เมนู

มาเอาพระราชกุมารนั้น จากพระมารดานั้น ผู้กำลังทรงรำพันอยู่ พร้อมด้วย
หญิงพี่เลี้ยง 16,000 คน หลีกไป ด้วยกล่าวว่า พระราชกุมารจะเป็นอาหาร
ของยักษ์ในวันพรุ่งนี้.

ทรงทรมานอาฬวกยักษ์


ก็ในวันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลุกขึ้นในสมัยใกล้รุ่ง ทรงเข้า
มหากรุณาสมาบัติ ในพระคันธกุฎีที่พระเชตวันมหาวิหาร เมื่อทรงตรวจดูโลก
ด้วยพุทธจักษุอีก ทรงเห็นอุปนิสัยของการบรรลุพระอนาคามิผล ของพระ-
อาฬวกกุมาร การบรรลุโสดาของยักษ์ และในเวลาจบเทศนา สัตว์ 84,000
ได้ดวงตาเห็นธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อราตรีสว่างแล้ว ทรงทำปุเรภัตกิจ
เสร็จแล้ว แต่ทรงทำปัจฉาภัตกิจยังไม่เสร็จเทียว เมื่อวันอุโบสถแห่งกาฬปักษ์
เป็นไปอยู่ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระองค์เดียวไม่มีเพื่อน ทรงถือบาตรและจีวร
เสด็จไปสิ้นทาง 3 โยชน์จากกรุงสาวัตถี โดยเสด็จไปด้วยพระบาทนั่นแล
เสด็จเข้าไปยังที่อยู่ของยักษ์นั้น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ในที่อยู่ของ
อาฬวกยักษ์.
ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ โคนต้นไทรซึ่งเป็นที่อยู่
ของอาฬวกยักษ์ หรือในที่อยู่เท่านั้น.
ตอบว่า ในที่อยู่เท่านั้น ด้วยว่า ยักษ์ทั้งหลายย่อมเห็นที่อยู่ของตน
โดยประการใด แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ประทับอยู่ โดยประการนั้น พระองค์
ทรงไปในที่นั้น ประทับยืนอยู่ที่ประตูที่อยู่ ในกาลนั้น อาฬวกยักษ์ไปสู่สมาคม
แห่งยักษ์ในหิมวันตประเทศ แต่นั้น ยักษ์ชื่อ คัทรภะ ผู้รักษาประตูของ

อาฬวกยักษ์ เข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้า ไหว้แล้ว ทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาในวิกาลหรือ ?
ภ. อย่างนั้น คัทรภะ เรามาแล้ว ถ้าท่านไม่หนักใจ เราขอพักอยู่ใน
ที่อยู่ของอาฬวกยักษ์คืนหนึ่ง.
ค. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่หนักใจ แต่ว่า ยักษ์นั้น
ร้ายกาจ หยาบคาย ไม่กระทำกิจมีการอภิวาทน์เป็นต้นแม้แก่มารดาและบิดา
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอย่าชอบพระทัยอยู่ในที่นี้เลย.
ภ. ดูก่อนคัทรภะ เรารู้ว่ายักษ์นั้นร้ายกาจ แต่อันตรายไร ๆ จักไม่มี
แก่เรา ถ้าท่านไม่หนักใจ เราขอพักอยู่คืนหนึ่ง.
คัทรภยักษ์ได้ทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ครั้งที่สองว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ อาฬวกยักษ์เป็นเช่นกับกระเบื้องเผาไฟ ย่อมไม่รู้ว่า มารดา
บิดา หรือ สมณพราหมณ์ หรือ ธรรม ย่อมทำการควักดวงใจของพวกคน
ที่มาในที่นี้ออกทิ้งบ้าง ฉีกหัวใจบ้าง จับเท้าโยนไปที่ฝั่งสมุทรอื่น หรือจักรวาล
อื่นบ้าง.
แม้ในครั้งที่สอง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เรารู้ คัทรภะ ถ้าท่าน
ไม่หนักใจ เราขอพักอยู่คืนหนึ่ง.
แม้ในครั้งที่สาม คัทรภยักษ์ได้ทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ อาฬวกยักษ์เป็นเช่นกับกระเบื้องเผาไฟ ย่อมไม่รู้ว่า มารดา
บิดา หรือ สมณพราหมณ์ หรือ ธรรม ย่อมทำการควักดวงใจของพวกคน
ที่มาในที่นี้ออกทิ้งบ้าง ฉีกหัวใจบ้าง จับเท้าโยนไปที่ฝั่งสมุทรอื่น หรือจักรวาล
อื่นบ้าง.

แม้ในครั้งที่สาม พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสว่า เรารู้ คัทรภะ ถ้าท่าน
ไม่หนักใจ เราขอพักอยู่คืนหนึ่ง.
ค. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่หนักใจ แต่ยักษ์นั้นพึงฆ่า
ข้าพระองค์ผู้ไม่บอกแก่ตนแล้วอนุญาต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์
จะบอกแก่ยักษ์นั้น.
ภ. ดูก่อนคัทรภะ จงบอกตามสบายเถิด.
คัทรภะทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์นั้นแล
จงรู้ ดังนี้ อภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว หลีกไปมุ่งหน้าต่อหิมวันตประเทศ.
แม้ประตูแห่งที่อยู่ก็เปิดเองแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าภายในที่อยู่ ประทับนั่ง ณ รัตนบัลลังก์
อันเป็นทิพย์ ซึ่งอาฬวกยักษ์นั่งเสวยสิริ ในวันทั้งหลายมีวันมงคลเป็นต้นที่
กำหนดแล้ว ทรงเปล่งแสงสว่างแห่งทอง หญิงทั้งหลายของยักษ์เห็นพระผู้มี
พระภาคเจ้านั้นแล้ว มาไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้านั่งแวดล้อม พระผู้มีพระภาค-
เจ้าตรัสปกิรณกธรรมกถาแก่หญิงเหล่านั้นว่า ในครั้งก่อน พวกท่านได้ให้ทาน
สมาทานศีล บูชาบุคคลอันควรบูชา จึงได้ถึงสมบัตินี้ แม้ในบัดนี้ ก็จงทำ
อย่างนั้นแล อย่าให้ความริษยาและความตระหนี่ครอบงำกะกันและกันอยู่เลย
หญิงเหล่านั้นฟังพระสุรเสียงอันไพเราะของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ให้สาธุการ
ถึงพันครั้ง นั่งแวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล.
ฝ่ายคัทรภะไปสู่หิมวันตประเทศบอกแก่อาฬวกยักษ์ว่า ข้าแต่ท่าน
นิรทุกข์ เชิญท่านทราบเถิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ วิมานของท่าน

อาฬวกยักษ์นั้นได้ทำสัญญาแก่คัทรภะว่า จงนิ่ง เราจักไปทำสิ่งที่ควรทำ ได้ยิน
ว่า อาฬวกยักษ์นั้นละอายแล้วด้วยมานะของบุรุษ เพราะฉะนั้น จึงห้ามว่า
ใคร ๆ ในท่ามกลางบริษัทอย่าพึงได้ยิน.
ในกาลนั้น สาตาคิรยักษ์และเหมวตยักษ์ ตกลงกันว่า พวกเราไหว้
พระผู้มีพระภาคเจ้าที่พระเชตวันแล้ว จักไปสู่สมาคมแห่งยักษ์ พร้อมกับบริวาร
ไปทางอากาศ ด้วยยานต่าง ๆ ก็ยักษ์ทั้งหลายไม่มีทางในอากาศทั้งปวง มีแต่
ทางในที่เป็นทางจรดวิมานทองทั้งหลายที่ตั้งบนอากาศ ส่วนวิมานของอาฬวก-
ยักษ์ ตั้งอยู่บนดินแวดล้อมไปด้วยกำแพงที่รักษาดีแล้ว มีประตู ป้อม และ
ซุ้มประตูที่จัดไว้เป็นอย่างดี ในเบื้องบนปกปิดด้วยข่ายสำริด เป็นเช่นกับหีบ
สูง 3 โยชน์ ทางย่อมมีบนวิมานนั้น ยักษ์เหล่านั้นไม่สามารถเพื่อจะไปมาสู่
ประเทศนั้น จริงอยู่ ใคร ๆ ไม่สามารถเพื่อไปโดยส่วนเบื้องบนแห่งโอกาสที่
พระพุทธเจ้าทั้งหลายประทับ จนถึงภวัครพรหม ยักษ์เหล่านั้นนึกว่า นี้อะไรกัน
เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็ลงมาดุจก้อนดินที่โยนไปในอากาศฉะนั้น ไหว้
แล้ว ฟังธรรม ทำประทักษิณ ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้า-
พระองค์จะไปสู่สมาคมของยักษ์ สรรเสริญวัตถุสามแล้ว ไปสู่สมาคมของยักษ์.
อาฬวกยักษ์เห็นสาตาคิรยักษ์และเหมวตยักษ์เหล่านั้นแล้วกล่าวว่า ท่านจงนั่ง
ในที่นี้ ถอยให้โอกาส ยักษ์ทั้งสองนั้นประกาศแก่อาฬวกยักษ์ว่า ดูก่อน
อาฬวกะ การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในที่อยู่ของท่านเป็นลาภของท่าน
ไปเถิดอาวุโส จงเข้าไปนั่งใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในที่อยู่นั่นเทียวอย่างนี้แล หาได้ประทับ
อยู่ที่โคนต้นไทร ซึ่งเป็นที่อยู่ของอาฬวกะไม่ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า

ในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในที่อยู่ของอาฬวกยักษ์ ใกล้เมือง
อาฬวี.
ลำดับนั้นแล อาฬวกยักษ์ ฯลฯ ได้กล่าวคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้า
ว่า จงออกไปเถิด สมณะ. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร อาฬวกยักษ์นี้ จึงทูล
อย่างนั่นเล่า ? ข้าพเจ้าจะตอบ เพราะความที่อาฬวกยักษ์ ประสงค์จะด่า ใน
ข้อนี้ พึงทราบความสัมพันธ์จำเดิมแต่ต้นอย่างนี้ ก็อาฬวกยักษ์นี้เพราะสัทธา-
กถาทำได้ยากแก่คนผู้ไม่มีศรัทธา ดุจกถามีศีลเป็นต้น ทำได้ยากแก่คนทั้งหลาย
มีคนทุศีลเป็นต้น เพราะฉะนั้น ได้ฟังการสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้าจาก
สำนักของยักษ์เหล่านั้นแล้ว เป็นผู้มีดวงหทัยเดือดพล่านด้วยความโกรธในภาย
ในดุจก้อนเกลือที่ใส่ลงในไฟ ฉะนั้น จึงพูดว่า ผู้ที่เข้าไปยังที่อยู่ของข้าพเจ้าที่
ชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น คือ ใคร ?
ยักษ์เหล่านั้น เมื่อกล่าวโดยนัยมีอาทิว่า อาวุโส ท่านไม่รู้พระผู้มี
พระภาคเจ้าผู้เป็นศาสดาของพวกเรา ซึ่งดำรงอยู่ในดุสิตภพแล้ว ทรงตรวจดู
มหาวิโลกน์ 5 อย่าง ดอกหรือ จนถึงทรงประกาศธรรมจักรให้เป็นไป กล่าวถึง
บุพนิมิต 32 อย่าง ในกาลทั้งหลายมีปฏิสนธิเป็นต้นแล้ว เตือนว่า อาวุโส
ท่านไม่เห็นอัศจรรย์เหล่านี้ อาฬวกยักษ์นั้นแม้เห็นแล้ว ก็กล่าวว่า ไม่เห็น
เพราะอำนาจแห่งความโกรธ ยักษ์ทั้งสองจึงกล่าวว่า อาวุโส อาฬวกะ ท่าน
พึงเห็นหรือไม่ก็ตาม ประโยชน์อะไรด้วยท่านผู้เห็นอยู่ หรือ ไม่เห็น ท่านจัก
ทำอะไรแก่พระศาสดาของพวกเรา ซึ่งท่านกระทบพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล้ว
จะปรากฏเหมือนลูกโคที่เกิดในวันนั้น ปรากฏในที่ใกล้โคอุสภะตัวใหญ่ซึ่งมี

เครื่องประดับที่หนอกโค ดุจลูกช้างอยู่ใกล้ช้างตกมัน ดุจสุนัขจิ้งจอกแก่ อยู่
ใกล้พญาเนื้อมีร่างสวยงาม ประดับด้วยขนคอห้อยลงมางดงาม ดุจลูกกาปีกหัก
ใกล้พญาครุฑซึ่งมีร่างกายแผ่ไปถึง 150 โยชน์ ฉะนั้น ท่านจงไป จงทำสิ่ง
ที่ท่านจะพึงกระทำเถิด.
เมื่อยักษ์ทั้งสองกล่าวอย่างนี้แล้ว อาฬวกยักษ์โกรธลุกขึ้นเหยียบพื้น
มโนศิลา ด้วยเท้าเบื้องซ้าย เหยียบยอดภูเขาไกลาส ประมาณ 60 โยชน์ ด้วย
เท้าเบื้องขวา ด้วยกล่าวว่า บัดนี้ จงดูศาสดาของพวกท่านมีอานุภาพมาก หรือ
เราเป็นผู้มีอานุภาพมากกันแน่ ยอดภูเขาไกลาสนั้นก็ปล่อยสะเก็ดออกมา ดุจ
ก้อนเหล็กซึ่งถูกทุบด้วยแท่งเหล็กกระจายออกมา ฉะนั้น อาฬวกยักษ์นั้น ยืนอยู่
ในที่นั้น ประกาศก้องว่า ฉัน คือ อาฬวกะ เสียงแผ่ไปในชมพูทวีปทั้งสิ้น.
ได้ยินว่า เสียง 4 ประเภทได้ยินในชมพูทวีปทั้งสิ้น คือ
1. เสียงที่ปุณณกะ ยักขเสนาบดี ชนะพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะ ด้วย
การพนัน ปรบมือประกาศก้องว่า เราชนะแล้ว.
2. เสียงที่ท้าวสักกะ จอมทวยเทพ เมื่อพระศาสนาของพระผู้มี
พระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสป กำลังเสื่อม ทรงทำวิสสุกรรมเทพบุตร ให้เป็น
สุนัข ให้ประกาศทั่วไปว่า เราจักกัดกินภิกษุชั่ว ภิกษุณีชั่ว อุบาสกอุบาสิกา
และคนทั้งหลายที่เป็นอธรรมวาที.
3. เสียงที่พระมหาบุรุษในเมื่อกษัตริย์ 7 พระองค์ เข้ายึดพระนคร
ได้แล้ว เพราะเหตุแห่งนางประภาวดี จึงได้ยกนางประภาวดีขึ้นคอช้างไปกับตน
ออกจากพระนครแล้ว ประกาศก้องในกุสชาดกว่า ฉันนี้แหละคือ สีหัสสรกุส
มหาราช.

4. เสียงที่อาพวกยักษ์ยืนบนยอดเขาไกลาสประกาศว่า เรา คือ
อาฬวกะ.
ก็ในกาลนั้น เสียงนั้นก็เป็นเช่นกับเสียงที่ยักษ์ยืนที่ประตู ๆ ในชมพู-
ทวีปทั้งสิ้นประกาศก้อง และแม้หิมวันตประเทศ ซึ่งมีส่วนกว้างสามพันโยชน์
ก็หวั่นไหวด้วยอานุภาพของยักษ์ อาฬวกยักษ์นั้นก่อลมหมุนให้ตั้งขึ้นด้วยคิดว่า
เราจักให้สมณะหนีไปด้วยลมนั้นนั่นเทียว ลมอันต่างด้วยลมทางทิศตะวันออก
เป็นต้นเหล่านั้น ตั้งขึ้นแล้ว ก็ทำลายยอดภูเขาทั้งหลาย ซึ่งมีประมาณกึ่งโยชน์
2 โยชน์ 3 โยชน์ ถอนรากถอนโคนกอไม้และต้นไม้ในป่าเป็นต้น พุ่งตรง
ไปยังอาฬวินคร ทำสถานที่ทั้งหลายมีโรงช้างเก่าเป็นต้นให้แหลกราญ พัดผัน
หลังคาและอิฐให้ลอยละลิ่วไปในอากาศ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานว่า ขอ
ภัยพิบัติจงอย่ามีแก่ใคร ๆ ลมเหล่านั้นพัดถึงพระทศพลแล้ว ไม่สามารถทำแม้
สักว่าชายจีวรให้หวั่นไหวได้.
แต่นั้น อาฬวกยักษ์ก็ทำฝนห่าใหญ่ให้ตกลง ด้วยคิดว่า เราจักให้
น้ำท่วมให้สมณะตาย ฝนทั้งหลายอันต่างด้วยก้อนเมฆ ตั้งร้อยตั้งพันเป็นต้น
ก่อตัวขึ้นแล้วก็ตกลงมา ด้วยความเร็วของกระแสน้ำฝน แผ่นดินก็เป็นช่อง ๆ
ต่อแต่นั้น มหาเมฆก็มาเบื้องบนของราวป่า ก็ไม่อาจที่จะทำแม้สักว่า หยาด-
น้ำค้างให้เปียกที่จีวรของพระทศพลได้.
ต่อแต่นั้น อาฬวกยักษ์ก็ทำฝนแผ่นหินให้ตกลงมา ยอดเขาใหญ่ ๆ
พ่นควันลุกโพลงมาทางอากาศ ถึงพระทศพลแล้ว ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์
และพวงดอกไม้ทิพย์ แต่นั้น ก็ทำฝนเครื่องประหารให้ตกลงมา อาวุธทั้งหลาย

ที่มีคมข้างเดียว ที่มีคม 2 ข้าง มีดาบหอกและมีดโกนเป็นต้น ก็พุ่งควัน
ลุกโพลงมาทางอากาศ ถึงพระทศพลแล้ว ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์ ต่อแต่นั้น
ก็ทำฝนถ่านเพลิงตกลงมา ถ่านเพลิงมีสีดังดอกทองกวาว ก็มาทางอากาศ
ได้กลายเป็นดอกไม้ทิพย์ตกเรี่ยรายอยู่ที่ใกล้พระบาทของพระทศพล ต่อแต่นั้น
ก็ทำฝนเถ้ารึงตรลบขึ้นมาทางอากาศ ก็กลายเป็นจุณจันทน์ตกลงที่บาทมูล
ของพระทศพล ต่อแต่นั้น ก็ทำฝนทรายให้ตกลงมา ทรายละเอียดอย่างยิ่ง
พ่นควันลุกโพลงมาทางอากาศ กลายเป็นดอกไม้ทิพย์ตกลงที่บาทมูลของพระ-
ทศพล ต่อแต่นั้น ก็ทำฝนเปือกตมตกลงมา ฝนเปือกตมนั้นพ่นควันลุกโพลง
มาทางอากาศ กลายเป็นของหอมอันเป็นทิพย์ตกลงที่บาทมูลของพระทศพล
ต่อแต่นั้น ก็บันดาลให้เกิดความมืดมนอันธการ ด้วยหวังว่า เราจะทำให้
สมณะกลัวแล้วหนีไป ความมืดมนนั้น เป็นเช่นกับความมืดมนที่ประกอบด้วย
องค์ 4 ถึงพระทศพลแล้วก็อันตรธานไป ดุจถูกกำจัดด้วยแสงพระอาทิตย์
ฉะนั้น.
ยักษ์เมื่อไม่อาจเพื่อจะให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหนีไป ด้วยลมฝน
ฝนหิน ฝนเครื่องประหาร ฝนถ่านเพลิง ฝนเถ้ารึง ฝนทราย ฝนเปือกตม
และความมืดมน 8 อย่าง อย่างนี้แล้ว ตนเองจึงเข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้า
ด้วยเสนาประกอบด้วยองค์ 4 เกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่ภูตผี ซึ่งมีรูปเป็นอเนก
ประการ มีมือถือเครื่องประหารนานาชนิด คณะภูตเหล่านั้นกระทำสิ่งแปลกๆ
เป็นอเนกประการ เป็นดุจมาเบื้องบนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคำพูดว่า
ท่านทั้งหลายจงจับ จงฆ่าเสีย.

