เมนู

ด้วยคำว่า เป็นผู้ปฏิบัติชั่วเป็นต้น. ก็บทว่า ปริพฺพาชกํ คหฏฺฐํวา นั่น
เป็นวิเสสนะของสาวกเท่านั้น. อธิบายว่า บรรพชิต หรือคฤหัสถ์ ผู้ถวาย
ปัจจัย ผู้เป็นสาวกพระพุทธเจ้านั้น. โบราณาจารย์ทั้งหลายย่อมต้องการเนื้อ
ความในคาถานี้ อย่างนี้ว่า ย่อมติเตียนปริพาชกภายนอก หรือคฤหัสถ์คนใด
คนหนึ่ง ด้วยโทษอันไม่เป็นจริง.
บุทว่า อนรหํ สนฺโต ความว่า ผู้ไม่เป็นพระขีณาสพ. บทว่า
อรหํ ปฏิชานติ ความว่า ปฏิญาณว่า เราเป็นพระอรหันต์ คือ ย่อมเปล่ง
วาจา ย่อมตะเกียกตะกายด้วยกาย ย่อมปรารถนา ย่อมรับด้วยจิต โดยประการ
ที่บุคคลทั้งหลายรู้เขาว่า คนนี้เป็นพระอรหันต์. บทว่า โจเร ได้แก่ ขโมย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยอำนาจคำอันอุกฤษฏ์ว่า ในโลกพร้อมทั้งพรหมโลก
อธิบายว่า ในโลกทั้งปวง.
จริงอยู่ พวกผู้ร้ายทำการตัดที่ต่อ การปล้นสดมภ์ การปล้นเรือน
หลังเดียว และการดักปล้นในหนทางเป็นต้นแล้ว ปล้นทรัพย์ของคนเหล่าอื่น
ท่านเรียกว่า โจร ในโลก พวกบรรพชิตปล้นปัจจัยเป็นต้น ด้วยบริษัทสมบัติ
เป็นต้น ท่านเรียกว่า โจร ในพระศาสนา. สนดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

[มหาโจร]


1. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาโจร 5 เหล่านี้ มีอยู่ ปรากฏอยู่ใน
โลก 5 เป็นไฉน คือ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาโจรบางคนในโลกนี้ คิด
อย่างนี้ว่า ชื่อในกาลไหนหนอ เราผู้อันบริวาร 100 คน หรือ 1,000 คน
แวดล้อมแล้ว จักเที่ยวไปในคาม นิคม และราชธานี ฆ่าเอง ให้ฆ่า ตัดเอง

ให้ตัด จี้เอง ให้จี้ โดยสมัยอื่น เขามีบริวาร 100 คน หรือ 1,000 คน
แวดล้อมแล้ว เที่ยวไปอยู่ในคาม นิคม และราชธานี ฆ่าเอง ฯลฯ ให้จี้ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชั่วบางรูปในศาสนานี้ ก็เหมือนอย่างนั้นแล คิดอย่างนี้ว่า
ชื่อในกาลไหนหนอ เราผู้อันบริวาร 100 ฯลฯ แวดล้อมแล้ว จักไปสู่ที่จารึก
ในคาม นิคม และราชธานี ผู้อันคฤหัสถ์ทั้งหลายและบรรพชิตทั้งหลายสักการ
แล้ว เคารพแล้ว นับถือแล้ว บูชาแล้ว ยำเกรงแล้ว ได้จีวร ฯลฯ บริขาร
โดยสมัยอื่นอีก เขาอันบริวาร 10 ฯลฯ เที่ยวไปสู่คาม นิคม ราชธานีสักการะ
แล้ว ฯลฯ ได้จีวร ฯลฯ บริขาร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มหาโจรที่ 1 มีอยู่
ปรากฏอยู่ในโลก.
2. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีข้ออื่นอีก ภิกษุชั่วบางรูปในศาสนานี้
เรียนธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมเผาตนเอง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
นี้มหาโจรที่ 2 ฯลฯ ในโลก.
3. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีข้ออื่นอีก ภิกษุชั่วบางรูปในศาสนานี้
กำจัดพรหมจารีผู้บริสุทธิ์ ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์ ด้วยพรหมจรรย์อัน
ไม่มีมูล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มหาโจรที่ 3 ฯลฯ ในโลก.
4. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีข้ออื่นอีก ครุภัณฑ์ ครุบริขาร ของสงฆ์
คือ อาราม อารามวัตถุ วิหาร วิหารวัตถุ เตียง ตั่ง ฟูก หมอน หม้อ-
โลหะ อ่างโลหะ ขวดโลหะ กระทะโลหะ มีด ขวาน ผึ่ง จอบ สิ่ว เถาวัล
ไม้ไผ่ หญ้ามุงกระต่าย หญ้าปล้อง ดินเหนียว เครื่องไม้ เครื่องดินเหนียว
ภิกษุชั่วย่อมสงเคราะห์ ย่อมช่วยเหลือคฤหัสถ์ด้วยครุภัณฑ์ ครุบริขารเหล่านั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มหาโจรที่ 4 ฯลฯ ในโลก.

5. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดอวดอุตริมนุสธรรมที่ตนไม่มี ไม่
เป็นจริง ภิกษุนี้เป็นยอดมหาโจรในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ฯลฯ พร้อมทั้งเทวดา
และมนุษย์.
ในโจร 5 จำพวกนั้น โจรทางโลกย่อมขโมยวัตถุมีทรัพย์และธัญชาติ
เป็นต้น เฉพาะทางโลกเท่านั้น ในบรรดาโจรที่กล่าวแล้วในศาสนา โจรที่ 1
ย่อมขโมยสักว่าปัจจัยมีจีวรเป็นต้น มีรูปเห็นปานนั้นเท่านั้น โจรที่ 2 ย่อม
ขโมยประยัติธรรม โจรที่ 3 ย่อมขโมยพรหมจรรย์ของคนอื่น โจรที่ 4 ย่อม
ขโมยครุภัณฑ์อันเป็นของสงฆ์ โจรที่ 5 ย่อมขโมยทั้งคุณทรัพย์ที่เป็นโลกิยะ
และโลกุตระ อันต่างด้วยฌาน สมาธิ สมาบัติ มรรค และผลทั้งปัจจัยมีจีวร
เป็นต้น อันเป็นโลกีย์ เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก้อนข้าวของแว่นแคว้น พวกเธอบริโภคแล้ว ด้วยไถยจิต.
ในโจร 5 จำพวกนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นโจรในโลก
พร้อมทั้งพรหมโลก ดังนี้ ทรงหมายถึงมหาโจรที่ 5 นี้ เพราะมหาโจรนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นยอดมหาโจร เพราะขโมยโลกิยทรัพย์และ
โลกุตรทรัพย์อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดอวดอุตริมนุสธรรมที่ตน
ไม่มี ไม่เป็นจริง ภิกษุนี้เป็นยอดมหาโจรในโลกพร้อมทั้งเทวโลก . . . พร้อม
ทั้งเทวดาและมนุษย์ เพราะฉะนั้น จึงทรงประกาศภิกษุนั้น แม้ในศาสนานี้
ด้วยการกำหนดอย่างสูงนี้ว่า ในโลกพร้อมทั้งพรหมโลก.
ศัพท์ว่า โข ในบทนี้ว่า เอโส โข วสลาธโม มีอวธารณะ
เป็นอรรถ. ด้วยโขศัพท์นั้น ทรงกำหนดลงไปว่า ผู้นั้นแลเป็นคนถ่อยต่ำช้า

