เมนู

อรรถกถาปุริสสูตร


ในปุริสสูตรที่ 10 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
ศัพท์ว่า เสยฺยถาปิ เป็นนิบาต ใช้ในอรรถแสดงการเปรียบเทียบ.
ความหมายว่า ฉันใด. บทว่า นทิยา โสเตน โอวุยฺเหยฺย ความว่า พึง
ถูกกระแสน้ำของแม่น้ำที่มีกระแสไหลเชี่ยว พัดลงไปใต้ คือนำลงไปข้างล่าง.
บทว่า ปิยรูปสาตรูเปน ความว่า เขาคิดว่า เราจักเก็บเอาแก้วมณีและทอง
คำเป็นต้น หรือของที่น่ารัก คือ สิ่งของที่เป็นอุปกรณ์แก่ทรัพย์เครื่องปลื้มใจ
ที่มีอยู่ในแม่น้ำนั้น หรือบนฝั่งนอก (ฝั่งหน้า) ของแม่น้ำนั้นกระโดดลงไปใน
แม่น้ำแล้ว คงจมลอยไปตามกระแสน้ำที่เป็นตัวการ มีสภาพน่ารัก น่าชื่นใจ.
ศัพท์ว่า กิญฺจาปิ เป็นนิบาต ใช้ในความหมายว่า ยอมรับแต่ไม่
สรรเสริญ. ยอมรับอะไร ? ไม่สรรเสริญอะไร ? ยอมรับสิ่งของที่น่ารัก ที่
ชายคนนั้นต้องประสงค์ ว่ามีอยู่ ณ ที่นั้น แต่ไม่สรรเสริญการไปอย่างนั้น
เพราะเป็นสิ่งที่มีโทษ. มีคำอธิบายนี้ไว้ว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ แม้ว่าสิ่งของ
ที่น่ารัก ที่ท่านต้องประสงค์จะหาได้ในที่นั้นไซร้ แต่ในเพราะการไปอย่างนี้
จะมีโทษอย่างนี้ คือท่านจะต้องตกถึงห้วงน้ำข้างล่าง แล้วถึงความตายหรือ
ความทุกข์ปางตาย.
บทว่า อตฺถิ เจตฺถ เหฏฺฐา รหโท ความว่า ในภูมิภาค
ตามกระแสน้ำด้านใต้แม่น้ำนี้ลงไปมีสระใหญ่สระหนึ่ง ลึกและกว้างเหลือเกิน
และสระนั้น ชื่อว่ามีคลื่น เพราะคลื่นคือฟองขนาดมหึมา คล้ายกับยอดเขา
แก้วมณีที่ก่อตัวขึ้น เพราะถูกลมพัดมารอบด้าน ชื่อว่ามีน้ำวน โดยมีน้ำวน
คล้ายกับ ไฟใต้น้ำ เหตุที่มี่ห้วงน้ำใหญ่ไพบูลย์ไหลวนอยู่ในที่นั้น ๆ ด้วยห้วง

มหรรณพของแม่น้ำน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากมาก่อนในภูมิประเทศที่ไม่เสมอ ชื่อว่า
มีรากษส มีการจับสัตว์กินโดยผีเสื้อน้ำ ดีใจดุร้าย ดูน่ากลัวเหลือเกิน
ครอบครอง สระนั้น อยู่ ทำสัตว์ทั้งหลายที่ลงสู่ห้วงน้ำนั้นนั่นเอง ให้เป็น
เหยื่อของตนเป็นประจำ.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่ามีสัตว์ร้าย โดยปลาร้ายและมังกรเป็นต้น ชื่อว่า
มีผีเสื้อ เพราะผีเสื้อน้ำตามที่กล่าวแล้ว. บทว่า ยํ ได้แก่ ห้วงน้ำที่มีภัย
เฉพาะหน้าอย่างนี้. บทว่า อนฺโภ ปุริส เป็นอาลปนะ (คำร้องเรียก). บทว่า
มรณํ วา นิคฺจฺฉสิ ความว่า ชายคนนั้นถูกคลื่นเหล่านั้น ซัดแล้วหรือตก
ไปในน้ำวนเหล่านั้นแล้ว ไม่สามารถจะโผล่ศีรษะขึ้นได้ (จักถึงความตาย)
อีกอย่างหนึ่ง ตกเจ้าปากปลาร้ายหรือมังกรเหล่านั้น หรือตกอยู่ในเงื้อมมือ
ผีเสื้อน้ำนั้นแล้ว จักถึงความตายบ้าง. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อยังมีอายุ (ชีวิต)
เหลือรอดพ้นความตายนั้นไปได้ ก็จะเข้าถึงความทุกข์ปางตาย คือความทุกข์
มีความตายเป็นประมาณ โดยถูกคลื่นเป็นต้นเหล่านั้นให้เกิดขึ้นแล้ว และตีซัด
แล้ว.