อีกอย่างหนึ่ง ภูตเหล่านั้นก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปใกล้ชิดพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าได้เลย ดุจแมลงวันไม่อาจเข้าใกล้ก้อนเหล็กที่กระเด็นออก แม้เมื่อเป็น
เช่นนี้ มารที่โพธิมณฑลกลับไปในขณะที่ตนมาเท่านั้น ฉันใด ภูตพวกนี้
ไม่กลับเหมือนอย่างนั้น ได้กระทำความวุ่นวายต่าง ๆ อยู่ประมาณครึ่งคืน
อาฬวกยักษ์เมื่อไม่อาจทำพระผู้มีพระภาคเจ้าให้หวั่นไหวได้ แม้ด้วยเหตุว่า
การแสดงสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว อันมีเป็นอเนกประการ ในเมื่อครึ่งคืนล่วงไป
แล้วอย่างนี้ จึงคิดว่า ไฉนหนอ เราจะพึงปล่อยทุสสาวุธ ซึ่งใครไม่พึงชนะได้.
ได้ยินว่า อาวุธที่ประเสริฐที่สุดในโลกมี 4 อย่าง คือ วชิราวุธ
ของท้าวสักกะ คทาวุธ ของท้าวเวสวัณ นยนาวุธ ของพระยายม ทุสสาวุธ
ของอาฬวกยักษ์.
ก็ผิว่า ท้าวสักกะทรงพิโรธแล้ว พึงประหารวชิราวุธบนยอดเขา
สิเนรุไซร้ วชิราวุธนั้น ก็จะพึงชำแรกภูเขาสิเนรุซึ่งสูงหนึ่งแสนหกหมื่นแปดพัน
โยชน์ ลงไปถึงข้างล่าง.
คทาที่ท้าวเวสวัณปล่อยในกาลที่ตนยังเป็นปุถุชน ทำลายศีรษะของ
พวกยักษ์หลายพันแล้ว กลับมาสู่กำมือตั้งอยู่อีก.
ครั้นเมื่อพระยายมพิโรธแล้ว สักว่ามองดูด้วยนยนาวุธ กุมภัณฑ์
หลายพันก็จะลุกเป็นไฟพินาศ ดุจหญ้าและใบไม้บนกระเบื้องร้อน ฉะนั้น.
อาฬวกยักษ์โกรธ ถ้าพึงปล่อยทุสสาวุธในอากาศไซร้ ฝนก็ไม่พึงตก
ตลอด 12 ปี ถ้าปล่อยในแผ่นดินไซร้ วัตถุมีต้นไม้และหญ้าทั้งปวงเป็นต้น
ก็จะเหี่ยวแห้งไม่งอกอีก ภายใน 12 ปี ถ้าพึงปล่อยในสมุทรไซร้ น้ำทั้งหมด

ก็พึงเหือดแห้งดุจหยาดน้ำ ในกระเบื้องร้อน ฉะนั้น ถ้าจะพึงปล่อยในภูเขา
เช่นกับเขาสิเนรุไซร้ ภูเขาก็จะเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ กระจัดกระจายไป.
อาฬวกยักษ์นั้น ปล่อยทุสสาวุธอันมีอานุภาพอย่างนี้ จับยกชูขึ้น
ปวงเทวดาในหมื่นโลกธาตุโดยมาก ก็รีบมาประชุมกันด้วยคิดว่า วันนี้ พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าจักทรมานอาฬวกะ พวกเราจักฟังธรรมในที่นั้น เทวดาทั้งหลาย
แม้ใคร่จะเห็นการรบ ก็ประชุมกัน อากาศแม้ทั้งสิ้นก็เต็มด้วยทวยเทพด้วยประ-
การฉะนี้ อาพวกยักษ์ท่องเที่ยวเบื้องบน ในที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
ปล่อยวัตถาวุธ วัตถาวุธนั้นทำเสียงดังน่าสะพรึงกลัวในอากาศ ดุจอสนิจักร
พ่นควันลุกโพลง มาถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็กลายเป็นผ้าเช็ดพระบาทตก
อยู่ที่บาทมูล เพื่อจะย่ำยีมานะของยักษ์ อาฬวกยักษ์เห็นเหตุนั้นแล้วก็หมดเดช
หมดมานะ ดุจโคอุสภะตัวใหญ่ที่มีเขาขาดแล้ว ดุจงูที่ถูกถอนเขี้ยวเสียแล้ว
ฉะนั้น เป็นผู้มีธง คือ มานะที่ถูกนำออกเสียแล้ว คิดว่า แม้ทุสสาวุธไม่ทำ
ให้สมณะกลัวได้ เหตุอะไรหนอแล ได้เห็นเหตุนี้ว่า สมณะประกอบด้วย
เมตตาวิหารธรรม เอาเถอะ เราจะทำให้สมณะนั้นโกรธแล้ว จักพรากเสียจาก
เมตตา ดังนี้ พระอานนท์จึงกล่าวข้อความนี้ โดยเชื่อมกันนี้ว่า อถโข
อาฬวโก ยกฺโข เยน ภควา ฯ เป ฯ นิกฺขม สมณ
แปลว่า ครั้ง
นั้นแล อาฬวกยักษ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ฯลฯ จงออกไป
เถิด สมณะ.
ในบาลีนั้น มีอธิบายอย่างนี้ว่า เพราะท่านอันข้าพเจ้าไม่ได้อนุญาต
แล้ว เข้าไปสู่ที่อยู่ของข้าพเจ้า นั่งในท่ามกลางเรือนหญิง (นางสนม) ดุจเป็น

เจ้าของเรือน การบริโภคสิ่งที่ไม่ได้ให้และการคลุกคลีกับหญิง ไม่สมควรแก่สม-
ณะมิใช่หรือ เพราะฉะนั้น ถ้าท่านตั้งอยู่ในสมณธรรม ก็จงออกไปเถิด สมณะ
ฝ่ายอาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า อาฬวกยักษ์นี้ ได้กล่าวคำเหล่านี้และคำหยาบคาย
เหล่าอื่นแล้วนั้นเทียว จึงได้ทูลคำนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า อาฬวกยักษ์เป็นผู้แข็ง
กระด้าง อันใครๆ ไม่อาจเพื่อแนะนำ ด้วยความแข็งกระด้างได้ ก็อาฬวกยักษ์
นั้น เมื่อบุคคลทำความแข็งกระด้างอยู่ เขาก็จะพึงดุร้าย ยิ่งประมาณ จะเป็น
ผู้แข็งกระด้างมากขึ้น ดุจทำลายน้ำดีที่จมูกของลูกสุนัขตัวดุร้ายฉะนั้น แต่อาจ
เพื่อแนะนำเขาด้วยคำอ่อนโยนได้ จึงทรงรับคำของอาฬวกยักษ์นั้น ด้วยคำ
น่ารักว่า ดีละ ท่าน ดังนี้แล้ว เสด็จออกไป ด้วยเหตุนั้น พระอานนท์จึง
กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดีละ ท่าน แล้วได้เสด็จออกไป.
แต่นั้น อาฬวกยักษ์เป็นผู้มีจิตอ่อนว่า สมณะนี้เป็นผู้ว่าง่ายหนอ ออก
ไปด้วยคำพูดคำเดียวเท่านั้น การออกไปอย่างนี้เป็นสุข เราต่อยุทธ์กับสมณะ
ตลอดคืน ด้วยเหตุอันไม่สมควรทีเดียว ดังนี้แล้ว จึงคิดอีกว่า ก็บัดนี้ เรา
อาจเพื่อชนะได้ สมณะออกไปเพราะความเป็นผู้ว่าง่ายหรือหนอแล หรือเพราะ
ความโกรธ เอาเถอะ เราจักทดลองสมณะนั้น แต่นั้นจึงกล่าวว่า จงเข้ามาเถิด
สมณะ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสคำอันน่ารักแม้อีก เพื่อทรง
กระทำจิตที่อ่อนให้มั่นคงว่า เป็นผู้ว่าง่าย จึงตรัสว่า ดีละ ท่าน แล้วเสด็จ
เข้าไป อาฬวกยักษ์เมื่อจะทดลองความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นผู้ว่าง่าย
นั้นบ่อย ๆ จึงกล่าวว่า จงออกไปเถิด จงเข้ามาเถิด ในครั้งที่ 2 บ้าง ใน