คือ เลวที่สุดของคนถ่อยทั้งหลาย. เพราะเหตุไร เพราะหลั่งออกซึ่งไถยธรรม
ในวัตถุอันประเสริฐ เขาไม่สละปฏิญาณนั้นตราบใด เขาก็บรรลุแล้วซึ่งธรรม
ที่ทำให้เป็นคนถ่อย เป็นคนถ่อยตราบนั้น.
บทว่า เอเต โข วสลา ความว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อ
จะทรงแสดงขยายถึงคนถ่อย 33 พวก หรือ 34 พวก ที่ตรัสอย่างนี้ว่า ใน
คาถาที่ 1 มี 5 พวก มีมักโกรธเป็นต้น ด้วยอำนาจแห่งอาสยวิบัติ หรือมี
6 พวก โดยแยกลบหลู่อย่างเลวออกเป็น 2 อย่าง ในคาถาที่ 2 มี 1 คือ ผู้
เบียดเบียนสัตว์ ด้วยอำนาจแห่งประโยควิบัติ ในคาถาที่ 3 มี 1 คือ ผู้ฆ่า
ชาวบ้านและชาวนิคม ด้วยอำนาจแห่งประโยควิบัติเท่านั้น ในคาถาที่ 4 มี 1
ด้วยอำนาจแห่งไถยาวหาร ในคาถาที่ 5 มี 1 ด้วยอำนาจแห่งการตระบัดหนี้
ในคาถาที่ 6 มี 1 คือ ฆ่าคนเดินทาง ด้วยอำนาจปสัยหาวหาร ในคาถาที่ 7
มี 1 ด้วยอำนาจแห่งผู้เป็นพยานโกง ในคาถาที่ 8 มี 1 ด้วยอำนาจแห่งการ
ประทุษร้ายมิตร ในคาถาที่ 9 มี 1 ด้วยอำนาจแห่งผู้อกัตญญู ในคาถาที่ 10
มี 1 ด้วยอำนาจแห่งผู้ทำความเสียหาย และเบียดเบียน ในคาถาที่ 11 มี 1
ด้วยอำนาจแห่งการลวงผู้อื่น ในคาถาที่ 12 มี 2 ด้วยอำแห่งคนผู้ปกปิด
กรรมและการงาน ในคาถาที่ 13 มี 1 ด้วยอำนาจแห่งคนอกตัญญูเหมือนกัน
ในคาถาที่ 14 มี 1 ด้วยอำนาจแห่งการลวง ในคาถาที่ 15 มี 1 ด้วยอำนาจ
แห่งการเบียดเบียน ในคาถาที่ 16 มี 1 ด้วยอำนาจแห่งการลวง ในคาถา
17 มี 2 ด้วยอำนาจแห่งการยกตนข่มท่าน ในคาถาที่ 18 มี 7 มีฉุนเฉียว
เป็นต้น ด้วยอำนาจแห่งประโยคและอาสยวิบัติ ในคาถาที่ 19 มี 2 ด้วย

อำนาจแห่งการติเตียน ในคาถาที่ 20 มี 1 ด้วยอำนาจแห่งอัครมหาโจร
ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า คนเหล่าใด เราประกาศแก่ท่านแล้ว คนเหล่านั้นนั่นแล
เรากล่าวว่า เป็นคนถ่อย ดังนี้.
เนื้อความแห่งพระดำรัสนั้น มีดังนี้ :-
คนถ่อยเหล่านั้นใดที่เรากล่าวในกาลก่อนโดยย่ออย่างนี้ว่า ดูก่อน
พราหมณ์ ก็ท่านรู้จักคนถ่อยหรือ คนถ่อยเหล่านั้นนั่นแล เราประกาศแล้ว
โดยพิสดาร.
อนึ่ง คนถ่อยเหล่านั้นใด เรากล่าวแล้ว ด้วยอำนาจบุคคล คนถ่อย
เหล่านั้นนั่นแล เราประกาศแล้ว แม้ด้วยอำนาจแห่งธรรม.
อนึ่ง คนถ่อยเหล่าใด เราประกาศแล้วแก่ท่าน คนถ่อยเหล่านั่นแล
เรากล่าวแล้ว ด้วยอำนาจแห่งอริยธรรม หาได้กล่าวด้วยอำนาจแห่งชาติไม่.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงคนถ่อยอย่างนี้ โดยนัยมีอาทิว่า
มักโกรธ ผูกโกรธ ดังนี้ บัดนี้ เมื่อจะทรงปฏิเสธทิฏฐิที่พราหมณ์ ยึดมั่น
อย่างยิ่ง ด้วยสักกายทิฏฐิ จึงตรัสว่า น ชจฺจา วสโล บุคคลไม่เป็นคน
ถ่อยเพราะชาติ.
เนื้อความแห่งคาถานั้นว่า ก็โดยปรมัตถ์ บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะ
ชาติ ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่เป็นคนถ่อยเพราะกรรม เป็นพราหมณ์
เพราะกรรม เป็นคนถ่อยเพราะหลั่งออกซึ่งกรรมอันไม่บริสุทธิ์ เป็นพราหมณ์
เพราะลอยกรรมอันไม่บริสุทธิ์ ด้วยกรรมอันบริสุทธิ์ หรือ เพราะท่านสำคัญ
คนเลวว่าเป็นคนถ่อย คนประเสริฐว่าเป็นพราหมณ์ เพราะฉะนั้น เมื่อจะทรง

