวชในสำนักของพระเถระ พระเถระ
คิดว่า อสุภกรรมฐานเหมาะสำหรับคนหนุ่มทั้งหลาย จึงได้ให้อสุภกรรมฐาน
แก่พระหนุ่มนั้น เพื่อกำจัดราคะ. จิตแม้สักว่า เสพคุ้นในกรรมฐานนั้น ก็ไม่
เกิดแก่พระภิกษุนั้น ท่านจึงได้บอกแก่พระเถระว่า กรรมฐานนี้ไม่เป็นอุปการะ
แก่ผม พระเถระคิดว่า กรรมฐานนี้เหมาะสำหรับคนหนุ่มทั้งหลาย จึงได้ให้
กรรมฐานนั้นนั่นแลซ้ำอีก 4 เดือนผ่านไปอย่างนี้ ภิกษุนั้นไม่ได้คุณวิเศษแม้

สักอย่างหนึ่ง. ต่อจากนั้น พระเถระจึงได้กราบทูลถึงเรื่องภิกษุนั้นแม้แด่พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สารีบุตร การรู้กรรมฐานที่สบาย
แก่ภิกษุนั้น ไม่ใช่วิสัยของเธอ ภิกษุนี้เป็นผู้ที่พระพุทธเจ้าจะพึงแนะนำ
ดังนี้แล้ว จึงทรงเนรมิตดอกปทุมมีสีประภัสสร (สีเลื่อม ๆ พราย ๆ) ด้วยฤทธิ์
ทรงประทานในมือของพระภิกษุนั้นแล้ว ตรัสว่า เอาเถิดภิกษุ เธอจงเอาก้าน
ดอกปทุมนี้ปักลงบนเนินทราย ที่ร่มเงาหลังวิหาร และจงนั่งขัดสมาธิหันหน้า
ไปหาดอกปทุมนั้น ระลึกภาวนาอยู่ว่า โลหิตํ ๆ (สีแดง ๆ) ทราบว่า ภิกษุนี้
เคยเกิดเป็นช่างทองอย่างเดียวมาถึง 500 ชาติ. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงทราบว่า นิมิตแห่งสีแดง เหมาะสำหรับภิกษุนั้น จึงได้ทรงประทาน
โลหิตกรรมฐานแก่ภิกษุนั้น ภิกษุนั้นได้กระทำตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
แนะนำ เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก็ได้บรรลุแม้ฌาน 4 ในที่นั้นตามลำดับ ปรารภ
ฌานกีฬาโดยนัย มีอนุโลมและปฏิโลมเป็นต้น ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงอธิษฐานว่า ขอดอกปทุมนี้จงเหี่ยว ภิกษุนั้นออกจากฌาน เห็นดอกปทุมนั้น
ซึ่งเหี่ยวแห้งไปเป็นสีดำ จึงได้อนิจจสัญญาว่า รูปที่ประภัสสรถูกชราย่ำยีแล้ว
ต่อแต่นั้น ท่านได้นำดอกปทุมที่เหี่ยวแห้งนั้น น้อมเข้าไปแม้ภายใน ต่อจากนั้น
ท่านได้เห็นภพทั้ง 3 ปรากฏดุจไฟติดทั่วแล้วว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น
เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา.
ก็ในที่ไม่ไกลจากภิกษุนั้นผู้เห็นอยู่อย่างนี้ มีสระบัวอยู่สระหนึ่ง พวก
เด็ก ๆ ลงไปในสระนั้น หักดอกปทุมทั้งหลาย แล้ว (นำมา) ทำเป็นกองไว้
ดอกปทุมในน้ำเหล่านั้น ปรากฏแก่ภิกษุนั้น ดุจเปลวไฟที่ป่าไม้อ้อ ใบทั้งหลาย

(ของดอกปทุมเหล่านั้น) หล่นลงก็ปรากฏแก่ภิกษุนั้นดุจตกลงไปในเหว ส่วน
ยอดของดอกปทุมที่ทิ้งไว้บนบก เหี่ยวแห้งไปแล้ว ปรากฏดุจถูกไฟไหม้
ครั้งนั้น เมื่อภิกษุนั้นเพ่งพินิจธรรมทั้งปวงตามกระแสแห่งธรรมนั้นอยู่. ภพ
ทั้งสามก็ปรากฏเป็นสภาพหาที่พึ่งพิงไม่ได้ ประดุจเรือนถูกไฟไหม้ ฉะนั้น.
ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งที่ประทับอยู่ในพระคันธกุฎีนั่นเอง
ก็ทรงแผ่รัศมีแห่งพระสรีระไปเบื้องบนพระภิกษุนั้น และพระรัศมีนั้นก็ท่วมทับ
ใบหน้าของภิกษุนั้นเต็มที่ ลำดับนั้น ท่านนึกรำพึงอยู่ว่า นี้อะไรกัน ได้เห็น
พระผู้มีพระภาคเจ้าราวกะว่าเสด็จมาประทับยืนอยู่ใกล้ จึงได้ลุกขึ้นจากอาสนะ
ประคองอัญชลี.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความสบายของพระภิกษุนั้น
เมื่อจะทรงแสดงธรรมจึงได้ตรัสโอภาสคาถานี้ ว่า โย ราคมุทจฺฉิกา อเสสํ
เป็นต้น.
ในคาถานั้น ที่ชื่อว่าราคะ ก็ด้วยอำนาจแห่งความรัญจวน. คำว่า
ราคะนี้ เป็นชื่อแห่งราคะ คือ กามคุณ 5.
บทว่า อุทจฺฉิกา ได้แก่ ย่อมตัด คือหัก ได้แก่ ทำให้พินาศ. จริงอยู่
นักประพันธ์ทั้งหลาย ย่อมปรารถนาคำที่เป็นวัตตมานาวิภัตติว่า ฉินฺทติ แม้
สำหรับคำทั้งหลายที่เป็นอดีตกาล.
บทว่า อเสสํ ได้แก่ไม่มีส่วนเหลือ (คือหมดสิ้นทั้งอนุสัย).
สองบทว่า ภึสปุปฺผํว สโรรุหํ ความว่า ราวกะว่า ดอกบัวนี้งอก
ขึ้นแล้วในสระ.