บทว่า ปฏิโสตํ วายเมยฺย ความว่า เขาเมื่อก่อนลอยไปตามกระแสน้ำ
แต่พอได้ยินคำพูดของชายคนนั้นแล้ว เกิดความกลัวเป็นกำลังขึ้นว่า ได้ทราบ
ว่าอนัตถะปรากฏแก่เราแล้ว ดูเหมือนว่าเรากลิ้งเข้าปากมัจจุราชแล้ว จึงควร
หมุนตัวกลับ พยายามใช้มือและเท้า โดยเพิ่มอุตสาหะขึ้นเป็นทวีคูณ ไม่ช้าเลย
ก็จะถึงฝั่ง. บทว่า อตฺถสฺส วิญฺญาปนาย ความว่า เราตถาคตทำการ
เปรียบเทียบไว้ เพื่อให้เข้าใจเนื้อความที่เกื้อกูลแก่การแทงตลอดสัจจะทั้งสี่.
บทว่า อยญฺเจเวตฺถ อตฺโถ ได้แก่ ข้อความอุปไมยที่ชักเอาอุปมา
(คำเปรียบเทียบ) มาเพื่อให้เข้าใจนี้นั่นเอง คือที่กำลังกล่าวอยู่ในบัดนี้ ได้แก่
ที่เราตถาคตประสงค์เอาแล้วในที่นี้. ในคำว่า ตณฺหาเยตํ อธิวจนํ นี้ พึงทราบ

ความคล้ายคลึงกันแห่งกระแสตัณหาโดยอาการ 4 อย่าง คือ โดยการหลั่งไหล
ออกมาตามลำดับ 1 โดยการไหลทะยอยกัน ไปไม่ขาด 1 โดยเป็นเหตุให้จมลง
1 โดยข้ามได้โดยยาก 1. อุปมาเสมือนหนึ่งว่า เมื่อมหาเมฆเบื้องบนหลั่งฝนลง
มา น้ำจะเต็มลำธารละหานห้วย เคลื่อนจากลำธารเป็นต้นนั้นแล้ว ก็จะเต็มหนอง
เคลื่อนจากหนองนั้นแล้ว ก็จะเต็มลำน้ำน้อย (คลอง) จากลำน้ำน้อยนั้น ก็จะ
ไหลเข้าสู่ลำน้ำใหญ่ กลายเป็นห้วงน้ำห้วงเดียวไหลไป ชาวโลกเรียกว่า นทีโสต
(กระแสน้ำ) ฉันใด ความโลภในอารมณ์ทั้งหลาย มีรูปเป็นต้น มีประเภท
เป็นอเนก ด้วยสามารถแห่งอารมณ์ที่มีอยู่ในภายในและภายนอกเป็นต้น
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดขึ้นแล้วก็ถึงความเจริญยิ่งขึ้น ตามลำดับ พระผู้มี
พระภาคเจ้า
ตรัสเรียกว่า กระแสตัณหา. อนึ่ง กระแสน้ำตั้งแต่ไหลมาจนถึง
ตกสมุทร เมื่อไม่มีปัจจัยที่จะให้มันขาด ก็จะยังไม่ขาด ไหลติดต่อกันไปตาม
ลำดับ ฉันใด แม้กระแสตัณหาก็เช่นนั้น เหมือนกัน เริ่มต้นแต่ไหลมา เมื่อ
ไม่มีปัจจัยที่จะให้มันขาด ก็จะไม่ขาดลง จะมุ่งหน้าสู่สมุทร คืออบายไหลไป
โดยไหลทะยอยกันไปไม่ขาด. แต่กระแสน้ำจะให้สัตว์ที่ตกลงไปภายในกระแส
จมลง ไม่ให้โผล่ศีรษะขึ้นมาได้ ให้ถึงความตายบ้าง ความทุกข์ปางตายบ้าง
ฉันใด ถึงกระแสตัณหาก็ฉันนั้น จะให้สัตว์ผู้ตกลงไปภายในกระแสของตน
จมลงไป ไม่ไห้โผล่ศีรษะขึ้นมาได้ ให้ถึงความตายบ้าง ความทุกข์ปางตายบ้าง
โดยการตัดรากกุศลธรรมให้ขาดไป และโดยการเข้าไปสู่สังกิเลสธรรม.