ยังพราหมณ์ให้รู้เนื้อความแม้อย่างนี้ว่า บุคคลเป็นคนถ่อยเพราะกรรมเลว เป็น
พราหมณ์เพราะกรรมประเสริฐดังนี้ จึงตรัสอย่างนั้น.
บัดนี้ เพื่อทรงยังเนื้อความนั้นนั่นแลให้สำเร็จ ด้วยการทรงแสดง
ขยาย จึงตรัสคถา 3 คาถา มีอาทิว่า ตทมินาปิ ชานาถ ดังนี้. ในคาถา
เหล่านั้น 2 คาถามีคาถาละ 4 บท คาถาหนึ่ง มี 6 บท.
เนื้อความแห่งคาถาเหล่านั้นว่า ข้อใดมีอาทิว่า บุคคลไม่เป็นคนถ่อย
เพราะชาติ เรากล่าวแล้ว ท่านจงรู้ข้อนั้น ตามที่เราแสดงนี้ มีอธิบายว่า
คำที่เราแสดงขยายนี้ย่อมมีโดยประการใด คือ โดยความเหมือนกันอันใด ท่าน
จงรู้ข้อนั้น โดยประการแม้นี้.
หากจะมีคำถามว่า ตัวอย่างเป็นไฉน ?
ตอบว่า บุตรของคนจัณฑาล เลี้ยงตนเองได้ ฯลฯ เป็นผู้เข้าถึง
พรหมโลก เป็นตัวอย่าง. บุตรของคนจัณฑาล ชื่อว่าจัณฑาลบุตร บุคคลใด
ได้ของที่สุกแล้ว เพื่อประโยชน์แก่การเคี้ยวกินของตนแล้ว หุงของสุกเหล่านั้น
อีก เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้น ชื่อว่า โสปาก ผู้เลี้ยงตนเองมีชื่อว่า มาตังคะ.
บทว่า วิสฺสุโต ความว่า ปรากฏแล้ว ด้วยชาติเลว เป็นอยู่เลว
และมีชื่ออย่างนี้. บทว่า โส ความว่า มาตังคะนั้นเกี่ยวกับบทก่อน ได้ยศ
อย่างสูง คือ บรรลุพร้อมแล้ว ซึ่งยศ คือ เกียรติ การสรรเสริญ น่า
อัศจรรย์ อันอุดม ประเสริฐยิ่ง. บทว่า ยํ สุทุลฺลภํ ความว่า อัน บุคคล
แม้เกิดแล้วในตระกูลสูงก็ได้โดยยาก อันบุคคลผู้เกิดในตระกูลเลว ก็ได้โดย
แสนยาก. อธิบายว่า ก็พวกกษัตริย์พวกพราหมณ์ เป็นอันมาก มาสู่ที่บำรุง

ของมาตังคะนั้น ผู้ได้ถึงยศอย่างนี้ คือ พวกกษัตริย์ พวกพราหมณ์ และ
พวกมนุษย์ ในชมพูทวีปเหล่าอื่นมากมีแพศย์และศูทรเป็นต้น ต่างก็มาสู่ที่
บำรุงโดยมาก เพื่อบำรุงมาตังคะนั้น.
อธิบายว่า มาตังคะนั้นถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียรอย่างนี้ ขึ้น
สู่ยาน คือ สมาบัติแปด ชื่อว่า วิรัช เพราะปราศจากธุลี คือ กิเลส ชื่อว่า
ทางใหญ่ เพราะท่านผู้ใหญ่มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ปฏิบัติแล้ว ที่รู้กันว่า ยาน
ไปสู่พรหมโลก เพราะเป็นยานสามารถเพื่อให้ถึงเทวโลก กล่าวคือ พรหมโลก
ชำรอกกามราคะเสียได้ ด้วยการปฏิบัตินั้น ก็ไม่ได้ห้ามเขาให้เข้าถึงพรหมโลก
คือจากการอุบัติในพรหมโลก ก็ผู้ศึกษาพึงทราบเนื้อความนี้ อย่างนี้.
ได้ยินว่า ในอดีตกาล มหาบุรุษกระทำอยู่ซึ่งประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์
โดยอุบายนั้น ๆ อุบัติในตระกูลของคนจัณฑาล ซึ่งเลี้ยงชีพด้วยอาหารที่ตน
ให้สุกเอง เขามีชื่อว่า มาตังคะ มีรูปร่างไม่น่าดู อาศัยอยู่ในกระท่อมที่ทำ
ด้วยหนังสัตว์ ในภายนอกนคร เที่ยวขอภิกษาในภายในนครเลี้ยงชีวิต.
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเข้าโฆษณานักษัตรเกี่ยวกับสุราในนครนั้น พวกนัก
เลงพากันเล่นกับบริวารของตน ธิดาของพราหมณ์มหาศาลแม้คนหนึ่ง อายุราว
15-16 ปี มีรูปโฉมน่าดู. น่าเลื่อมใสดุจเทพกัญญา คิดว่า เราจักเล่นตาม
สมควรแก่ตระกูลวงศ์ของตน จึงบรรทุกสัมภาระเกี่ยวกับการเล่นมีของเคี้ยวของ
กินเป็นต้น อย่างเพียงพอใส่เกวียนทั้งหลาย ขึ้นสู่ยานที่เทียมด้วยแม่ม้าขาว-
ปลอด ไปสู่สถานที่ในอุทยาน ด้วยบริวารใหญ่ นางมีชื่อว่า ทิฏฐมังคลิกา
ได้ยินว่า นางไม่ปรารถนาจะเห็นรูปที่ไม่สวยงามด้วยคิดว่า เป็นอวมงคล
ด้วยเหตุนั้น นางจึงเกิดมีชื่อว่า ทิฏฐมังคลิกา.