บทว่า วิคยฺห ได้แก่ ลงแล้ว อธิบายว่า เข้าไปแล้ว . คำที่เหลือ
เช่นเดียวกับที่กล่าวมาในตอนต้นนั่นเอง.
ถามว่า ท่านกล่าวอธิบายอะไรไว้ ?
ตอบว่า เปรียบเหมือนเด็กเหล่านี้ลงสู่สระ เด็ดดอกปทุม ซึ่งงอกใน
สระ ชื่อฉันใด ภิกษุใด หยั่งลงแล้วสู่โลกสันนิวาส คือ ไตรธาตุนี้ เข้าถึงแล้ว
ซึ่งนัย มีอาทิอย่างนี้ว่า
ไฟที่จะเสมอด้วยราคะไม่มี เราย่อม
เร่าร้อนด้วยกามราคะ จิตของเราถูกกามราคะ
เผาไหม้อยู่ สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดถูกราคะ
ย้อมแล้ว ย่อมตกลงไปสู่กระแสแห่งกิเลส
ทั้งหลาย ประดุจแมลงมุมตกลงไปสู่สายใย
ที่ตนเองทำไว้ฉะนั้น.

ดูก่อนอาวุโส บุคคลผู้ถูกราคะย้อมแล้วแล มีจิตถูกราคะครอบงำแล้ว
ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง ดังนี้แล้ว ก็ถอนราคะไปทีละน้อยอยู่ ด้วยการพิจารณาโทษ
ของราคะ ด้วยการสำรวมทั้งหลาย มีการสำรวมศีลเป็นต้น มีประการตามที่
ข้าพเจ้ากล่าวแล้ว และด้วยความสำคัญว่า ไม่งามในวัตถุทั้งหลาย ทั้งที่มี
วิญญาณและไม่มีวิญญาณ ชื่อว่าย่อมตัดกิเลสที่เหลือด้วยอนาคามิมรรค และ
แม้กิเลสที่ยังเหลืออยู่ (อีก) จากอนาคามิมรรคนั้นเสียได้ด้วยอรหัตมรรค ภิกษุ
นั้นชื่อว่าย่อมละฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้ โดยประการที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วใน
ตอนต้นนั่นเอง ดุจงูละคราบที่เก่าคร่ำคร่าไปฉะนั้น ฉันนั้นเหมือนกัน.

คาถานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว ด้วยยอดคือพระอรหัต ด้วย
ประการฉะนี้ ก็ในที่สุดแห่งเทศนา ภิกษุนั้นดำรงอยู่แล้วในพระอรหัต.
ถามว่า คาถาที่ว่า โย ตณฺหมุทจฺฉิทา เป็นต้น มีเหตุเกิดขึ้น
เป็นอย่างไร ?
ตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถี ภิกษุรูปหนึ่ง
อยู่ที่ฝั่งสระโปกขรณี ชื่อ คัคครา กำลังตรึกอกุศลวิตกอยู่ด้วยอำนาจของตัณหา
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอัธยาศัยของท่าน จึงได้ทรงภาษิตโอภาสคาถานี้.
ในพระคาถานั้น ที่ชื่อว่าตัณหา เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องสะดุ้ง (แห่ง
หมู่สัตว์) อธิบายว่า หมู่สัตว์ย่อมไม่ถึงความอิ่ม ด้วยอารมณ์ทั้งหลาย คำว่า
ตัณหานี้ เป็นชื่อของกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา.
บทว่า สุรตํ ได้แก่ไปแล้ว คือ เป็นไปแล้ว มีคำอธิบายว่า ท่วมทับ
สัตวโลก ตั้งแต่ภวัครพรหมดำรงอยู่.
บทว่า สีฆสรํ ได้แก่มี ปกติไปรวดเร็ว มีคำอธิบายว่า ตัณหาซึ่งไม่
คำนึงถึงโทษ ที่เป็นไปในปัจจุบันและสัมปรายภพ สามารถเพื่อจะให้ถึงจักรวาล
อื่นบ้าง ภวัครพรหมบ้าง โดยครู่เดียวเท่านั้น.
ผู้ใดทำตัณหานี้ ซึ่งซ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้โดยประการทั้งปวง
ให้เหือดแห้งไปทีละน้อย ๆ โดยการพิจารณาถึงโทษอย่างนี้ว่า
ก็ชนเหล่าใดปรารถนาอยู่ ซึ่งตัณหา
อันกว้างขวางในเบื้องบน อันบุคคลให้เต็ม
ได้โดยยาก อันมีปกติซ่านไป ย่อมติดมั่น
ตัณหานั้น ชนเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้ทรงไว้
ซึ่งจักร (ล้อ)
ว่า

บุรุษผู้มีตัณหาเป็นเพื่อน ท่องเที่ยว
ไปอยู่ตลอดกาลนาน ย่อมไม่ข้ามพ้น
สังสารวัฏ ซึ่งมีความเป็นอย่างนี้ และไม่มี
ความเป็นอย่างอื่น

และว่า " มหาบพิตร โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาส
ของตัณหา " ดังนี้ และด้วยคุณทั้งหลายมีศีลสังวรเป็นต้น มีประการดังที่
ข้าพเจ้ากล่าวแล้ว แล้วตัดตัณหาไม่ให้เหลือ ด้วยอรหัตมรรค ภิกษุนั้นชื่อว่า
ย่อมละฝั่งในและฝั่งนอกได้ โดยประการทั้งปวง ในขณะนั้นนั่นเอง. ในที่สุด
แห่งเทศนา พระภิกษุนั้นดำรงอยู่แล้วในพระอรหัต.
มีคำถามว่า คาถาที่ว่า โย มานมูทพฺพธิ เป็นต้น มีเหตุบังเกิด
ขึ้นเป็นอย่างไร ?
ตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทัปอยู่ในเมืองสาวัตถี ภิกษุรูปหนึ่ง
อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ คงเห็นสะพานไม้อ้อที่เขาทำไว้ที่กระแสน้ำอันมีน้ำน้อยในฤดูร้อน
ถูกห้วงน้ำใหญ่ไหลในภายหลังพัดแล้ว ก็เกิดความสังเวชขึ้นว่า " สังขารทั้งหลาย
ไม่เที่ยง " ได้ยืนอยู่แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอัธยาศัยของท่าน จึง
ได้ทรงเปล่งโอภาสคาถานี้.
มานะคือความฟูขึ้นแห่งใจ ซึ่งมีชาติกำเนิดเป็นต้นเป็นวัตถุ ชื่อว่า
มานะ ในคาถานั้น. มานะนั้นมี 3 อย่าง คือ 1. การถือว่าเราเป็นผู้เลิศกว่า
เขา 2. การถือว่าเราเป็นผู้เสมอเขา 3. การถือว่าเราเป็นผู้เลวกว่าเขา.
อีกอย่างหนึ่ง มานะมี 9 อย่าง คือ

1. เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่า เลิศกว่าเขา
2. " สำคัญตัวว่า เสมอเขา
3. " สำคัญตัวว่า เลวกว่าเขา
4. เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่า เลิศกว่าเขา
5. " สำคัญตัวว่า เสมอเขา
6. " สำคัญตัวว่า เลวกว่าเขา
7. เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่า เลิศกว่าเขา
8. " สำคัญตัวว่า เสมอเขา
9. " สำคัญตัวว่า เลวกว่าเขา.
คำอธิบายว่า ภิกษุใดฆ่ามานะ แม้มีประการทั้งปวงนั้น ด้วยการ
พิจารณาเห็นโทษในมานะนั้น โดยนัยว่า
สัตว์ทั้งหลาย เมาแล้วแล เพราะ
มานะใด ย่อมไปสู่ทุคติเป็นต้น.

และด้วยศีลสังวรเป็นต้น มีประการดังที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้ว ได้ทีละ
น้อย ๆ ชื่อว่าถอนขึ้นซึ่งมานะ อันเช่นกับสะพานไม้อ้อ เพราะความที่กิเลส
ทั้งหลายไม่มีกำลัง และมีกำลังทราม (และ) ถอนกิเลสที่เหลือด้วยอรหัตมรรค
อันเช่นกับห้วงน้ำใหญ่ เพราะโลกุตรธรรรมทั้งหลายมีกำลังยิ่งนัก เมื่อถอนขึ้น
ด้วยสามารถแห่งการละเสียไม่ให้เหลือ ชื่อว่า ย่อมฆ่า (ซึ่งมานะ) ภิกษุนั้น
ชื่อว่าย่อมละฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้ แม้โดยประการทั้งปวง ในขณะนั้น
นั่นเอง. ในที่สุดแห่งเทศนา ภิกษุนั้นดำรงอยู่แล้วในพระอรหัต.

มีคำถามว่า คาถาที่ว่า โย นาชฺฌคมา เป็นต้น มีเหตุเกิดขึ้น
เป็นอย่างไร ?
ตอบว่า การเกิดขึ้นแห่งคาถานี้ และแห่งคาถา 12 คาถาเหล่าอื่น
ซึ่งต่อจากนี้ ก็เป็นเช่นเดียวกันนั่นเอง คือ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่กรุงสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล
พราหมณ์คนหนึ่ง เมื่อบุตรสาวของตนดำรงอยู่ในปฐมวัยที่คนอื่นจะพึงขอได้
คิดว่า " เราจักประดับตกแต่งบุตรสาวด้วยดอกไม้ ที่คนถ่อยไร ๆ ไม่เคยใช้สอย
แล้วส่งไปสู่สกุลสามี " พราหมณ์นั้นเมื่อตรวจค้นทั่วกรุงสาวัตถี ทั้งภายใน
และภายนอกกรุง ก็ไม่ได้พบแม้สักว่าดอกหญ้าไร ๆ ที่คนถ่อยไม่เคยใช้สอย
ครั้นเขาได้เห็นพวกเด็กลูกพราหมณ์เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นพวกนักเลงประชุม
กันอยู่จึงคิดว่า " ข้าพเจ้าจักถามพวกเด็กเหล่านี้ ในเด็กเป็นจำนวนมาก จัก
ต้องมีใครสักคนหนึ่งรู้แน่นอน " แล้วจึงได้ถามพวกเด็กพราหมณ์เหล่านั้น.
พวกเด็กพราหมณ์เหล่านั้น เมื่อจะเย้ยหยันพราหมณ์นั้น จึงกล่าวว่า
ท่านพราหมณ์ ธรรมดาว่าดอกมะเดื่อใคร ๆ ในโลกก็ไม่เคยใช้สอยกัน ท่าน
จงให้ธิดาประดับด้วยดอกมะเดื่อนั้น แล้วจงให้ (ธิดาของท่าน) ในวันที่สอง
พราหมณ์ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ยังไม่ได้รับประทานอาหาร ก็ไปยังป่ามะเดื่อบนฝั่ง
แม่น้ำอจิรวดี แสวงหาต้นไม้ต้นหนึ่ง ๆ อยู่ ก็ไม่ได้พบแม้สักว่าขั้วแห่งดอก
(มะเดื่อ) ครั้งนั้นเมื่อเลยเวลาเที่ยงไปแล้ว พราหมณ์ก็ได้ไปเป็นครั้งที่สอง
ก็ที่ป่ามะเดื่อนั้น ภิกษุรูปหนึ่งนั่งพักกลางวันมนสิการกรรมฐานอยู่ ที่โคนต้น
มะเดื่ออันรื่นรมย์ต้นหนึ่ง. พราหมณ์นั้นเข้าไปในที่ ๆ พระภิกษุนั้นนั่งอยู่นั้น