อนึ่ง กระแสของแม่น้ำไหลไปอยู่ โดยความเป็นห้วงมหรรณพ ชื่อว่า
ข้ามได้โดยยาก เพราะ (ผู้จะข้าม) ต้องอาศัยชายฉลาด เพื่อผูกแพหรือต่อเรือ
และเพื่อนำส่ง สร้างอัธยาศัย (ความตั้งใจ) เพื่อจะไปฝั่งนอกแล้ว ทำความ
พยายามที่เกิดจากอัธยาศัยนั้น จึงข้ามไปได้ไม่ใช่คนพอดีพอร้าย ก็ข้ามไปได้
ฉันใด แม้กระแสตัณหาที่เป็นเหมือนห้วงน้ำคือกาม และห้วงน้ำคือภพก็ฉันนั้น

ชื่อว่าข้ามได้ยาก เพราะผู้มีปัญญาเครื่องรักษาตน เพื่อจะบำเพ็ญสมถกรรมฐาน
และวิปัสสนากรรมฐาน ต้องตั้งอัธยาศัย (ตั้งใจ) ไว้ว่า เราจักบรรลุอรหัตผล
แล้วอาศัยกัลยาณมิตร ลงเรือคือสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ทำ
ความพยายามโดยชอบจึงจะข้ามได้ ไม่ใช่คนพอดีพอร้ายก็ข้ามได้. ควรเข้าใจ
ความที่ตัณหา เป็นเสมือนกระแสของแม่น้ำ โดยอาการ 4 อย่าง คือ โดย
การหลั่งไหลออกไปตามลำดับ 1 โดยการไหลทะยอยกันไปไม่ขาด 1 โดยการ
ให้จมลง 1 โดยข้ามได้ยาก 1 ดังที่พรรณนามานี้.
บทว่า ปิยรูปสาตรูปํ ความว่า รูปที่มีสภาพน่ารักในกำเนิดที่น่ารัก
ชื่อว่า ปิยรูป รูปที่มีสภาพอร่อย (ชื่นใจ) ในกำเนิดที่อร่อยชื่อว่า สาตรูป.
อธิบายว่า มีสภาพน่าปรารถนา. บทว่า ฉนฺเนตํ ตัดบทเป็น ฉนฺนํ เอตํ
(คำนี้เป็นชื่อของอายตนะภายใน 6 อย่าง).