ในกาลครั้งนั้น มาตังคะนั้นลุกขึ้นตามกาลนั่นเทียวนุ่งผ้าเก่า ผูกก้าน
ตาลที่มือ ถือภาชนะเข้าสู่นคร เห็นมนุษย์ทั้งหลายแล้ว ก็เคาะก้านตาลแต่
ไกลแล ลำดับนั้น นางทิฏฐมังคลิกา อันบุรุษทั้งหลายกำลังไล่ชนที่เลวข้าง
หน้า ๆ ว่า พวกท่านจงลุกออกไป จงลุกออกไป นำทางอยู่ ได้เห็นมาตังคะ
ในท่ามกลางประตูนคร จึงกล่าว นั่นใคร. ข้าพเจ้าเป็นลูกคนจัณฑาล ชื่อ
มาตังคะ. นางคิดว่า คนทั้งหลายที่ไปเห็นคนเช่นนี้ จะมีความเจริญแต่ที่ไหน
จึงสั่งให้นำยานกลับ. มนุษย์ทั้งหลายโกรธว่า พวกเราไปสู่อุทยานแล้ว พึงได้
วัตถุมีของเคี้ยวและของกินเป็นต้นใด อันตรายแห่งวัตถุมีของเคี้ยวและของกิน
เป็นต้นนั้นของพวกเรา ถูกมาตังคะกระทำแล้ว จึงพูดว่า พวกท่านจงจับคนจัณ-
ฑาล ประหารด้วยก้อนดินทั้งหลาย รู้ว่าตายแล้ว จึงจับเท้าไปทิ้งที่ส่วนข้างหนึ่ง
กลบด้วยหยากเยื่อแล้วไป เขากลับได้สติแล้ว ลุกขึ้นถามมนุษย์ทั้งหลายว่า
นาย ! ชื่อว่า ประตูเป็นของทั่วไปแก่คนทั้งปวง หรือทำไว้สำหรับพวกพราหมณ์
เท่านั้น. มนุษย์ทั้งหลายกล่าวว่า ไม่ได้ทำ ประตูเป็นของทั่วไปแก่คนทั้งปวง.
มาตังคะคิดว่า มนุษย์ทั้งหลายให้เราผู้เข้าไปทางประตูที่ทั่วไปแก่ชนทั้งปวงแล้ว
ยังชีวิตให้เป็นไปด้วยภิกขาจาร ให้ถึงความพินาศย่อยยับนี้ เพราะนางทิฏฐ-
มังคลิกาเป็นเหตุ จึงเที่ยวไปตามถนนสู่ถนน บอกแก่มนุษย์ทั้งหลายแล้ว นอน
ที่ประตูเรือนของพราหมณ์ ด้วยคิดว่า เราไม่ได้นางทิฏฐมังคลิกาแล้ว จักไม่
ลุกขึ้น.
พราหมณ์ฟังว่า มาตังคะนอนที่ประตูเรือน จึงกล่าวว่า ท่านจงให้
กากณิกหนึ่งแก่เขา เอาน้ำมันงาทาตัวแล้ว จงไป มาตังคะนั้นย่อมไม่ปรารถนา

กากณิกนั้น จึงกล่าวว่า เราไม่ได้นางทิฏฐมังคลิกาแล้ว จักไม่ลุกขึ้น แต่นั้น
พราหมณ์กล่าวว่า จงให้ 2 กากณิก จงกินมูล 1 กากณิก เอาน้ำมันงาทาตัว
1 กากณิก แล้วไป เขาไม่ต้องกากณิกแม้นั้น ยังพูดยืนยันตามเดิมนั่นแล
พราหมณ์ฟังแล้ว ก็สั่งว่า จงให้มาสก บาท กึ่งกหาปณะ 2 กหาปณะ
3 กหาปณะ จนถึง 100 กหาปณะ เขาก็ไม่ต้องการ ยังพูดยืนยันตามเดิม
นั่นแล เมื่อพวกเขาอ้อนวอนอยู่อย่างนี้นั่นเทียว พระอาทิตย์ก็อัสดง.
ลำดับนั้น นางพราหมณีลงจากปราสาท ให้ล้อมผ้าม่าน เข้าไปหา
มาตังคะนั้นแล้วอ้อนวอน กล่าวว่า แน่ะพ่อมาตังคะ เจ้าจงอดโทษแก่นาง
ทิฏฐมังคลิกาเถิด จงรับ 1,000 กหาปณะ 2-3 พันกหาปณะ จนถึงแสน
กหาปณะ เขาก็คงนอนนิ่งอย่างนั่นเทียว เมื่อ 4-5 วันล่วงไปอย่างนี้แล้ว
ชนทั้งหลายมีขัตติยกุมารเป็นต้น ให้บรรณาการแม้มากแล้ว เมื่อไม่ได้นาง
ทิฏฐมังคลิกา จึงกระซิบบอกที่หูมาตังคะว่า ธรรมดาบุรุษทั้งหลายทำความ
เพียรหลายปี จึงถึงความปรารถนา ท่านอย่าเบื่อเลย จักได้นางทิฏฐมังคลิกา
โดยล่วงไป 2-3 วันแน่แท้. เขาก็คงนอนนิ่งอย่างนั้นนั่นแหละ.
ลำดับนั้น ในวันที่ 7 พวกคุ้นเคยโดยรอบ ลุกขึ้นกล่าวว่า ท่าน
จงให้มาตังคะลุกขึ้น หรือจงให้ทาริกา อย่าให้พวกเราทั้งหมดเสียหายเลย.
ได้ยินว่า พวกชนเหล่านั้นมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า คนจัณฑาลนอนตายอย่างนี้ ใน
ประตูเรือนของคนใด พวกคนที่อยู่ในเรือนโดยรอบละ 7 หลังคาเรือน พร้อม
ด้วยเรือนของคนนั้น ก็จะกลายเป็นคนจัณฑาลด้วย. แต่นั้น พราหมณ์และ
นางพรหมณี ให้นางทิฏฐมังคลิกานุ่งผ้าเก่าสีเขียว ให้วัตถุทั้งหลายมีกระบวย