ไม่สนใจ นั่งแล้วครู่หนึ่ง ก็กลับนั่งยอง ๆ ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืนครู่หนึ่ง
ค้นอยู่ซึ่งต้นไม้นั้น ในระหว่างกิ่งและคาคบทั้งปวง ลำบากอยู่ (เหน็ดเหนื่อยอยู่).
ลำดับนั้น ภิกษุนั้นกล่าวกะพราหมณ์นั้นว่า ่" พราหมณ์ท่านแสวงหา
อะไร ? "
พราหมณ์นั้นตอบว่า " ผมแสวงหาดอกมะเดื่อขอรับ "
ภิกษุนั้นกล่าวว่า " พราหมณ์ ธรรมดาว่าดอกมะเดื่อไม่มีในโลก
คำพูดนี้ (คำว่าดอกมะเดื่อมี) เป็นคำเท็จ ท่านอย่าได้ลำบากเลย "
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอัธยาศัยของภิกษุนั้น จึงทรง
เปล่งรัศมี แล้วได้ตรัสโอภาสคาถาทั้งหลายเหล่านี้ แก่ภิกษุนั้น ผู้มีมานะมาก
อันประมวลมาถึงพร้อมแล้วว่า โย นาชฺฌคมา ภเวสุ สารํ เป็นต้น
ผู้ศึกษาควรกล่าวคาถาทุกคาถา.
ในบรรดาคาถาเหล่านั้น จะได้กล่าวถึงคาถาที่ 1 ก่อน. บทว่า
นาชฺฌคมา ได้แก่ ไม่ถึง คือ ไม่ประสบ.
บทว่า ภเวสุ ได้แก่ ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ สัญญีภพ
อสัญญีภพ เนวสัญญีนาสัญญีภพ เอกโวการภพ จตุโวการภพ และปัญจ-
โวการภพ.
บทว่า สารํ ได้แก่ ภาวะที่เที่ยง หรืออัตภาพ.
บทว่า วิจินํ คือ แสวงหาอยู่ด้วยปัญญา.
คำว่า ปุปฺผมิว อุทุมฺพเรส เป็นต้น มีเนื้อความและโยชนา
ดังนี้ว่า ก็พระโยคาวจร เลือกอยู่ด้วยปัญญา ก็ไม่พบสาระไร ๆ ในภพทั้งหลาย

เหมือนพราหมณ์นี้ เมื่อเลือกดอกที่ต้นมะเดื่อทั้งหลาย ก็ไม่พบดอกมะเดื่อ
ฉะนั้น พระโยคาวจรนั้น เห็นแจ้งธรรมเหล่านั้นอยู่ โดยความไม่เที่ยงและ
โดยความเป็นสภาพไม่ใช่ตน เพราะอรรถว่าหาสาระไม่ได้ บรรลุอยู่ซึ่ง
โลกุตรธรรมทั้งหลายโดยลำดับ ชื่อว่าย่อมละซึ่งฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้เหมือน
งูละคราบเก่าที่คร่ำคร่าเสียฉะนั้น. แต่ในคาถาที่เหลือทั้งหลาย ข้าพเจ้าจักไม่
กล่าวโยชนาแห่งคาถานั้น กล่าวเฉพาะเนื้อความที่แปลกกัน เท่านั้น.
ในสองบาทคาถาว่า ยสฺสนฺตรโต น สนฺติ โกปา อิติ ภวา-
ภวตญฺจ วีติวตฺโต
นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ อันตรศัพท์นี้ปรากฏ
ในอรรถทั้งหลายเป็นอันมาก มีอรรถว่าเหตุ อรรถว่าท่ามกลาง และอรรถว่า
จิต เป็นต้นอย่างนี้ว่า
ชนทั้งหลาย ประชุมปรึกษากัน ที่
ฝั่งแม่น้ำ ที่หนทาง ที่สภา และที่ถนน ส่วน
ข้าพเจ้าและท่านมาประชุมกัน เพราะเหตุ
อะไร1 ?

ว่า " บุคคลย่อมถึงที่สุด ในท่ามกลางได้ ด้วยการบรรลุคุณวิเศษ อันมี
ประมาณน้อย " และว่า
ความโกรธก่อให้เกิดความฉิบหาย
ความโกรธทำให้จิตกำเริบ ชนย่อมไม่รู้จัก
ความโกรธนั้นซึ่งบังเกิดขึ้นแต่จิตที่เป็นภัย.

แต่ในที่นี้ อันตรศัพท์ ใช้ในอรรถว่าจิต.2

1. สํ. สคาถา. 261. 2. อํ. สตฺตก. 99.

บาทคาถาว่า ยสฺสนตรโตโต น สนฺติ โกปา ความว่า ความโกรธ
ย่อมไม่มีในใจของผู้ใด เพราะความโกรธนั้น ท่านถอนขึ้นเสียแล้วด้วยมรรค
ที่ 3.
ก็เพราะเหตุที่สมบัติ ชื่อว่า ภวะ วิบัติชื่อ วิภวะ อนึ่ง ความเจริญ
ชื่อว่า ภวะ ความเสื่อมชื่อว่า วิภวะ ความเที่ยงชื่อว่า ภวะ ความขาดสูญ
ชื่อว่า วิภวะ บุญชื่อว่า ภวะ บาปชื่อว่า วิภวะ เมื่อว่าโดยใจความแล้ว
ทั้งวิภวะทั้งอภวะก็เป็นอันเดียวกันนั่นเอง ฉะนั้น ในคำว่า ภวาภวตญฺจ
วีติวตฺโต
นี้ พึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า ภิกษุนั้นชื่อว่า ล่วงความเสื่อม
และความเจริญ มีประการเป็นอเนก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ ด้วยอำนาจ
แห่งสมบัติ วิบัติ ความเจริญ ความเสื่อม ความเที่ยง ความขาดสูญ บุญ
และบาป ด้วยมรรคทั้ง 4 โดยนัยนั้น ๆ ตามสมควรแก่เหตุ.
ก็ในข้อว่า ยสฺส วิตกฺกา เป็นต้นนี้ มีอธิบายว่าภิกษุใด พิจารณา
เห็นโทษในวิตกนั้น ๆ แล้วกำจัดคือทำให้สงบ ได้แก่เผาผลาญ วิตก 9 อย่าง
คือ :-
วิตก 3 อย่าง คือ
1. กามวิตก (ความดำริในทางกาม)
2. พยาบาทวิตก (ความดำริในการปองร้าย)
3. วิหิงสาวิตก (ความดำริในการเบียดเบียน)
วิตก 3 อย่าง คือ
1. ญาติวิตก (การคิดกังวลถึงญาติ)
2. ชนปทวิตก (การคิดกังวลถึงชนบท)
3. อมรวิตก (การคิดกังวลถึงความไม่ตาย)