ครั้งที่ 3 บ้าง แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงกระทำเช่นนั้น ผิว่า ไม่พึงกระทำ
อย่างนั้น จิตของยักษ์อันแข็งกระด้างแม้โดยปกติ ก็จะแข็งกระด้างมากขึ้น ก็
ไม่พึงเป็นภาชนะเพื่อรองรับธรรมกถา เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ทรงกระทำสิ่งที่ยักษ์นั้นได้พูด เพื่อให้ยักษ์ซึ่งร้องไห้อยู่ ด้วยการร้องไห้คือ
กิเลสยอมรับ เหมือนมารดาให้หรือทำสิ่งที่บุตรต้องการ เพื่อให้บุตรนั้นผู้
ร้องไห้อยู่ยอมรับ ฉะนั้น เหมือนอย่างว่า นางนมให้สิ่งบางอย่างแก่ทารกผู้ไม่
ดื่มนม พูดปลอบโยนแล้ว ย่อมให้ดื่มได้ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้น
เหมือนกัน ทรงพูดปลอบโยน ด้วยการตรัสคำที่ยักษ์ปรารถนา เพื่อให้ยักษ์
นั้นได้ดื่มน้ำนม คือ โลกุตรธรรม จึงได้ตรัสอย่างนี้. เหมือนอย่าง บุรุษ
ต้องการที่จะให้รสหวาน 4 อย่าง เต็มในเต้าน้ำ จึงให้ชำระภายในของเต้าน้ำ
นั้นให้สะอาด ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทรงประสงค์จะ
ยังน้ำหวาน 8 อย่าง คือ โลกุตรธรรมให้เต็มในจิตของยักษ์ จึงได้ทรงกระ-
ทำการเสด็จออกไปและเข้ามาถึง 3 ครั้ง เพื่อชำระมลทิน คือ ความโกรธใน
ภายในแห่งยักษ์นั้น.
ครั้งนั้น อาฬวกยักษ์ยังจิตชั่วให้เกิดขึ้นว่า สมณะนี้เป็นผู้ว่าง่าย ถูก
เราพูดว่า จงออกไปเถิด ก็ออกไป ถูกเราพูดว่า จงเข้ามาเถิด ก็เข้ามา ไฉน
หนอ เราพึงยังสมณะนี้ให้ลำบากตลอดคืนอย่างนี้นั่นแล แล้วจับเท้าทั้งสอง
ขว้างไปที่ฝั่งโน้นของแม่น้ำคงคา ดังนี้ จึงกล่าวครั้งที่ 4 ว่า จงออกไปเถิด
สมณะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเหตุนั้นจึงตรัสว่า น ขฺวาหํ ทรงทราบว่า
เมื่อเรากล่าวอย่างนี้แล้ว ยักษ์แสวงหาสิ่งที่ควรทำให้ยิ่งกว่านั้น จักสำคัญปัญหา

อันจะพึงถาม ข้อนั้นก็จักเป็นการสะดวกแก่ธรรมกถา จึงตรัสว่า น ขฺวาหนฺตํ
แปลว่า เรายังไม่มองเห็นบุคคลผู้ที่จะพึงควักดวงจิตของเราเป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น ศัพท์ว่า ใช้ในการปฏิเสธ. ศัพท์ว่า โข ใช้
ในอวธารณะ. บทว่า อหํ ได้แก่ การแสดงถึงตน. บทว่า ตํ เป็นการ
กล่าวถึงเหตุ. ด้วยเหตุนั้น ผู้ศึกษาพึงเห็นเนื้อความในที่นี้อย่างนี้ว่า เพราะ
เหตุที่ท่านคิดอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ท่าน ข้าพเจ้าจักไม่ออกไป ท่านจงทำสิ่ง
ที่ท่านพึงกระทำเถิด ดังนี้.
แต่นั้น อาฬวกยักษ์ เพราะแม้ในกาลก่อนได้ถามปัญหากะดาบสและ
ปริพาชกผู้มีฤทธิ์มาสู่วิมานของตน ในเวลาไปในอากาศอย่างนี้ว่า วิมานนี้เป็น
วิมานทอง หรือวิมานเงินและวิมานแก้วมณีอย่างใดอย่างหนึ่ง เราจักเข้าไปสู่
วิมานนั้น ดังนี้แล้ว จึงได้เบียดเบียนดาบสและปริพาชกเหล่านั้น ผู้ไม่อาจ
เพื่อจะตอบได้ ด้วยการทำจิตให้ฟุ้งซ่านเป็นต้น อย่างไร ? ก็อมนุษย์ทั้งหลาย
ย่อมทำจิตให้ฟุ้งซ่าน ด้วยอาการ 2 อย่างคือ ด้วยการแสดงรูปอันน่าสะพรึง-
กลัว หรือ ด้วยการขยี้ดวงหทัย ก็ยักษ์นี้รู้ว่า ผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย ย่อมสะดุ้ง
ด้วยการแสดงรูปที่น่าสะพรึงกลัว แล้วเนรมิตอัตภาพอันละเอียด ด้วยอำนาจ
ฤทธิ์ของตน เข้าไปในภายในของท่านผู้มีฤทธิ์เหล่านั้น แล้วขยี้ดวงหทัย แต่นั้น
ความสืบต่อแห่งจิตก็ไม่ปรากฏ เมื่อความสืบต่อแห่งจิตนั้น ไม่ปรากฏ ท่าน
ผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายก็จะเป็นบ้า หรือมีจิตฟุ้งซ่าน ยักษ์ก็จะผ่าอกของผู้ฟุ้งซ่าน
เหล่านั้นอย่างนี้บ้าง แล้วจับเขาเหล่านั้นที่เท้าขว้างไปที่ฝั่งโน้นของแม่น้ำคงคา
บ้าง ด้วยคิดว่า ท่านผู้มีฤทธิ์เห็นปานนี้ อย่ามาสู่ที่อยู่ของเราอีกเลย เพราะฉะนั้น

จึงระลึกถึงปัญหาเหล่านั้น แล้วคิดว่า ไฉนหนอ บัดนี้เราพึงเบียดเบียนสมณะ
นี้อย่างนี้ จึงกล่าวว่า ปญฺหนฺตํ สมณ เป็นต้น.
ถามว่า ก็ปัญหาเหล่านั้น ยักษ์นั้นได้มาจากไหน ?
ตอบว่า ได้ยินว่า มารดาและบิดาของอาฬวกยักษ์นั้น เข้าไปหา
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสป ได้เรียนปัญหา 8 อย่าง พร้อมกับคำ
แก้ ท่านได้ให้อาฬวกะเรียนปัญหาเหล่านั้นในกาลยังเป็นเด็ก อาฬวกยักษ์นั้น
โดยกาลล่วงไป ก็ลืมคำแก้ แต่นั้นก็ใช้ชาดเขียนลงในแผ่นทองคำด้วยคิดว่า
ปัญหาเหล่านี้จงอย่าพินาศ จึงเก็บไว้ในวิมาน พุทธปัญหาเหล่านั้น เป็น
พุทธวิสัย อย่างนี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับดังนั้นแล้ว เพราะอันตรายแห่งลาภที่บริ-
จาคแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย หรืออันตรายแห่งชีวิต หรือการทำลาย
สัพพัญญุตญาณและรัศมีวาหนึ่ง อันใคร ๆ ไม่อาจเพื่อทำได้ เพราะฉะนั้น
เมื่อจะทรงแสดงพุทธานุภาพ อันไม่ทั่วไปในโลกนั้น จึงตรัสว่า น ขฺวาหนฺตํ
อาวุโส ปสฺสามิ สเทวเก โลเก
ดังนี้.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสความสังเขป ด้วยการทรงแสดงสักว่าเนื้อ
ความแห่งบทเหล่านั้น โดยนัยมีอาทิว่า ทรงถือเอากามาวจรเทพ 5 ชั้น ด้วย
คำว่า สเทวกะ ในบทเหล่านั้น ไม่ตรัสความพิสดาร ด้วยลำดับแห่งการ
ประกอบตามอนุสนธิ ความพิสดารนี้นั้น ข้าพเจ้าจะกล่าว ก็เมื่อเทพทั้งปวงแม้
ทรงถือเอาแล้ว โดยการกำหนดอย่างสูง ด้วยคำว่า สเทวกะ เมื่อหมู่เทพ
ประชุมในที่นั้น เทพเหล่าใดมีความสงสัยว่า วสวัตตีมาร มีอานุภาพมาก

เป็นใหญ่ในกามาวจรทั้ง 6 ชั้น ยินดีในธรรมที่เป็นข้าศึก เกลียดธรรม มีการ
งานหยาบ มารนั้นจะไม่พึงทำความฟุ้งซ่านแห่งจิตเป็นต้น แก่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้านั้นหรือหนอแล ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สมารเก เพื่อ
ทรงป้องกันความสงสัยของเทวดาเหล่านั้น.
แต่นั้น เทวดาเหล่าใดมีความสงสัยว่า พรหมมีอานุภาพมากย่อมทำ
จักรวาลพันหนึ่งให้สว่างไสว ด้วยนิ้วมือหนึ่ง ด้วย 2 นิ้ว ฯลฯ ในหมื่น
จักรวาล เสวยสุขในฌานและสมาบัติอันยอดเยี่ยม พรหมแม้นั้น ไม่พึงทำหรือ
เพื่อทรงป้องกันความสงสัยของเทพเหล่านั้น จึงตรัสว่า สพฺรหฺมเก.
ลำดับนั้น เทพเหล่าใดมีความสงสัยว่า สมณพราหมณ์ผู้ปุถุชนเป็น
ข้าศึก เป็นปัจจามิตรต่อศาสนา ถึงพร้อมด้วยกำลังมีมนต์เป็นต้น แม้สมณ-
พราหมณ์ผู้ปุถุชนเหล่านั้น ไม่พึงทำหรือ เพื่อทรงป้องกันความสงสัยของเทพ
เหล่านั้น จึงตรัสว่า สสฺสมณพฺราหฺมณิยา.
ครั้นทรงแสดงความไม่มีใครในฐานะสูงสุดอย่างนี้แล้ว บัดนี้ทรงมุ่งถึง
สมมติเทพและมนุษย์ที่เหลือทั้งหลาย ด้วยคำว่า สเทวมนุสฺสาย แล้วทรง
แสดงความไม่มีใครแม้ในสัตวโลกที่เหลือ ด้วยอำนาจแห่งการกำหนดอย่าง
สูงสุด เพราะฉะนั้น นักศึกษาพึงทราบลำดับแห่งการประกอบอนุสนธิในที่นี้
ด้วยประการฉะนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิเสธความลำบากแห่งพระทัยแก่ยักษ์นั้น
อย่างนี้แล้ว เมื่อทรงยังอุตสาหะให้เกิดในการถามปัญหา จึงตรัสว่า ดูก่อนท่าน
ก็และท่านหวังจะถามปัญหา ก็จงถามเถิด ดังนี้.