และหม้อเป็นต้น นำนางผู้คร่ำครวญอยู่ไปสู่สำนักของมาตังคะนั้นแล้ว กล่าวว่า
เจ้าจงรับทาริกา ลุกขึ้นไปเสีย นางทาริกานั้นยืนที่ข้างกล่าวว่า จงลุกขึ้น. มา-
ตังคะนั้นกล่าวว่า จงจับมือฉันให้ลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า พวกเราไม่ได้เพื่ออยู่ภาย
ในนคร มาเถิด จงนำฉันไปสู่กระท่อมหนัง ในภายนอกนคร. นางจูงมือเขา
นำไปที่กระท่อมหนัง. อาจารย์ผู้กล่าวชาดกว่า ให้ขี่หลัง. ก็ครั้นนำไปแล้ว
จึงเอาน้ำมันทาร่างกายของมาตังคะนั้น ให้อาบน้ำด้วยน้ำอุ่น ต้มยาคูให้.
มาตังคะนั้นคิดว่า ขอพราหมณ์กัญญานี้อย่าฉิบหายเลย แล้วไม่กระทำ
การสมสู่ด้วยชาติเทียว พอได้กำลังสักกึ่งเดือนจึงพูดว่า ฉันจะไปป่า เจ้าอย่า
ร้อนใจว่า ชักช้ามาก และสั่งผู้คนในบ้านว่า พวกท่านอย่าละเลยนางนี้ ออก
จากเรือน บวชเป็นดาบส กระทำกสิณบริกรรมโดยไม่นานนัก ก็ยังสมาบัติ 8
และอภิญญา 5 ให้เกิดขึ้น คิดว่า ก็บัดนี้ เราจักเป็นที่พึ่งของนางทิฏฐมังคลิกา
จึงเหาะมาทางอากาศลงที่ประตูนคร ส่งข่าวไปยังสำนักของนางทิฏฐมังคลิกา.
นางฟังแล้ว คิดอยู่ว่า เห็นจะเป็นญาติของเราคนหนึ่งบวชแล้ว รู้ว่าเราเป็นทุกข์
จักมาเยี่ยม ดังนี้ จึงไป รู้ว่าเป็นมาตังคะนั้นแล้ว หมอบที่เท้าทั้งสองกล่าวว่า
ท่านทำดิฉันให้หมดที่พึ่ง มาเพื่อประโยชน์อะไร.
มหาบุรุษกล่าวว่า แน่ะนางทิฏฐมังคลิกา เจ้าอย่าเป็นทุกข์เลย ฉัน
จักให้ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นทำสักการะแก่เจ้า แล้วกล่าวคำนี้ว่า จงไป เจ้าจง
ให้ทำการป่าวประกาศว่า ท้าวมหาพรหมเป็นสามีของดิฉัน ไม่ใช่มาตังคะ
ท้าวมหาพรหมนั้นจักแหวกวิมานจันทร์แล้วมาสู่สำนักของดิฉันในวันที่ 7.
นางกล่าวว่า ท่านเจ้าขา ดิฉันเป็นธิดาของพราหมณ์มหาศาล ถึง
ความเป็นคนจัณฑาลนี้ เพราะบาปกรรมของตน ไม่อาจเพื่อจะพูดอย่างนั้น.

มหาบุรุษกล่าวว่า เจ้าไม่รู้จักอานุภาพของมาตังคะ จึงแสดงปาฏิหาริย์
หลายอย่าง โดยประการที่นางยอมเชื่อถือ สั่งนางอย่างนั้นแล้ว ก็ไปสู่ที่อยู่
ของตน. นางได้ทำอย่างนั้น.
พวกมนุษย์ต่างก็เพ่งโทษ หัวเราะว่า ก็นางทิฏฐมังคลิกานี้ ถึงความ
เป็นคนจัณฑาลแล้ว เพราะบาปกรรมของตน จักทำมาตังคะนั้นให้เป็นมหา-
พรหมอีกอย่างไรกัน. นางมีมานะยิ่งนั่นแล จึงเที่ยวประกาศทั่วนครทุก ๆ วัน
ว่า แต่นี้ไปท้าวมหาพรหมจักมาในวันที่ 6 ที่ 5 ที่ 4 ที่ 3 ในวันพรุ่งนี้
ในวันนี้. มนุษย์ทั้งหลายฟังข่าวที่นางประกาศแล้ว คิดว่า บางครั้ง พึงมีแม้
อย่างนี้ ให้ทำมณฑปที่ประตูเรือนของตน ๆ จัดแจงสถานผูกม่าน ประดับ
ประดาทาริกาผู้เจริญวัย นั่งมองดูอากาศว่า เมื่อท้าวมหาพรหมมาจักถวาย
กัญญาทาน.
ลำดับนั้น มหาบุรุษเมื่อพระจันทร์โผล่ออกสู่พื้นท้องฟ้าในวันเพ็ญ
ก็แหวกวิมานจันทร์ มาปรากฏเป็นรูปท้าวมหาพรหมแก่มหาชนผู้มองดู มหาชน
เข้าใจว่า พระจันทร์ 2 ดวงเกิดแล้ว แต่นั้น เห็นท้าวมหาพรหมมาโดยลำดับ
ได้ถึงความตกลงว่า นางทิฏฐมังกลิกาพูดจริง นี้เป็นท้าวมหาพรหมเทียว มา
ด้วยเพศของมาตังคะในกาลก่อน เพื่อจะทรมานนางทิฏฐมังคลิกา. มหาบุรุษ
นั้น เมื่อมหาชนมองดูอย่างนั้น จึงลงในที่เป็นที่อยู่ของนางทิฏฐมังคลิกานั่นแล.
ก็ในกาลนั้น นางมีระดู มหาบุรุษนั้นลูบคลำสะดือของนางด้วยนิ้วมือ
ครรภ์ก็ตั้งขึ้นด้วยการลูบคลำนั้น. แต่นั้น จึงกล่าวกะนางว่า ครรภ์ของเจ้า
ตั้งพร้อมแล้ว เมื่อบุตรเกิด เจ้าจงอาศัยบุตรนั้นเลี้ยงชีพ เมื่อมหาชนกำลัง