วิตก 3 อย่าง คือ
1. ปรานุททยตาปฏิสังยุตตวิตก (ความคิดกังวลที่ประกอบ
ด้วยความเป็นผู้เอ็นดูผู้อื่น)
2. ลาภสักการสิโลกวิตก (ความคิดกังวลถึงลาภสักการะและ
ชื่อเสียง)
3. อนวัญญัตติปฏิสังยุตตวิตก (ความคิดกังวลที่ประกอบด้วย
การไม่ดูหมิ่น).
โดยนัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วในสมันตภัตรกสูตร ด้วยการ
พิจารณาธรรมที่ปฏิปักษ์กัน และด้วยมรรคเบื้องต่ำทั้ง 3 อันสามารถที่จะละ
วัตถุนั้น ๆ เสียได้.
ผู้ศึกษาพึงเห็นเนื้อความอย่างนี้ว่า ก็วิตกที่เหลืออันภิกษุกำจัดได้แล้ว
อย่างนี้ ทำให้สงบราบคาบในภายใน ย่อมไม่เกิดขึ้นอีกในจิตที่เป็นไปใน
ขันธสันดานของตน อันเกิดในภายในตน ฉันใด กิเลสที่เหลือที่พระอรหันต์
ตัดได้แล้วก็ฉันนั้น เพราะสิ่งที่ตัดได้แล้วท่านเรียกว่า " กัปปิตะ" ดังที่ท่าน
กล่าวไว้ว่า กปฺปิตเกสมสฺสุ (ผู้มีผมและหนวดอันปลงแล้ว).*
บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยในคาถานี้ว่า โย นาจฺจสารี เป็นต้น
ดังต่อไปนี้ :-
สองบทว่า โย นาจฺจสารี ได้แก่ ภิกษุใดไม่แล่นเลยไป.
บทว่า น ปจฺจสารี คือ ไม่ล้าอยู่.

* อํ. สตฺตก 96.

ถามว่า ท่านกล่าวอธิบายไว้อย่างไร ?
ตอบว่า ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ก็ภิกษุใดตกไปอยู่ในอุทธัจจะ
ด้วยการปรารภความเพียรจัด ชื่อว่า ย่อมแล่นเลยไป เมื่อตกไปในโกสัชชะ
ด้วยความเพียรที่หย่อนเกินไป ชื่อว่าย่อมล้าอยู่ อนึ่ง เมื่อทำตนให้ลำบาก
ด้วยภวตัณหา ชื่อว่า ย่อมแล่นเลยไป เมื่อประกอบกามสุขอยู่ด้วยกามตัณหา
ชื่อว่าย่อมล้าอยู่ ด้วยสัสสตทิฏฐิ ชื่อว่าย่อมแล่นเลยไป ด้วยอุทเฉททิฏฐิ
ชื่อว่าย่อมล้าอยู่ เมื่อเศร้าโศกถึงอดีตอยู่ ชื่อว่าย่อมแล่นเลยไป เมื่อเพ้อหวัง
อนาคตอยู่ ชื่อว่าย่อมล้าอยู่ ด้วยปุพพันตานุทิฏฐิ ชื่อว่าย่อมแล่นเลยไป
ด้วยอปรันตานุทิฏฐิ ชื่อว่าย่อมล้าอยู่ เพราะฉะนั้น ภิกษุใดเว้นที่สุด 2 อย่าง
นี้ได้แล้ว ปฏิบัติตามมัชฌิมาปฏิปทาอยู่ ชื่อว่าไม่แล่นเลยไปและไม่ล้าอยู่.
บาทคาถาว่า สพฺพํ อจฺจุคมา อิมํ ปปญฺจํ ความว่า ก็แลผู้ใด
ก้าวล่วง คือ ข้ามพ้น อธิบายว่า ก้าวล่วงเสียด้วยดี ซึ่งความเนิ่นช้า 3 อย่าง
คือ ตัณหา มานะ และทิฏฐิ อันมีเวทนา สัญญา และวิตก เป็นแดนเกิด
ทั้งปวงเสียได้ ด้วยมัชฌิมาปฏิปทา อันมีอรหัตมรรคเป็นที่สุด.
ก็ในคาถาต่อจากนั้น มีความแปลกกันเพียงเท่านี้ว่า สพฺพํ วิตถมิทํ
ญตฺวา โลเก
. เนื้อความแห่งคาถานั้นว่า บทว่า สพฺพํ ได้แก่ ไม่มีส่วนเหลือ
มีคำอธิบายว่า ทั้งสิ้นคือเต็ม.
ก็แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ ในคาถานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอา
สังขตธรรม อันต่างโดยขันธ์ อายตนะ และธาตุ ที่เป็นโลกีย์ซึ่งเข้าถึงวิปัสสนา
เท่านั้น.