พระบาลีนั้นมีเนื้อความว่า จงถาม ถ้าหวังจะถาม เราไม่มีความ
หนักใจในการแก้ปัญหา อนึ่ง ทรงปวารณาถึงสัพพัญญุปวารณาที่ไม่ทั่วไปกับ
พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวกและมหาสาวกทั้งหลายว่า ถ้าท่านหวังจะถาม
ก็จงถาม เราจะแก้ปัญหาของท่านทั้งหมด จริงอยู่ แม้ท่านเหล่านั้นย่อมกล่าวว่า
จงถามเถิดท่าน ข้าพเจ้าทั้งหลายฟังแล้วจักรู้ แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า
ถ้าท่านหวัง ก็จงถามเถิด ท่าน หรือว่า ดูก่อนวาสวะ ถ้าพระองค์ทรงปรารถนา
จะถามปัญหาข้อใดกะอาตมา ก็จงตรัสถามเถิด ย่อมปวารณาถึงสัพพัญญุปวารณา
แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า
ท่านทั้งหลายตั้งใจจะถามสิ่งใดสิ่ง
หนึ่ง ท่านได้โอกาสแล้วก็พึงถามข้อสงสัย
ทั้งปวงของพาวรีพราหมณ์ หรือของท่านเอง
หรือของคนทั้งปวง
ดังนี้.
ก็ข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุพุทธภูมิแล้ว พึงปวารณาซึ่ง
ปวารณานั้น ไม่อัศจรรย์เลย แต่ที่อัศจรรย์ก็คือ พระโพธิสัตว์แม้เป็นไปอยู่ใน
ปเทสญาณ ในภูมิแห่งพระโพธิสัตว์ ถูกฤๅษีทั้งหลายขอร้องอย่างนี้ว่า
ข้าแต่ท่านโกณฑัญญะ ขอท่านจง
ตอบปัญหาทั้งหลาย นี้คือธรรมในมนุษย์
ทั้งหลาย ภาระนี้ย่อมนำมาซึ่งความรู้อันใด
ฤๅษีทั้งหลายผู้ทรงคุณธรรม ย่อมร้องขอซึ่ง
ความรู้อันนั้น

เที่ยวไปสู่ชมพูทวีปทั้งสิ้นถึง 3 ครั้ง ก็ไม่ได้พบผู้ที่ตอบปัญหาได้
มีอายุ 7 ปี โดยกำเนิด กำลังเล่นฝุ่นอยู่บนถนน อันพราหมณ์ผู้ประพฤติ
สุจริตถามแล้ว ในกาลที่ท่านเป็นสรภังคดาบส และในสัมภวชาดกอย่างนี้ว่า
ท่านผู้เจริญทั้งหลายได้โอกาสแล้ว
ก็จงถามปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งที่ท่านคิดไว้
ด้วยใจ ก็ข้าพเจ้ารู้โลกนี้และโลกอื่น ด้วย
ตนเองแล้ว ก็จะตอบปัญหานั้นแก่ท่าน
ทั้งหลาย

ได้ปวารณาซึ่งสัพพัญญุปวารณาอย่างนี้ว่า
เอาเถิด ฉันจะบอกแก่ท่าน เหมือน
อย่างผู้ฉลาดได้บอก ก็ถ้าเขาจะทำหรือไม่ได้
ทำก็ตาม พระราชานั้นแลทรงทราบสิ่งนั้น
ได้
ดังนี้.
เมื่อสัพพัญญุปวารณาอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปวารณาแล้วแก่อาฬวก
ยักษ์อย่างนี้แล้ว ลำดับนั้นแล อาฬวกยักษ์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย
คาถาว่า กึสูธ วิตฺตํ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กึ เป็นคำถาม. ศัพท์ว่า สุ เป็นนิบาต
ใช้ในเหตุสักว่าทำบทให้เต็ม. บทว่า อิธ ได้แก่ ในโลกนี้. บทว่า วิตฺตํ
ความว่า ชื่อว่า ทรัพย์เครื่องปลื้มใจ เพราะอรรถว่า ทำความปลื้มใจ. คำว่า
วิตฺตํ นั่นเป็นชื่อแห่งทรัพย์.

บทว่า สุจิณฺณํ ได้แก่ ทำดีแล้ว. บทว่า สุขํ ได้แก่ ความสำราญ
ทางกายและทางจิต. บทว่า อาวรหาติ ความว่า ย่อมนำมา นำมาให้
มีอธิบายว่า ย่อมให้ ย่อมให้ถึง.
บทว่า หเว เป็นนิบาตลงในอรรถว่ามั่น. บทว่า สาธุตรํ ได้แก่
ยังประโยชน์ให้สำเร็จอย่างยิ่ง. บาลีว่า สาทุตรํ ดังนี้บ้าง. บทว่า รสานํ
ได้แก่ กว่าธรรมทั้งหลายที่สำคัญแล้วว่าเป็นรส.
บทว่า กถํ ได้แก่ โดยประการไร. ชีวิตของบุคคลเป็นอยู่อย่างไร
ชื่อว่า กถํชีวิชีวิตํ แต่ท่านเรียกตามนาสิก เพื่อสะดวกแก่การผูกคาถา หรือ
บาลีว่า กถํชีวึ ชีวิตํ อธิบายว่า บรรดาบุคคลผู้เป็นอยู่เขามีชีวิตอย่างไร.
บทที่เหลือในคาถานี้ ปรากฏชัดแล้วแล.
อาฬวกยักษ์ทูลถามปัญหา 4 ข้อเหล่านี้ว่า อะไรเล่าเป็นทรัพย์เครื่อง
ปลื้มใจอันประเสริฐที่สุดของบุรุษในโลกนี้ อะไรเล่าที่บุคคลประพฤติดีแล้ว
ย่อมนำความสุขมาให้ อะไรเล่าเป็นรสยังประโยชน์ให้สำเร็จกว่ารสทั้งหลาย
นักปราชญ์ทั้งหลาย ได้กล่าวชีวิตของบุคคลเป็นอยู่อย่างไรว่า ประเสริฐที่สุด
ด้วยคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงตอบแก่อาฬวกยักษ์นั้น
โดยนัยที่พระทศพลพระนามว่า กัสสป ทรงตอบแล้ว จึงตรัสคาถานี้ว่า
สทฺธีธ วิตฺตํ ดังนี้.
ในคาถานั้นมีอธิบายว่า ทรัพย์เครื่องปลื้มใจอันมีเงินและทองเป็นต้น
ย่อมนำมาซึ่งอุปโภคสุข คือย่อมป้องกันทุกข์มีความหิวกระหายเป็นต้น ย่อม

ยังความยากจนนั่นแลให้สงบ เป็นเหตุแห่งการได้มาซึ่งรัตนะมีแก้วมุกดาเป็นต้น
และย่อมนำมาซึ่งโลกิยสุข ฉันใด แม้ศรัทธาที่เป็นโลกิยะและโลกุตระก็ฉันนั้น
ย่อมนำมาซึ่งวิบากสุขอันเป็นโลกิยะและโลกุตระตามความเป็นจริง คือ ป้องกัน
ทุกข์มีชาติชราเป็นต้น แก่ผู้ปฏิบัติด้วยธุระคือศรัทธา ย่อมยังความยากจน
ในคุณให้สงบระงับ เป็นเหตุได้มาซึ่งรัตนะมีสติสัมโพชฌงค์เป็นต้น และ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจ เพราะทำวิเคราะห์ว่า
ย่อมนำมาซึ่งความสืบต่อในโลก ตามพระบาลีว่า
บุคคลผู้มีศรัทธา สมบูรณ์ด้วยศีล
ถึงพร้อมด้วยยศ และโภคะจะไปอยู่ที่ใด ๆ
ก็ย่อมได้บูชาในที่นั้น ๆ.

ก็เพราะทรัพย์เครื่องปลื้มใจต่อศรัทธานั่น ติดตามตนไป ไม่ทั่วไป
แก่ผู้อื่น เป็นเหตุแห่งสมบัติทั้งปวง เป็นต้นเหตุแม้แห่งทรัพย์เครื่องปลื้มใจ
มีเงินและทองเป็นต้นที่เป็นโลกิยะ เพราะคนมีศรัทธาเท่านั้น ทำบุญทั้งหลาย
มีทานเป็นต้น ย่อมบรรลุถึงทรัพย์เครื่องปลื้มใจ ส่วนทรัพย์เครื่องปลื้มใจของ
คนผู้ไม่มีศรัทธา ย่อมมีเพื่อความฉิบหายเท่านั้น เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า
ประเสริฐที่สุด.
บทว่า ปุริสสฺส เป็นการแสดงกำหนดอย่างสูงสุด เพราะฉะนั้น
ผู้ศึกษาพึงทราบว่า ศรัทธาของบุรุษอย่างเดียวเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอัน
ประเสริฐที่สุดหามิได้ ศรัทธาของคนทั้งหลายมีสตรีเป็นต้น ก็เป็นทรัพย์เครื่อง
ปลื้มใจอันประเสริฐที่สุดเหมือนกันแล.