มองดู ก็เข้าสู่วิมานจันทร์อีก พวกพราหมณ์พากันกล่าวว่า นางทิฏฐมังคลิกา
เป็นประชาบดีของมหาพรหม เป็นมารดาของพวกเรา จึงมาจากที่นั้น ๆ ประตู
นครก็คับคั่ง ด้วยอำนาจแห่งพวกมนุษย์ ผู้ใคร่เพื่อจะทำสักการะนั้น พวก
พราหมณ์เหล่านั้น ตั้งนางทิฏฐมังคลิกาในกองเงิน ให้อาบน้ำ ตกแต่ง ยก
ขึ้นสู่รถ ให้การทำประทักษิณพระนคร ด้วยสักการะใหญ่ ให้สร้างมณฑป
ในท่ามกลางนคร ตั้งนางไว้ในตำแหน่งที่เห็นว่า ประชาบดีของพรหม ให้อยู่
ในมณฑปนั้นว่า ขอให้นางอยู่ในมณฑปนี้ก่อน จนกว่าพวกเราจะทำโอกาส
เป็นที่อยู่อันเหมาะสมแก่นาง.
นางคลอดบุตรที่มณฑปนั่นเทียว ในวันบริสุทธิ์ พวกพราหมณ์ให้
นางพร้อมกับบุตรอาบน้ำสระเกล้าแล้ว ตั้งชื่อทารกว่า มัณฑัพยกุมาร เพราะ
เหตุเกิดในมณฑป และจำเดิมแต่นั้น พวกพราหมณ์เที่ยวแวดล้อมกุมารนั้นว่า
บุตรของมหาพรหม บรรณาการหลายแสนประการก็มาจากที่นั้น พราหมณ์เหล่า
นั้นตั้งอารักขากุมาร พวกที่มาแล้ว ก็ไม่ได้เพื่อเยี่ยมกุมารได้โดยเร็ว กุมาร
อาศัยความเจริญโดยลำดับ ปรารภแล้วเพื่อจะให้ทาน เขาไม่ให้ทานแก่คน
กำพร้าและคนเดินทาง ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยความหวัง แต่ให้แก่พวกพราหมณ์
เท่านั้น.
มหาบุรุษระลึกว่า บุตรของเราให้ทานหรือไม่ให้ เห็นกุมารกำลังให้
ทานแก่พราหมณ์ทั้งหลายนั่นเทียว จึงคิดว่า เราจักทำโดยประการที่กุมารนี้
ให้ทานแก่ชนทั้งหมด จึงห่มจีวร ถือบาตร เหาะมาทางอากาศ ยืนอยู่ที่
ประตูเรือนของบุตร กุมารเห็นมหาบุรุษนั่นแล้วโกรธว่า สมณะนี้เป็นคนถ่อย
มีเพศน่าเกลียดอย่างนี้ มาจากไหนดังนี้แล้ว กล่าวคาถานี้ว่า

กุโต นุ อาคจฺฉสิ จมฺมวาสิ
โอตฺตลลโก ปํสุปิสาจโกว
สงฺการโจฬํ ปฏิมุญฺจ กณฺเฐ
โก เร ตุวํ โหสิ อทกฺขิเณยฺโย

ท่านนุ่งหนังสัตว์ มีรูปร่างน่าเกลียด
เหมือนปีศาจคลุกฝุ่น มาจากไหนกัน
ท่านสวมท่อนผ้า ซึ่งได้จากกองหยากเยื่อไว้
ที่คอ เป็นผู้ไม่ควรทักษิณา เป็นใครกันนะ

ดังนี้.
พวกพราหมณ์กล่าวว่า จงจับ จงจับ แล้วจับมหาบุรุษนั้น ทุบตี
ให้ถึงความพินาศย่อยยับ มหาบุรุษนั้น เหาะทางอากาศไปยืนอยู่ที่ภายนอกนคร.
เทวดาทั้งหลายโกรธแล้ว จับคอกุมาร เอาเท้าชี้ฟ้า เอาศีรษะลงดิน
ตั้งไว้. กุมารนั้นมีนัยน์ตาถล่น มีน้ำลายไหลออกจากปาก หายใจฆุรุ ฆุรุ
เสวยเวทนา นางทิฏฐมังคลิกาฟังแล้ว ถามว่า มีใครมาหรือ ? เออ บรรพชิต
มา. ไปไหน ?. ไปอย่างนี้. นางไปที่นั้นแล้ว อ้อนวอนว่า ท่านเจ้าขา ขอ
ท่านจงอดโทษแก่ทาสของท่าน ดังนี้แล้ว หมอบลงที่พื้นใกล้เท้าของมหาบุรุษ
นั้น.
ก็โดยสมัยนั้น มหาบุรุษเที่ยวบิณฑบาต ได้ข้าวยาคู กำลังดื่มข้าวยาคู
นั่งอยู่ในที่นั้น เขาให้ข้าวยาคูที่เหลือนิดหน่อยแก่นางทิฏฐมังคลิกา กล่าวว่า
จงไป จงกวนข้าวยาคูนี้ในหม้อน้ำแล้วหยอดที่นัยน์ตา หู รูจมูก และประพรม

ร่างกายทั้งสิ้น ของคนผู้พิการทั้งหลาย คนพิการทั้งหลายจักหายพิการ นางได้
กระทำอย่างนั้น แต่นั้น เมื่อกุมารมีร่างกายปกติแล้ว จึงกล่าวว่า มาเถิด
พ่อมัณฑัพยะ พวกเราจักให้มหาบุรุษนั้นอดโทษ แล้วพาบุตรและพราหมณ์
ทั้งปวงให้นอนหมอบที่บาทมูลของมหาบุรุษนั้นแล้วขอขมาให้อดโทษ.
มหาบุรุษนั้นโอวาทว่า พึงให้ทานแก่ชนทั้งปวง กล่าวธรรมกถาแล้ว
ไปสู่ที่อยู่ของตน คิดว่า นางทิฏฐมังคลิกา เราได้ทรมานปรากฏแล้วในสตรี
ทั้งหลาย มัณฑัพยกุมาร ปรากฏแล้วในบุรุษทั้งหลาย บัดนี้ เราพึงทรมานใคร
แต่นั้น ได้เห็น ชาติมันตดาบส ผู้อาศัยพันธุมดีนคร อยู่ที่ฝั่งแห่งกุมภวดีนที
ดาบสนั้นคิดว่า เราเป็นผู้ประเสริฐโดยชาติ จะไม่บริโภคน้ำที่คนอื่นทั้งหลาย
บริโภคแล้ว จึงพักอยู่ที่เหนือแม่น้ำ มหาบุรุษสำเร็จการอยู่เหนือภูมิภาคของ
ดาบสนั้น ในเวลาที่ดาบสนั้นบริโภคน้ำ ก็เคี้ยวไม้สีฟันโยนลงในแม่น้ำ ดาบส
เห็นไม้สีฟันนั้นถูกน้ำพัดไป ก็คิดว่า ใครทิ้งไม้สีฟันนี้ จึงไปทวนกระแส
เห็นมหาบุรุษแล้ว ถามว่า ใครในที่นี้ ?
ม. คนจัณฑาล ชื่อ มาตังคะ อาจารย์.
ด. จงหลีกไปคนจัณฑาล อย่ามาอยู่เหนือแม่น้ำ.
มหาบุรุษตอบรับว่า ดีละ อาจารย์ จึงพักอยู่ที่ใต้แม่น้ำ ไม้สีฟันก็
ทวนกระแสน้ำมาสู่สำนักดาบส ดาบสไปอีกกล่าวว่า ออกไปคนจัณฑาล จง
อย่าอยู่ในที่ใต้แม่น้ำ จงอยู่ในที่เหนือน้ำเท่านั้น มหาบุรุษรับว่า ดีละ อาจารย์
จึงกระทำตามสั่ง ทั้งทำอย่างเดิมอีก ดาบสโกรธว่า ยังทำอย่างนั้นอีก จึงสาปแช่ง
มหาบุรุษว่า ในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ขอศีรษะของท่านจงแตกออกเป็นเจ็ดเสี่ยง
ฝ่ายมหาบุรุษกล่าวว่า ดีละ อาจารย์ แต่เราจะไม่ให้พระอาทิตย์ขึ้นจึงห้ามมิให้
พระอาทิตย์ขึ้น.