บทว่า วิตถํ ได้แก่ ความแปรผัน มีคำอธิบายว่า ชื่อว่า แปรผัน
เพราะความเป็นโดยประการที่พวกคนพาลยึดถือเอาด้วยอำนาจกิเลสว่า เที่ยง
หรือว่า ยั่งยืน ว่าเป็นสุข หรือว่า สวยงาม หรือว่า เป็นตัวตน.
บทว่า อิทํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงตรัสธรรมชาติ
มีขันธ์เป็นต้นทั้งหมดนั้นนั่นแล โดยภาวะที่เห็นประจักษ์.
บทว่า ญตฺวา ได้แก่ ทราบด้วยมรรคปัญญา อธิบายว่า ก็แลภิกษุใด
ทราบธรรมชาติมีขันธ์เป็นต้นนั้น โดยความไม่หลง และโดยอารมณ์.
บทว่า โลเก ได้แก่ ในโอกาสโลก. เชื่อมความว่า รู้ว่าธรรมชาติ
มีขันธ์เป็นต้นทั้งปวงนี้เป็นของแปรผัน.
บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยในคาถาทั้ง 4 เบื้องหน้าแต่นี้ไป ดังต่อไปนี้ :-
ศัพท์เหล่านี้คือ วีตโลโภ วีตราโค วีตโทโส วีตโมโห มีความ
แปลกกัน (ไม่เหมือนกัน).
ในบรรดาคำทั้ง 4 นี้ ที่ชื่อว่าโลภะ ด้วยอำนาจแห่งความโลภ (อยากได้)
คำว่า โลภะ นี้ เป็นคำที่รวมอกุศลธรรมฝ่ายโลภะเข้าไว้ทั้งหมด เป็นชื่อแห่ง
อกุศลมูลที่หนึ่ง หรือเป็นชื่อแห่งวิสมโลภะ โลภธรรมนั้นใด บางคราวย่อม
เกิดขึ้นได้แม้ในวัตถุทั้งสาม คือ โภคะ 1 รัฐ 1 หมู่บ้าน 1 ที่ชื่อว่าราคะ
ด้วยสามารถแห่งความรัญจวน ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า โลภธรรมย่อมบังเกิด
ขึ้นในสตรีทั้งหลายรุ่นพี่น้องหญิง รุ่นธิดา. คำว่า ราคะ นี้ เป็นชื่อของราคะ
คือกามคุณทั้งห้า.
ที่ชื่อว่า โทสะ ด้วยสามารถแห่งการประทุษร้าย. คำว่า โทสะ นี้
เป็นชื่อของความโกรธที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น.

ที่ชื่อว่า โมหะ ด้วยสามารถแห่งความหลง. คำว่า โมหะ นี้ เป็น
ชื่อแห่งความไม่รู้ในอริยสัจ 4. ก็เพราะเหตุที่ภิกษุเกลียดโลภะ ในบรรดา
โลภะ ราคะ โทสะ และโมหะนั้น จึงเริ่มเจริญวิปัสสนาว่า ทำไฉนหนอ
ข้าพเจ้าพึงกำจัดโลภะ เป็นผู้ปราศจากความโลภ เพราะฉะนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงการละฝั่งในและฝั่งนอกทั้งปวง อันเป็นอุบายเครื่อง
ละโลภ อันเป็นเครื่องแสดงความแปรผันแห่งสังขารทั้งหลาย และเป็นอานิสงส์
แห่งการละโลภะ จึงทรงตรัสคาถานี้ ในแม้คาถาทั้งหลาย เบื้องหน้าแต่นี้
(ต่อจากนี้) ก็นัยนี้ (เหมือนกัน) แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ภิกษุนั้นซึ่ง
ปรารภวิปัสสนาแล้ว เกลียดธรรมเหล่านั้น จึงกล่าวคาถารูปละ 1 คาถา ใน
พระสูตรนี้ โดยนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วนั่นเอง ท่านชอบใจคำใด ก็พึงถือเอา
คำนั้น ในคาถาทั้ง 4 ต่อจากนี้ ก็นัยนี้ (เหมือนกัน) แต่การพรรณนาความ
ในคาถานี้ ดังต่อไปนี้.
อกุศลธรรมเหล่าใด ย่อมนอนเนื่องอยู่ในสันดานทั้งหลาย เพราะ
อรรถว่ายังละไม่ได้ เหตุนั้นอกุศลธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า อนุสัย คำว่า อนุสัย
นี้เป็นชื่อแห่งกามราคะ ปฏิฆะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ภวราคะ และอวิชชา
ที่ชื่อว่ามูล เพราะอรรถว่า เป็นที่ตั้งแห่งอาการของตน แห่งสัมปยุตธรรม
ทั้งหลาย ที่ชื่อว่าอกุศล เพราะอรรถว่าไม่เกษม. ที่ชื่อว่ามูล เพราะอรรถว่า
เป็นที่ตั้งแห่งสัมปยุตธรรมนั้นบ้าง ที่ชื่อว่าอกุศล เพราะอรรถว่า มีโทษและ
มีวิบากเป็นทุกข์.
คำว่า มูลและอกุศลทั้ง 2 อย่างนี้ เป็นชื่อแห่งโลภะ โทสะ และโมหะ
จริงอยู่ อกุศลมูลเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้อย่างนี้ โดยนัย

เป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย โลภะเป็นอกุศลด้วย เป็นอกุศลมูลด้วย. อนุสัยเหล่านี้
บางอย่างไม่มีแก่ภิกษุใด เพราะเธอละเสียได้ ด้วยมรรคนั้น ๆ อย่างนี้ และอนุสัย
เหล่านี้ก็เป็นอกุศลมูล อันภิกษุถอนขึ้นได้แล้วแล อธิบายว่า ถอนเสียแล้ว.
ก็พวกอาจารผู้รู้ลักษณะของศัพท์ ปรารถนาการลง เส อักษร สำหรับคำที่
เป็นปฐมาวิภัตติพหุวจนะ แต่พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลาย พรรณนาว่า ศัพท์ว่า
เส เป็นนิบาต. ท่านชอบใจคำใด ก็พึงถือเอาคำนั้น.
ก็ในคาถานี้ พึงทราบวินิจฉัย ดังต่อไปนี้ :-
ภิกษุนั้น คือผู้มีอย่างนี้ เป็นพระขีณาสพ ก็พระขีณาสพย่อมไม่ยึดมั่น
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสว่า พระขีณาสพย่อมละ ครั้นละแล้วก็ดำรงอยู่ แม้
ก็จริง ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังตรัสว่า ภิกษุนั้น ย่อมละฝั่งนอกและฝั่งในเสียได้
ด้วยลักษณะของคำที่เป็นปัจจุบัน ในวิภัตติที่เป็นปัจจุบันใกล้อดีต.
อีกอย่างหนึ่ง ก็ภิกษุปรินิพพานอยู่ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ บัณฑิต
พึงทราบว่า ย่อมละฝั่งในและฝั่งนอก กล่าวคืออายตนะภายในและอายตนะ
ภายนอกของตนเสียได้.
พึงทราบความไม่มีอนุสัยในพระคาถานั้น โดยแยกเป็น 2 ส่วน คือ
ตามลำดับกิเลส และตามลำดับมรรค.
ก็เมื่อว่าตามลำดับกิเลส ความไม่มีแห่งกามราคานุสัย และปฏิฆานุสัย
ย่อมมีได้ด้วยมรรคที่สาม. ความไม่มีแห่งมานานุสัย ย่อมมีได้ด้วยมรรคที่สี่
ความไม่มีแห่งทิฏฐานุสัย และวิจิกิจฉานุสัย ย่อมมีได้ด้วยมรรคที่หนึ่ง ความ
ไม่มีแห่งภวราคานุสัยและอวิชชานุสัย ย่อมมีได้ด้วยมรรคที่สี่.