บทว่า ธมฺโม ได้แก่ ธรรมคือกุศลกรรมบถ 10 อย่าง หรือธรรม
คือ ทาน ศีล และภาวนา. บทว่า สุจิณฺโณ คือ ที่ทำดีแล้ว ประพฤติ
ดีแล้ว. บทว่า สุขมาวหาติ ความว่า ย่อมนำมาซึ่งสุขของมนุษย์ ดุจสุข
ของโสนเศรษฐีบุตรและรัฐบาลเป็นต้น ทิพยสุขดุจสุขของทวยเทพมีท้าวสักกะ
เป็นต้น และในที่สุด ย่อมนำมาซึ่งนิพพานสุข ดุจสุขของพระอริยเจ้าทั้งหลาย
มีพระมหาปทุมเป็นต้น.
บทว่า สจฺจํ ความว่า ก็สัจจศัพท์นี้ ย่อมปรากฏในอรรถหลาย
ประการ คือ ย่อมปรากฏในวาจาสัจ ดุจในประโยคเป็นต้นว่า พึงกล่าวคำสัจ
ไม่พึงโกรธ ปรากฏในวิรัติสัจ ดุจในประโยคเป็นต้นว่า สมณะและพราหมณ์
ตั้งอยู่ในความสัจ ปรากฏในทิฏฐิสัจ ดุจในประโยคเป็นต้นว่า บุคคลกล่าว
คำพูดที่เป็นกุศลต่าง ๆ แล้ว จึงกล่าวคำสัจ เพราะเหตุไร ปรากฏในพราหมณสัจ
ดุจในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พราหมณสัจจะ 4 อย่างเหล่านี้
ปรากฏในปรมัตถสัจจะ ดุจในประโยคมีอาทิว่า ก็สัจจะมีหนึ่งไม่มีที่สอง
ปรากฏในอริยสัจจะ ดุจในประโยคเป็นต้นว่า บรรดาสัจจะทั้ง 4 สัจจะที่เป็น
กุศลมีเท่าไร.
แต่ในที่นี้ ชนทั้งหลายย่อมทำน้ำเป็นต้นให้เป็นไปในอำนาจได้ ย่อม
ข้ามไปสู่ฝั่งแห่งชาติชราและมรณะได้ ด้วยอานุภาพแห่งวาจาสัจอันใด วาจาสัจ
นั้นท่านประสงค์เอาแล้ว เพราะทำปรมัตถสัจจะให้เป็นพระนิพพาน หรือเพราะ
ทำวิรัติสัจจะให้เป็นไปในภายใน เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า

บุคคลย่อมทดแม้น้ำได้ด้วยสัจจวาจา
บัณฑิตทั้งหลายย่อมกำจัดแม้พิษได้ด้วยสัจจะ
เทพย่อมหลั่งน้ำนมด้วยสัจจะ บัณฑิตทั้ง-
หลายดำรงอยู่ในสัจจะย่อมปรารถนาพระ
นิพพาน รสเหล่าใดเหล่าหนึ่งมีอยู่ในแผ่น
ดิน สัจจะเทียวดีกว่ารสเหล่านั้น สมณะและ
พราหมณ์ดำรงอยู่ในสัจจะ ย่อมข้ามฝั่งแห่ง
ชาติมรณะได้
ดังนี้.
บทว่า สาธุตรํ ได้แก่ หวานกว่า ประณีตกว่า. บทว่า รสานํ
ความว่า ธรรมควรลิ้มเหล่าใดเหล่าหนึ่ง โดยนัยมีอาทิว่า รสเกิดแต่ราก
รสเกิดแต่ลำต้น ธรรมมีการติเตียนรสแห่งวาจา และพยัญชนะที่เหลือเป็นต้น
เหล่าใดเหล่าหนึ่ง โดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตรสเกิด
แต่ผลทั้งหมด พระโคดมผู้เจริญมีรูปไม่เป็นรส ดูก่อนพราหมณ์ รูปรส
สัททรสเหล่าใดแล ไม่เป็นอาบัติในรสรส ธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุตติรส
หรือว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นส่วนแห่งอรรถรส ธรรมรส เรียกว่า รส
สัจจะแลดีกว่ารสเหล่านั้น คือ สัจจะนั่นเทียว ดีกว่า คือ ชอบกว่า ประเสริฐ
กว่า อุดมกว่ารสเหล่านั้น.
จริงอยู่ รสทั้งหลายมีรสเกิดแต่รากเป็นต้น พอกพูนสรีระและนำมา
ซึ่งสุขอันประกอบด้วยสังกิเลส ในสัจจรส รสคือวิรัติสัจจะและวาจาสัจจะ ย่อม
พอกพูนจิต ด้วยสมถะและวิปัสสนาเป็นต้น และย่อมนำมาซึ่งสุขอันประกอบ

ด้วยอสังกิเลส วิมุตติรส ชื่อว่า ยังประโยชน์ให้สำเร็จ เพราะความเป็นธรรม
อันท่านอบรมแล้วด้วยปรมัตถสัจจรส และชื่อว่าเป็นอรรถรสและธรรมรส
เพราะอาศัยอรรถและธรรมที่เป็นอุบายจะให้บรรลุปรมัตถสัจจรสนั้นเป็นไป
ดังนี้แล.
ก็ในบทนี้ว่า ปญฺญาชีวึ ผู้ศึกษาพึงเห็นเนื้อความอย่างนี้ว่า ในบุคคล
ผู้บอด ผู้มีตาข้างเดียว และผู้มีตาสองข้างทั้งหลาย บุคคลผู้มีตาสองข้างนี้ใด
เป็นคฤหัสถ์ยินดีข้อปฏิบัติสำหรับคฤหัสถ์มีการขยันทำการงาน ถึงสรณะ
จำแนกทาน สมาทานศีล และอุโบสถกรรมเป็นต้น หรือเป็นบรรพชิตยินดี
ข้อปฏิบัติสำหรับบรรพชิต กล่าวคือศีลอันทำความไม่เดือนร้อน หรืออันต่างด้วย
จิตตวิสุทธิเป็นต้นอันยิ่งกว่านั้น ชื่อว่า เป็นอยู่ด้วยปัญญา นักปราชญ์ทั้งหลาย
กล่าวชีวิตอันเป็นอยู่ด้วยปัญญาของบุคคลนั้น หรือปัญญาชีวิตของบุคคลผู้เป็น
อยู่ด้วยปัญญานั้นว่า ประเสริฐที่สุด.
ยักษ์ได้ฟังปัญหาแม้ทั้งสี่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตอบแล้วอย่างนี้ มี
ใจเป็นของตน เมื่อจะทูลถามปัญหาทั้งสี่แม้ที่เหลือจึงกล่าวคาถาว่า กถํสุ ตรตี
โอฆํ
บุคคลย่อมข้ามโอฆะได้อย่างไร. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะ
ทรงวิสัชนาแก่ยักษ์นั้น โดยนัยมีในก่อนนั่นเทียว จึงตรัสคาถาว่า สทฺธาย
ตรตี โอฆํ
บุคคลย่อมข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา.
ในคาถานั้นมีอธิบายดังนี้ บุคคลใดข้ามโอฆะทั้ง 4 อย่างได้ บุคคล
นั้นย่อมข้ามอรรณพคือ สังสารบ้าง ย่อมล่วงทุกข์ในวัฏฏะบ้าง ย่อมบริสุทธิ์
จากมลทิน คือ กิเลสบ้าง แม้ก็จริง แต่เมื่อเป็นเช่นนั้น บุคคลไม่มีศรัทธา

เมื่อไม่เชื่อการข้ามโอฆะ ย่อมไม่แล่นไป ประมาทด้วยการปล่อยจิตในกามคุณ
ทั้งห้า ชื่อว่า ย่อมไม่ข้ามอรรณพคือสังสารได้ เพราะตนข้องและเกี่ยวข้องอยู่
ในกามคุณทั้งห้านั้น ผู้เกียจคร้านย่อมอยู่เป็นทุกข์ เกลื่อนกล่นด้วยอกุศลธรรม
ทั้งหลาย ผู้ไม่มีปัญญาเมื่อไม่รู้ทางบริสุทธิ์ ก็ย่อมไม่บริสุทธิ์ เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงธรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อความไม่มีศรัทธา
เป็นต้นนั้น จึงตรัสคาถานี้.
ด้วยคาถานั่น แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว เพราะสัทธิน-
ทรีย์ เป็นปทัฏฐานแห่งโสดาปัตติยังคะ เพราเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงทรงประกาศการข้ามทิฏฐฆะ คือ โสดาปัตติมรรคและโสดาบัน ด้วยบท
นี้ว่า บุคคลย่อมข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา ก็พระโสดาบันถึงพร้อมแล้ว ด้วย
ความไม่ประมาท กล่าวคือ การกระทำติดต่อ ด้วยการเจริญกุศลธรรม ยินดี
มรรคที่ 2 ย่อมข้ามอรรณพคือ สังสาร อันเป็นที่ตั้งแห่งภโวฆะ อันข้าม
ไม่ได้ด้วยโสดาปัตติมรรคที่เหลือลง ยกเว้นเหตุสักว่ามาสู่โลกนี้ครั้งเดียวเท่านั้น
เพราะเหตุนั้น จึงทรงประกาศการข้ามภโวฆะ คือ สกทาคามิมรรค และ
สกทาคามี ด้วยบทนี้ว่า ย่อมข้ามอรรณพได้ด้วยความไม่ประมาท เพราะ
สกทาคามียินดีมรรคที่ 3 ย่อมล่วงทุกข์ อันเป็นที่ตั้งแห่งกาโมฆะ และที่สำคัญ
ว่ากาโมฆะ อันข้ามไม่ได้ ด้วยสกทาคามิมรรค เพราะเหตุนั้น จึงทรงประ-
กาศการข้ามกาโมฆะ คือ อนาคามิมรรค และอนาคามี ด้วยบทนี้ว่า ย่อม
ล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร ก็เพราะอนาคามียินดีมรรคปัญญาที่ 4 อันบริสุทธิ์
โดยส่วนเดียว ด้วยปัญญาอันบริสุทธิ์ ซึ่งปราศจากเปือกตม ละมลทินอย่าง