แต่นั้น ราตรีไม่สว่าง ความมืดเกิดขึ้น ชาวพระนครพันธุมดีกลัว
พากันไปสู่สำนักของดาบสแล้ว ถามว่า ท่านอาจารย์ พวกกระผมจะมีความ
ปลอดภัยหรือหนอ. และชาวพระนครแม้เหล่านั้นก็สำคัญดาบสนั้นว่า เป็น
พระอรหันต์ ดาบสนั้นก็บอกเรื่องทั้งหมดแก่ชาวพระนครเหล่านั้น พวกเขาจึง
เข้าไปหามหาบุรุษอ้อนวอนว่า ท่านเจ้าขา ขอท่านจงปล่อยพระอาทิตย์ มหา-
บุรุษกล่าวว่า ผิว่า พระอรหันต์ของพวกท่านมาขอขมาฉัน ฉันจักปล่อย.
พวกมนุษย์ไปแล้ว กล่าวกะดาบสว่า มาเถิด ท่านผู้เจริญ ท่านจงขอขมา
มาตังคบัณฑิต พวกกระผมอย่าฉิบหาย เพราะเหตุแห่งการทะเลาะของพวกท่าน
ดาบสนั้นกล่าวว่า เราจะไม่ขอขมาคนจัณฑาล มนุษย์ทั้งหลายกล่าวว่า ท่านให้
พวกกระผมฉิบหาย แล้วพากันจับมือและเท้านำไปสู่สำนักของมหาบุรุษ มหา-
บุรุษกล่าวว่า เมื่อดาบสนอนหมอบใกล้เท้าของเราขอขมาอยู่ เราจะอดโทษให้.
มนุษย์ทั้งหลายกล่าวว่า ท่านจงทำอย่างนี้ ดาบสก็กล่าวว่า เราจะไม่ไหว้คนจัณ-
ฑาล มนุษย์ทั้งหลายกล่าวว่า ท่านจักไม่ไหว้ตามความพอใจของท่าน ดังนี้แล้ว
จึงจับมือ เท้า หนวด และคอเป็นต้น ให้นอนใกล้เท้าของมหาบุรุษ.
มหาบุรุษนั้นกล่าวว่า เราอดโทษแก่ดาบสนี้ แต่ว่า เราจะไม่ปล่อย
พระอาทิตย์ เพราะความอนุเคราะห์แก่ดาบสนั่นแล เพราะเมื่อพระอาทิตย์มาตร
ว่าขึ้นเท่านั้น ศีรษะของดาบสนั้นจักแตกออกเป็นเจ็ดเสี่ยง มนุษย์ทั้งหลายจึง
กล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า บัดนี้ จะพึงทำอย่างไร มหาบุรุษกล่าวว่า ถ้า
เช่นนั้น พวกท่านจงวางก้อนดินเหนียวบนศีรษะของดาบส และให้อยู่ในน้ำ
ลึกประมาณคอ เราจักปล่อยพระอาทิตย์ พอปล่อยพระอาทิตย์แล้ว ก้อนดิน
เหนียวก็แตกออกเป็นเจ็ดเสี่ยงตกลงมา ดาบสกลัวแล้วหนีไป พวกมนุษย์เห็น

แล้ว จึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ จงดูอานุภาพของสมณะ ดังนี้แล้ว กล่าวเรื่อง
ทั้งหมดให้พิสดารเริ่มต้นแต่การทิ้งไม้สีฟันเป็นต้น เลื่อมใสในมหาบุรุษนั้นว่า
สมณะที่เป็นเช่นนี้ไม่มี.
จำเดิมแต่นั้น คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งหลายมีกษัตริย์และพราหมณ์
เป็นต้น ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ก็ได้ไปสู่ที่บำรุงของมาตังคบัณฑิต เขาดำรงอยู่
ตามสมควรแก่อายุแล้ว เพราะกายแตกจึงบังเกิดในพรหมโลก ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ตทมินาปิ ชานาถ ฯลฯ พฺรหฺมโลกูปปตฺติยา
ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้สำเร็จว่า บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ
แต่เป็นคนถ่อยเพราะกรรม ดังนี้ อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อให้สำเร็จอย่างนี้ว่า
ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่เป็นพราหมณ์เพราะกรรม ดังนี้ จึงตรัสว่า
อชฺฌายกกุเล ชาตา ฯ เป ฯ ทุคฺคจฺจา ครหาย วา ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อชฺฌายกกุเล ได้แก่เกิดในตระกูลพราหมณ์
ผู้สาธยายมนต์. บาลีว่า อชฺฌายิกกุเล ชาตา ดังนี้บ้าง. อธิบายว่า เกิด
ในตระกูลพราหมณ์ผู้สาธยายมนต์และไม่ถูกรังเกียจ. มนต์ทั้งหลายเป็นเผ่า-
พันธุ์ของพราหมณ์เหล่านั้น เพราะเหตุนั้น พราหมณ์เหล่านั้น จึงชื่อว่า
มนฺตพนฺธวา เป็นพวกร่ายมนต์ คือร่ายพระเวท มีอธิบายว่า มีพระเวท
เป็นที่พึ่งอาศัย.
บทว่า เต จ ปาเปสุ กมฺเมสุ อภิณฺหมุปทิสฺสเร ความว่า
พราหมณ์เหล่านั้น เกิดในตระกูลอย่างนี้แล้ว แม้จะเป็นพวกร่ายมนต์แต่ก็
ปรากฏอยู่เนือง ๆ ในบาปกรรมทั้งหลายมีปาณาติบาตเป็นต้น เมื่อเป็นอย่างนั้น