เมื่อว่าตามลำดับมรรค ความไม่มีแห่งทิฏฐานุสัย และวิจิกิจฉานุสัย
ย่อมมีได้ด้วยมรรคที่หนึ่ง ความไม่มีแห่งกามราคานุสัยและอวิชชานุสัย ย่อมมี
ได้ด้วยมรรคที่สาม ความไม่มีแห่งมานานุสัย ภวราคานุสัย และอวิชชานุสัย
ย่อมมีได้ด้วยมรรคที่สี่.
ถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า ก็เพราะเหตุที่อนุสัยทั้งปวง เป็นอกุศลคือกามราคานุสัย
และภวราคานุสัยเท่านั้น ถึงการสงเคราะห์เข้าด้วยโลภะเป็นอกุศลมูล. ปฏิฆานุสัย
และอวิชชานุสัย ย่อมถึงการนับว่า โทสะเป็นอกุศลมูล โมหะเป็นอกุศลมูล
ส่วนทิฏฐิ มานะ และวิจิกิจฉานุสัย ไม่จัดเป็นอกุศลมูลข้อใดเลย.
อีกอย่างหนึ่ง เพราะภิกษุปรารถนาการละกิเลส ด้วยสามารถแห่งความ
ไม่มีอนุสัย และด้วยสามารถแห่งการถอนอกุศลมูลเสียได้ ฉะนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุใดไม่มีอนุสัยไร ๆ ถอนอกุศลมูลได้แล้ว.
ในบาทพระคาถาว่า ยสฺส ทรถชา เป็นต้นนี้ พึงทราบวินิจฉัย
ดังต่อไปนี้ :-
กิเลสที่เกิดขึ้นครั้งแรก ชื่อว่าทรถะ เพราะอรรถว่า เร่าร้อน ส่วน
กิเลสที่เกิดต่อมา ชื่อว่า ทรถชา เพราะเกิดจากกิเลสเป็นเครื่องกระวนกระวาย
เหล่านั้น ความถือตัวตนชื่อว่า โอรํ สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
คำว่า โอริมนฺตีรํ นี้ เป็นชื่อของการถือตัวถือตน.
คำว่า อาคมนาย ได้แก่ เพื่อการอุบัติขึ้น.
บทว่า ปจฺจยาเส ได้แก่ ปัจจัยทั้งหลายนั่นเอง.
ท่านกล่าวอธิบายไว้อย่างไร ?

ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ก็ภิกษุไม่มีกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดความกระวน
กระวายบางอย่าง ซึ่งเป็นปัจจัยแห่งการยึดถืออุปาทานขันธ์ เพราะเหตุที่กิเลส
เหล่านั้นตนละเสียได้แล้ว ด้วยอริยมรรค ภิกษุนั้นชื่อว่าละฝั่งในและฝั่งนอก
เสียได้ โดยนัยที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นนั่นเอง.
แม้ในคาถาที่ว่า ยสฺส วนถชา เป็นต้นนี้ บัณฑิตพึงทราบกิเลส
ทั้งหลายที่เกิดจากป่า ดุจกิเลสทั้งหลายที่เกิดจากความกระวนกระวาย แต่ใน
อรรถแห่งคำ มีแปลกกันดังต่อไปนี้ :-
ธรรมชาติที่ชื่อว่าป่า ก็เพราะอรรถว่า ปรารถนาหรือต้องการ อธิบาย
ว่า ย่อมจำนง คือ ย่อมขอ ย่อมคบ คำว่า วนะนี้ เป็นชื่อของตัณหา.
จริงอยู่ ตัณหานั้น ท่านเรียกว่าวนะ เพราะปรารถนา คือ เพราะไหลออกมา
แห่งอารมณ์ทั้งหลาย ตัณหา (วนะ) ย่อมแผ่ไปด้วยอำนาจที่มีอารมณ์เป็น
ปริยุฏฐาน (กลุ้มรุม) เพราะเหตุนั้น ตัณหานั้นจึงชื่อว่า วนถะ คำว่า วนถะ นี้
เป็นชื่อแห่งตัณหานุสัย กิเลสทั้งหลายที่เกิดจากป่าคือตัณหา ชื่อว่า วนถชา
แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า กิเลสแม้ทั้งหมด ท่านเรียกว่า วนถะ เพราะ
อรรถว่าเป็นเครื่องรกชัฏ ส่วนกิเลสที่เกิดขึ้นต่อ ๆ มา ชื่อว่า วนถชา ก็ใน
ที่นี้ท่านประสงค์เอาเนื้อความในสุภสูตรเพียงเท่านี้ แต่เนื้อความนอกจากนี้
ตรงกับที่ตรัสไว้ในพระคาถาธรรมบท.
สองบทว่า วินิพนฺธาย ภวาย ได้แก่เพื่อความผูกพันในภพ อีก
อย่างหนึ่ง ความว่า เมื่อความผูกพันในอารมณ์ทั้งหลายแห่งจิต หรือเพื่อความ
อุบัติขึ้นต่อไป เหตุนั่นเอง จึงชื่อว่า เหตุกัปปา.