ละเอียด กล่าวคือ อวิชชา อันละไม่ได้ด้วยอนาคามิมรรค เพราะเหตุนั้น
จึงทรงประกาศการข้ามอวิชโชฆะ คือ อรหัตมรรคและพระอรหันต์ด้วยบทนี้
ว่า ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ก็ครั้นตรัสคาถานี้ด้วยยอด คือ พระอรหัต
ในที่สุด ยักษ์ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
บัดนี้ อาฬวยักษ์ถือเอาบทว่า ปัญญา ที่ตรัสในคาถานี้ว่า ย่อม
บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญานั้นแล เมื่อจะทูลถามปัญหา อันคละไปด้วยโลกิยะและ
โลกุตระ ด้วยปฏิภาณของตน จึงกล่าวคาถา 6 บทนี้ว่า กถํสุ ลภเต ปญฺญํ
แปลว่า บุคคลย่อมได้ปัญญาอย่างไร.
ในบทเหล่านั้น บทว่า กถํ สุ เป็นการถามถึงการประกอบประโยชน์
ในที่ทั้งปวงนั่นเทียว. ก็อาฬวกยักษ์นี้รู้อรรถมีปัญญาเป็นต้น จึงทูลถามถึงการ
ประกอบซึ่งอรรถนั้นว่า บุคคลย่อมได้ปัญญาอย่างไร คือ ด้วยการประกอบ
อย่างไร ด้วยการณ์อย่างไร. ในทรัพย์เป็นต้นก็นัยนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงการได้ปัญญา ด้วยการณ์
4 อย่าง แก่อาฬวกยักษ์นั้น จึงตรัสว่า สทฺทหาโน เป็นต้น.
คาถานั้นมีอธิบายว่า พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวก
ผู้อรหันต์บรรลุนิพพาน ด้วยธรรมใด ในบุพภาคอันต่างด้วยกายสุจริตเป็นต้น
ในอปรภาคอันต่างด้วยโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ บุคคลเชื่อธรรมนั้น คือ
ธรรมของพระอรหันต์ทั้งหลาย ย่อมได้ปัญญา อันเป็นโลกิยะและโลกุตระ
เพื่อบรรลุพระนิพพาน ก็แล ย่อมได้ปัญญาอันเป็นโลกิยะและโลกุตระ ด้วย
เหตุสักว่าศรัทธาเท่านั้น หามิได้ ก็เพราะบุคคลเกิดศรัทธาแล้ว ย่อมเข้าไป

หา เมื่อเข้าไปหา ย่อมนั่งใกล้ เมื่อนั่งใกล้ ย่อมเงี่ยโสต เงี่ยโสตแล้ว ย่อม
ฟังธรรม เพราะฉะนั้น ฟังอยู่ด้วยดี จำเดิมแต่เข้าไปหา จนถึงการฟังธรรม
ย่อมได้ปัญญา.
มีอธิบายอย่างไร มีอธิบายว่า แม้เชื่อธรรมนั้นแล้ว เข้าไปหาพระ-
อาจารย์และอุปัชฌาย์ตามกาล เข้าไปนั่งใกล้ด้วยการทำวัตร ในกาลใด พระ-
อาจารย์และอุปัชฌาย์มีจิตอันการเข้าไปนั่งใกล้ให้ยินดีแล้ว ประสงค์จะกล่าว
คำไร ๆ ในกาลนั้น ก็เงี่ยโสต ด้วยความเป็นผู้ใคร่จะฟังอันถึงแล้วฟังอยู่
ย่อมได้ปัญญา ก็แม้ฟังอยู่ด้วยดีอย่างนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท ด้วยการไม่อยู่
ปราศจากสติ และมีปัญญาเครื่องสอดส่อง ด้วยความเป็นผู้รู้สุภาษิตและทุภา-
ษิตนั่นแล ย่อมได้ปัญญา บุคคลนอกนี้ ย่อมไม่ได้ปัญญา ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นผู้ไม่ประมาท มีปัญญาเป็นเครื่องสอดส่อง
เพราะบุคคลปฏิบัติปฏิปทาอันเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ด้วยศรัทธาอย่างนี้แล้ว ฟัง
อุบายอันเป็นเครื่องบรรลุปัญญา ด้วยการฟังด้วยดี คือ โดยเคารพ ไม่หลง
ลืมสิ่งถือเอาแล้ว ด้วยความไม่ประมาท และถือเอาสิ่งไม่หย่อน ไม่เกินและ
ไม่ผิด ด้วยความเป็นผู้มีปัญญาเป็นเครื่องสอดส่อง ย่อมกระทำให้กว้างขวาง
หรือ เงี่ยโสตลง ด้วยการฟังด้วยดี ย่อมฟังธรรมอันเป็นเหตุได้เฉพาะซึ่ง
ปัญญา ครั้นฟังด้วยความไม่ประมาทแล้วย่อมทรงธรรม ย่อมใคร่ครวญอรรถ
แห่งธรรมทั้งหลายที่ทรงจำด้วยความเป็นผู้มีปัญญาเป็นเครื่องสอดส่อง ใน
ลำดับนั้น ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปรมัตถ์ โดยลำดับ เพราะฉะนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าถูกอาฬวกยักษ์ทูลถามว่า บุคคลย่อมได้ปัญญาอย่างไร เมื่อจะทรง
แสดงการณ์ทั้ง 4 เหล่านี้ จึงตรัสคาถานี้ว่า สทฺทหาโน ฯ ล ฯ วิจกฺขโณ.

บัดนี้ เมื่อจะทรงวิสัชนาปัญหา 3 ข้อ อื่นจากนั้น จึงตรัสคาถานี้ว่า
ปฏิรูปการี.
ในคาถานั้น บุคคลใดไม่ทำประโยชน์ทั้งหลายมีเทศะกาละเป็นต้นให้
เสียไป ย่อมกระทำอุบายเป็นเครื่องบรรลุทรัพย์ที่เป็นโลกิยะและโลกุตระตาม
สมควร เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้นชื่อว่า ปฏิรูปการี กระทำสมควร.
บทว่า ธุรวา ได้แก่ผู้ไม่ทอดทิ้งธุระ ด้วยอำนาจแห่งความเพียร
อันเป็นไปทางจิต.
บทว่า อุฏฺฐานตา ได้แก่ ผู้ถึงพร้อมด้วยความหมั่น คือ มีความ
บากบั่นไม่ท้อถอย ด้วยอำนาจความเพียรทางกาย โดยนัยมีอาทิว่า ก็บุคคลใด
ไม่สำคัญหนาวและร้อนยิ่งกว่าหญ้า.
บทว่า วินฺทเต ธนํ ความว่า ย่อมได้โลกิยทรัพย์ ดุจจูฬกันเตวาสี
ได้ทรัพย์จำนวน 200,000 กหาปณะ ด้วยหนูตัวเดียวต่อกาลไม่นานนัก และ
โลกุตรทรัพย์ ดุจมหาติสสเถระผู้แก่ ฉะนั้น.
ก็พระเถระนั้น คิดว่า เราจักอยู่ด้วยอิริยาบถสาม ทำวัตรในเวลา
ถีนมิทธะมาครอบงำ ทำเทริดใบไม้ให้เปียกแล้ว วางบนศีรษะลงไปในน้ำ
ประมาณแค่คอ ห้ามถีนมิทธะอยู่ ได้บรรลุพระอรหัตโดย 12 ปี.
บทว่า สจฺเจน ความว่า บุคคลย่อมได้ชื่อเสียงอย่างนี้คือ ผู้พูด
คำสัตย์ พูดคำจริง ย่อมได้ชื่อเสียง ด้วยสัจจะบ้าง พระพุทธเจ้า พระปัจเจก-
พุทธเจ้า พระอริยสาวกย่อมได้ชื่อเสียง ด้วยปรมัตถสัจจะบ้าง.