ก็จะพึงถูกติเตียนในปัจจุบันทีเดียว และภพหน้าก็เป็นทุคติ อธิบายว่า พวก
เขาเมื่อปรากฏอยู่อย่างนี้ ในอัตภาพนี้ทีเดียวก็จะพึงถูกมารดาและบิดาติเตียน
อย่างนี้ว่า พวกนี้ไม่ใช่บุตรของพวกเรา พวกมันเกิดชั่ว เป็นขี้เถ้าของตระกูล
จงขับพวกของมันไป ดังนี้บ้าง ถูกพราหมณ์ทั้งหลายติเตียนอย่างนี้ว่า พวก
เหล่านี้เป็นคหบดี พวกเหล่านั้นไม่ใช่พราหมณ์ พวกท่านอย่าให้พวกมันเข้า
ไปในพิธีทั้งหลายมีที่บูชายัญและที่ถวายถาดข้าวสุกด้วยศรัทธาเป็นต้น อย่าพึง
สนทนากับพวกมัน ดังนี้บ้าง ถูกมนุษย์เหล่าอื่นติเตียนอย่างนี้ว่า พวกเหล่านี้
ทำกรรมชั่ว พวกเหล่านี้ไม่ใช่พราหมณ์ ดังนี้บ้าง และภพหน้าของพวกเขา
ก็เป็นทุคติ คือ ปรโลกของพวกมันก็เป็นทุคติอันต่างด้วยนรกเป็นต้น บาลีว่า
สมฺปราเย ดังนี้ก็มี อธิบายว่า ในปรโลกของพวกเขาก็เป็นทุคติ คือ เป็น
คติแห่งความทุกข์ ได้แก่ เป็นการถึงความทุกข์นั่นเอง.
บทว่า น เน ชาติ นิวาเรติ ทุคฺคจฺจา ครหาย วา ความว่า
ชาตินั้นแม้จะสูงอย่างนั้น ท่านหวังชาติใดโดยความเป็นสาระ ชาตินั้นย่อมไม่
ห้ามกันพวกพราหมณ์ ที่ปรากฏอยู่ในบาปกรรมทั้งหลายนั้น จากทุคติมีประการ
ได้กล่าวแล้ว ในบทนี้ว่า และภพหน้าก็จะเป็นทุคติ หรือจากครหามีประการ
ดังกล่าวแล้วในบทว่า พึงถูกติเตียนในปัจจุบันทีเดียว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงความที่พราหมณ์ทั้งหลาย แม้เกิด
ในตระกูลสาธยายมนต์ก็ยังตกต่ำในปัจจุบันทีเดียว ด้วยอำนาจแห่งกรรมมีการ
ถูกติเตียนเป็นต้น และเมื่อจะทรงแสดงความไม่มีแห่งชาติพราหมณ์ในภพหน้า
ด้วยการถึงทุคติ ทรงยังอรรถแม้นี้ว่า ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่เป็น
พราหมณ์เพราะกรรม ดังนี้ ให้สำเร็จอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะประมวลอรรถ
แม้ทั้งสอง จึงตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ เพราะอย่างนี้

น ชจฺจา วสโล โหติ น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ
กมฺมุนา วสโล โหติ กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ

บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ ไม่
เป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่เป็นคนถ่อย
เพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม
ดังนี้.
บทที่เหลือมีนัยที่กล่าวแล้วในกสิภารทวาชสูตรนั่นแล หรือโดยพิเศษ
พึงทราบการประกอบอย่างนี้แห่งบททั้งหลาย มีอาทิว่า นิกฺกุชฺชิตํ วา ใน
คาถานี้ :-
พระธรรมอันพระโคดมผู้เจริญ ทรงยกข้าพระองค์ผู้หันหลังให้กรรม
ผู้ตกอยู่ในชาติวาทะขึ้นจากความเห็นว่า ชาติเป็นเหตุให้บุคคลเป็นพราหมณ์
และเป็นคนถ่อย เหมือนคนบางคนหงายของที่คว่ำฉะนั้น ทรงเปิดกรรมวาทะ
ที่ชาติวาทะปิดไว้ เหมือนคนเปิดสิ่งที่ปิดฉะนั้น ทรงบอกทางตรง อันไม่
เจือคละด้วยความที่ชาติเป็นเหตุให้เป็นพราหมณ์และให้เป็นคนถ่อย เหมือน
คนบอกทางแก่คนหลงทางฉะนั้น ทรงประกาศแล้ว โดยอเนกปริยาย เพราะ
เป็นธรรมที่ทรงประกาศแล้ว โดยปริยายเหล่านั้น แก่ข้าพระองค์ โดยทรง
ส่องแสงสว่างในการยกเรื่องมาตังคะ เป็นต้นเป็นตัวอย่าง เหมือนบุคคลตาม
ประทีปน้ำมันไว้ในที่มืด ฉะนั้นแล.
จบอัคคิกภารทวาชสุตตวัณณนา แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อ ปรมัตถโชติกา

เมตตสูตรที่ 8


ว่าด้วยตรัสรู้สันตบท


[308] กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์
ปรารถนาเพื่อจะตรัสรู้สันตบท พึงบำเพ็ญ
ไตรสิกขา กุลบุตรนั้นพึงเป็นผู้อาจหาญ
เป็นผู้ตรง ซื่อตรง ว่าง่าย อ่อนโยน ไม่
เย่อหยิ่ง สันโดษ เลี้ยงง่าย มีกิจน้อย มี
ความประพฤติเบา มีอินทรีย์อันสงบแล้ว
มีปัญญาเครื่องรักษาตน ไม่คะนอง ไม่พัว-
พันในสกุลทั้งหลาย และไม่พึงประพฤติ
ทุจริตเล็กน้อยอะไร ๆ ซึ่งเป็นเหตุ ให้ท่านผู้รู้
เหล่าอื่นติเตียนได้ พึงเจริญเมตตาในสัตว์
ทั้งหลายว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้มีสุข
มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด สัตว์มี
ชีวิตเหล่าใดเหล่าหนึ่งมีอยู่ เป็นผู้สะดุ้งหรือ
เป็นผู้มั่นคง ไม่มีส่วนเหลือ สัตว์เหล่าใดมี
กายยาวหรือใหญ่ ปานกลางหรือสั้น ผอม
หรือพี ที่เราเห็นแล้วหรือไม่ได้เห็น อยู่ใน
ที่ไกลหรือในที่ใกล้ ที่เกิดแล้วหรือแสวงหา
ที่เกิด ขอสัตว์ทั้งหมดนั้นจงเป็นผู้มีตนถึง