คำว่า นิวรณ์ ในคาถานี้ว่า โย นีวรเณ เป็นต้น มีวิเคราะห์ว่า
ที่ชื่อว่านิวรณ์ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ย่อมทำจิตให้เดือนร้อน อธิบายว่า
เป็นเครื่องปกปิดจิต.
บทว่า ปหาย ได้แก่ ทิ้งเสีย.
บทว่า ปญฺจ เป็นการกำหนดนับนิวรณ์เหล่านั้น ภิกษุที่ชื่อว่า
ไม่มีทุกข์ เพราะไม่มีความทุกข์ ที่ชื่อว่าข้ามความสงสัยเสียได้ เพราะตนข้าม
ความสงสัยได้แล้ว ที่ชื่อว่ามีลูกศรออกแล้ว เพราะเป็นผู้มีลูกศรไปปราศแล้ว
ถามว่า ท่านกล่าวอธิบายไว้อย่างไร ตอบว่า ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ภิกษุใด
เห็นนิวรณ์ทั้งห้า มีกามฉันท์เป็นต้น และเห็นโทษในนิวรณ์ทั้งหลาย โดย
ความเป็นของเสมอกันและโดยพิเศษ โดยนัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน
สมันตรภัตรกสูตร จึงละ (นิวรณ์เหล่านั้น) ได้ด้วยมรรคนั้น ๆ ชื่อว่าเป็นผู้
ไม่มีทุกข์ เพราะความไม่มีแห่งทุกข์ คือ กิเลสทุกข์ เพราะเหตุที่ตนละนิวรณ์
เหล่านั้นได้แล้วนั่นเอง ชื่อว่า ข้ามพ้นความสงสัยเสียได้ เพราะท่านข้ามพ้น
ความสงสัยที่เป็นไปแล้ว โดยนัยเป็นต้นว่า ในอดีตกาลนานมาแล้ว เราได้
เป็นแล้วหรือหนอ ชื่อว่าสลัดลูกศรเสียได้ เพราะท่านปราศจากลูกศรทั้งห้า
ที่ท่านกล่าวไว้ว่า ในบรรดาลูกศรเหล่านั้น ลูกศร 5 อย่างเป็นไฉน 5 อย่าง
คือ ลูกศรคือราคะ ลูกศรคือโทสะ ลูกศรคือโมหะ ลูกศรคือมานะ ลูกศร
คือทิฏฐิ ภิกษุนั้นชื่อว่าละฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้ โดยนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้
แล้วในตอนต้นนั่นเอง.
แม้ในพระคาถานั้น บัณฑิตพึงทราบการละนิวรณ์ 2 อย่างเช่นกัน
คือ โดยลำดับกิเลส 1 โดยลำดับแห่งมรรค 1.

ก็เมื่อว่าตามลำดับกิเลส การละกามฉันทนิวรณ์และพยาบาทนิวรณ์
ย่อมมีได้ด้วยมรรคที่ 3 การละถีนมิทธนิวรณ์และอุทธัจจนิวรณ์ ย่อมมีได้
ด้วยมรรคที่ 4 การละกุกกุจจนิวรณ์กล่าวคือความเดือดร้อน ที่เป็นไปแล้ว
โดยนัยเป็นต้นว่า " กุศลเราไม่กระทำแล้วหนอ " และวิจิกิจฉานิวรณ์ ย่อม
มีได้ด้วยมรรคที่ 1.
แต่เมื่อว่าตามลำดับมรรค การละกุกกุจจนิวรณ์และวิจิกิจฉานิวรณ์
ย่อมมีได้ด้วยมรรคที่ 1 การทำกามฉันทนิวรณ์และพยาบาทนิวรณ์ให้เบาบาง
ย่อมมีได้ด้วยมรรคที่ 2 การละกามฉันทะและพยาบาทนิวรณ์ได้สิ้นเชิงย่อมมีได้
ด้วยมรรคที่ 3 การละถีนมิทธนิวรณ์ และอุทธัจจนิวรณ์ ย่อมมีได้ด้วยมรรค
ที่ 4 ฉะนี้แล.
ภิกษุใดละนิวรณ์ทั้งหลายได้อย่างนี้ เป็นผู้ไม่มีทุกข์ข้ามความสงสัย
เสียได้ ปราศจากลูกศร ภิกษุนั้นชื่อว่าย่อมละฝั่งในและฝั่งนอกเสียได้ ดุจงู
ละคราบเก่าที่คร่ำคร่าไปฉะนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงให้เทศนาจบลงด้วยยอดคือพระอรหัตทีเดียว
ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนา ภิกษุนั้นดำรงอยู่แล้วในพระอรหัต.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า คาถาใด ๆ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
แล้วแก่ภิกษุเหล่านั้น โดยประการใด ๆ ภิกษุนั้น ๆ ดำรงอยู่แล้วในพระอรหัต
ในที่สุดแห่งพระคาถานั้น ๆ โดยประการนั้น ๆ.
จบอรรถกถาอุรคสูตร
แห่ง
อรรถกถาขุททกนิกาย ชื่อปรมัตถโชติกา

ธนิยสูตรที่ 2


ว่าด้วยคาถาโต้ตอบระหว่างนายธนิยะกับพระพุทธเจ้า


นายธนิยะคนเลี้ยงโคได้กล่าวคาถาว่า
[295] เรามีข้าวสำเร็จแล้ว มีน้ำนม
รีด (จากแม่โค) รองไว้แล้ว มีการอยู่กับ
ชนผู้เป็นบริวาร ผู้มีความประพฤติอนุกูล
เสมอกันที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำมหี เรามุงบังกระ-
ท่อมแล้ว ก่อไฟไว้แล้ว แน่ะฝน หากว่า
ท่านย่อมปรารถนาก็เชิญตกลงมาเถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระคาถาตอบว่า
เราเป็นผู้ไม่โกรธ มีกิเลสดุจหลักตอ
ปราศไปแล้ว เรามีการอยู่สิ้นราตรีหนึ่งที่
ใกล้ฝั่งแม่น้ำมหี กระท่อมมีหลังคาอันเปิด
แล้ว ไฟดับแล้ว แน่ะฝน หากว่าท่าน
ปรารถนาก็เชิญตกลงมาเถิด.

นายธนิยะคนเลี้ยงโคได้กล่าวคาถาว่า
เหลือบและยุงย่อมไม่มี โคทั้งหลาย
ย่อมเที่ยวไปในประเทศใกล้แม่น้ำ ซึ่งมีหญ้า
งอกขึ้นแล้ว พึงอดทนแม้ซึ่งฝนที่ตกลงมา