บทว่า ททํ ความว่า เมื่อให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ต้องการ ที่ปรารถนาย่อม
ผูกมิตรไว้ได้ คือ ย่อมให้ถึงพร้อม ย่อมกระทำมิตร หรือ ผู้ให้สิ่งที่ให้
โดยยาก ย่อมผูกมิตรไว้ได้ หรือ สังคหวัตถุทั้ง 4 นักศึกษาพึงทราบว่า
ทรงถือเอาแล้ว ด้วยหัวข้อว่าทาน มีอธิบายว่า ย่อมทำมิตร ด้วยสังคหวัตถุ
เหล่านั้น.
ครั้นทรงวิสัชนาปัญหาทั้ง 4 โดยนัยอันคละกันทั้งโลกิยะและโลกุตระ
อันทั่วไปแก่คฤหัสถ์และบรรพชิตอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงวิสัชนาปัญหา
ที่ 5 ด้วยอำนาจแห่งคฤหัสถ์นี้ว่า กถํ เปจฺจ น โสจติ จึงตรัสว่า ยสฺเสเต
ดังนี้.
คาถานั้นมีเนื้อความว่า ผู้ใดชื่อว่า มีศรัทธา เพราะความเป็นผู้ประ-
กอบด้วยศรัทธา อันยังกัลยาณธรรมทั้งปวงให้เกิดขึ้น ที่ตรัสไว้ในบทนี้ว่า
สทฺทหาโน อรหตํ ผู้ครองเรือน คือ แสวงหา เสาะหากามคุณ 5 ใน
การครองเรือน ผู้บริโภคกาม เป็นคฤหัสถ์มีธรรม 4 เหล่านี้ คือ สัจจะ มี
ประการที่ตรัสว่า บุคคลย่อมถึงชื่อเสียงด้วยสัจจะ ธรรมที่ตรัสโดยชื่อว่า ปัญญา
เกิดจากการฟังด้วยดี ในบทนี้ว่า ฟังอยู่ด้วยดีย่อมได้ปัญญา ธิติที่ตรัสโดย
ชื่อว่า ธุระ และโดยชื่อว่า อุฏฐานะ ในบทนี้ว่า ผู้มีธุระ มีความหมั่น
และจาคะมีประการที่ตรัสไว้ในบทนี้ว่า ผู้ให้ย่อมผูกมิตรไว้ได้ ผู้นั้นแล ละ
ไปแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก คือ ผู้นั้นแลไปจากโลกนี้ สู่ปรโลก ย่อมไม่เศร้า-
โศก ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นวิสัชนาปัญหาแม้ที่ 5 อย่างนี้แล้วเมื่อจะทรง
เตือนยักษ์นั้น จึงตรัสว่า อิงฺฆ อญฺเญปิ ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อิงฺฆ เป็นนิบาตลงในอรรถว่าตักเตือน.
บทว่า อญฺเญปิ ความว่า เชิญท่านถามธรรมทั้งหลายกะสมณ-
พราหมณ์เป็นอันมากแม้เหล่าอื่นดูเถิด หรือท่านถามสมณพราหมณ์เป็นอันมาก
แม้เหล่าอื่น ที่ปฏิญญาว่าเป็นสัพพัญญูมีปูรณะเป็นต้น.
ในคาถานี้ ผู้ศึกษาพึงทราบการพรรณนาเนื้อความพร้อมกับโยชนา
โดยย่อนี้ว่า ถ้าเหตุแห่งการถึงเกียรติ ยิ่งไปกว่าสัจจะมีประการอันเรากล่าวแล้ว
ในบทนี้ว่า บุคคลย่อมได้เกียรติ ด้วยสัจจะก็ดี เหตุแห่งการได้โลกิยปัญญา
และโลกุตรปัญญา ยิ่งไปกว่า ทมะ ที่เรากล่าวแล้ว ด้วยอำนาจแห่งปัญญา
ซึ่งเกิดจากการฟังด้วยดี ในบทว่า ผู้ฟังอยู่ด้วยดี ย่อมได้ปัญญาก็ดี เหตุแห่ง
การผูกมิตร ยิ่งไปกว่าจาคะ มีประการที่เรากล่าวแล้ว ในบทนี้ว่า ผู้ให้ย่อม
ผูกมิตรไว้ได้ก็ดี เหตุแห่งการได้โลกิยทรัพย์และโลกุตรทรัพย์ ยิ่งไปกว่าขันติ
กล่าวคือความเพียร อันถึงความเป็นผู้มีอุตสาหะ ด้วยอรรถว่า ทนต่อภาระมาก
ที่เรากล่าว โดยชื่อว่า ธุระ และโดยชื่อว่า อุฏฐานะ เพราะอาศัยอำนาจ
ประโยชน์นั้น ๆ ในบทนี้ว่า ผู้มีธุระ มีความหมั่นก็ดี เหตุแห่งการละจาก
โลกนี้ไปสู่โลกอื่น แล้วไม่มีความเศร้าโศก ยิ่งไปกว่าธรรมทั้ง 4 เหล่านี้นั่นแล
ที่เรากล่าวอย่างนี้ว่า สัจจะ ธรรม ธิติ จาคะ ก็ดี มีอยู่ในโลกนี้ไซร้
(เชิญท่านถามสมณพราหมณ์ เป็นอันมากแม้เหล่าอื่นดูเถิด) แต่โดยพิสดาร
ผู้ศึกษาพึงแยกแต่ละบท โดยนัยแห่งการพรรณนาบทที่ยกเนื้อความขึ้นและยก
บทขึ้นอธิบาย แล้วพึงทราบการพรรณนาเนื้อความ.
ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ยักษ์ทูลว่า บัดนี้ข้าพระองค์
จะพึงถามสมณพราหมณ์เป็นอันมากทำไมเล่า เพราะความสงสัยที่จะพึงถาม

สมณพรพมณ์เหล่าอื่นอันตนละได้แล้ว เมื่อจะให้ชนเหล่าอื่นที่ยังไม่รู้เหตุแห่ง
การไม่ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ให้ทราบ จึงทูลว่า วันนี้ ข้าพระองค์
ทราบชัดประโยชน์อันเป็นไปในภพหน้า ดังนี้.
ในบทเหล่านี้ บทว่า อชฺช อธิบายว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
บทว่า ปชานามิ ความว่า ทราบชัดโดยประการตามที่กล่าวแล้ว. บทว่า
โย จตฺโถ ความว่า ยักษ์แสดงประโยชน์ในปัจจุบันที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสโดยนัยมีอาทิว่า ผู้ฟังอยู่ด้วยดี ย่อมได้ปัญญา ด้วยคำมีประมาณเท่านี้
แสดงประโยชน์ในภพหน้า อันกระทำความที่ละโลกนี้ไปแล้วไม่มีความเศร้าโศก
ที่ตรัสว่า ยสฺเสเต จตุโร ธมฺมา ด้วยบทนี้ว่า สมฺปรายโก. ก็คำว่า อตฺโถ
นั่นเป็นชื่อของการณ์.
จริงอยู่ อัตถ ศัพท์นี้ ย่อมเป็นไปในอรรถแห่งบาลี ดุจในประโยค
มีอาทิว่า สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ มีอรรถ มีพยัญชนะ เป็นไปในการบอก ดุจ
ในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนคหบดี เราไม่ต้องการเงินและทอง เป็นไปใน
ความเจริญ ดุจในประโยคมีอาทิว่า ความเจริญย่อมมีแก่ผู้มีศีลทั้งหลาย เป็นไป
ในประโยชน์เกื้อกูล ดุจในประโยคมีอาทิว่า ย่อมประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสอง
ฝ่าย เป็นไปในเหตุว่า เมื่อเหตุเกิดขึ้น ย่อมต้องการบัณฑิต ก็ในที่นี้ ย่อมเป็น
ไปในเหตุ เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบเนื้อความโดยย่อในที่นี้อย่างนี้ว่า เหตุ
แห่งการได้ปัญญาเป็นต้น อันเป็นไปในปัจจุบันใด และเหตุแห่งความที่ละ
โลกนี้ไปแล้วไม่มีความเศร้าโศก อันเป็นไปในภพหน้าใด วันนี้เราทราบชัดซึ่ง
เหตุนั้นด้วยตนเอง โดยนัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วนั่นแล บัดนี้ เรานั้น
จะพึงถามสมณพราหมณ์เป็นอันมากทำไมเล่า.

ยักษ์ทูลว่า ข้าพระองค์ทราบชัดประโยชน์อันเป็นไปในภพหน้าอย่างนี้
แล้ว เมื่อจะแสดงความที่ญาณนั้นมีภพเป็นมูล จึงกราบทูลว่า พระพุทธเจ้า..
เพื่อประโยชน์แก่ข้าพระองค์หนอ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถาย ความว่า เพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือ
เพื่อความรู้. บทว่า ยตฺถ ทินฺนํ มหปฺผลํ ความว่า ทานที่บุคคลให้แล้ว
ในพระทักขิไณยบุคคลผู้เลิศใด ด้วยการบริจาคที่ตรัสไว้ในบทนี้ว่า ยสฺเสเต
จตุโร ธมฺมา
เป็นทานที่มีผลมากกว่า ข้าพระองค์ทราบชัดพระทักขิไณย
บุคคลผู้เลิศนั้น. ส่วนพวกเกจิอาจารย์กล่าวว่า อาฬวกยักษ์ทูลอย่างนี้ หมายถึง
พระสงฆ์.
อาฬวกยักษ์แสดงการบรรลุประโยชน์เกื้อกูลของตน ด้วยคาถานี้อย่างนี้
แล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดงการปฏิบัติประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น จึงกราบทูลว่า
โส อหํ วิจริสฺสามิ. เนื้อความแห่งคาถานั้น พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้ว
ในเหมวตสูตรนั้นแล.

ทรงโปรดพระอาฬวกกุมาร


การจบคาถานี้ 1 ราตรีสว่าง 1 การให้เสียงสาธุการดังขึ้น 1 การนำ
พระอาฬวกกุมารมาสู่ที่อยู่ของยักษ์ 1 ได้มีแล้วในขณะเดียวกันนั่นแล ด้วย
ประการฉะนี้ ราชบุรุษทั้งหลายพึงเสียงสาธุการแล้ว นึกอยู่ว่า เสียงสาธุการ
เห็นปานนี้ เว้นพระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว ย่อมไม่ดังระบือขึ้นแก่คนเหล่าอื่น
พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จมาหนอแล ได้เห็นรัศมีแห่งพระวรกายของพระผู้มี