พึงทราบวินิจฉัย ในคำว่า อชฺฌตฺติกานํ นี้ต่อไป. อายตนะทั้งหลาย
ชื่อว่า อัชฌัตติกะ (ภายใน) เพราะเหมือนเป็นไปแล้ว โดยทำตนเองให้เป็น
เรื่องเป็นราว ด้วยความประสงค์นี้ว่า เราทั้งหลายจักถึงการยึดถือว่าเป็นอัตตา
อย่างนี้. ในคำว่า อชฺฌตฺติกานํ นั้น อัชฌัตตะภายในมี 4 อย่าง คือ
โคจรอัชฌัตตะ (อารมณ์ภายใน) 1 นิยกอัชฌัตตะ (ภายในอันเป็นของตน) 1
วิสัยอัชฌัตตะ (วิสัยภายใน) 1 อัชฌัตตอัชฌัตตะ (ภายในจริง ๆ) 1. บรรดา
อัชฌัตตะ 4 อย่างนั้น อัชฌัตตะนี้ที่ตรัสไว้ในคำทั้งหลาย มีอาทิอย่างนี้ว่า
ผู้ยินดีแล้วในภายใน เป็นผู้ตั้งมั่นแล้ว ชื่อว่า โคจรอัชฌัตตะ. อัชฌัตตะนี้
ที่มาแล้วว่า ความผ่องใส (แห่งใจ) ภายใน ชื่อว่า นิยกอัชฌัตตะ. อัชฌัตตะนี้
ที่มาแล้วอย่างนี้ว่า เพราะไม่ได้มนสิการถึงนิมิตทั้งหมด พระโยคาวจรจึงเข้าถึง
ความว่างภายในอยู่ ชื่อว่า วิสยอัชฌัตตะ. อัชฌัตตะที่ตรัสไว้ในคำนี้ว่า ธรรม
ทั้งหลายที่เป็นภายใน ธรรมทั้งหลายที่เป็นภายนอก ชื่อว่า อัชฌัตตอัชฌัตตะ

(อัชฌัตตะจริง ๆ). แม้ในที่นี้ ก็ทรงประสงค์เอาอัชฌัตตะข้อนี้เท่านั้น. เพราะ
ฉะนั้นท่านจึงกล่าวไว้ว่า อัชฌัตตะนั้นเอง ชื่อว่า อัชฌัตติกะ. อีกอย่างหนึ่ง
อายตนะทั้งหลายมีจักษุเป็นต้น ที่มีอยู่ในภายในเหล่านั้น เหมือนในประโยค
ทั้งหลายมีอาทิว่า ธรรมภายใน ธรรมภายนอก ชื่อว่าอัชฌัตติกะ เพราะอรรถ
ตามที่กล่าวมาแล้วนั่นแหละ. คำว่าอายตนานํ นั่นเป็นชื่อของอายตนะที่เป็นไป
ภายในเหล่านั้น.
ในคำว่า อายตนานํ นี้ มีอธิบายว่า ธรรมชาติทั้งหลาย ชื่อว่า
อายตนะ เพราะเป็นที่เกิด 1 เพราะเป็นที่ขยายไปแห่งสิ่งน่าชื่นใจ เพราะนำไป
สู่วัฏฏะที่ยาวยืด 1. เพราะว่า ธรรมทั้งหลายคือจริง และเจตสิกที่มีทวารนั้น ๆ
บรรดาจักขุทวารเป็นต้น เป็นที่ตั้งย่อมเกิดขึ้น คือตั้งขึ้น ได้แก่สืบต่อ หมาย-
ความว่าพยายามไป ตามหน้าที่ของตน ๆ มีการเสวยอารมณ์เป็นต้น และ
อายตนะเหล่านี้ ย่อมต่อคือขยายธรรมเหล่านั้นที่เป็นสิ่งน่าชื่นใจ อนึ่ง
วัฏทุกข์ใด ที่หมุนไปในสงสารที่ไม่มีใครตามพบที่สุด คือยาวยืดเหลือเกิน
อายตนะทั้งหลายจะนำไป คือหมุนไปสู่วัฏทุกข์นั้น ดังนั้น ธรรมเหล่านี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกว่าอายตนะ โดยประการทั้งปวง เพราะเป็น
ที่เกิด เพราะขยายสิ่งที่น่าชื่นใจ และเพราะนำไปสู่วัฏฏะที่ยาวยืด. อีกอย่างหนึ่ง
พึงทราบว่า ชื่อว่าอายตนะ เพราะหมายความว่า เป็นสถานที่อยู่อาศัย 1
เพราะหมายความว่า เป็นบ่อเกิด 1 เพราะหมายความว่า เป็นสถานที่ชุมนุม
กัน 1 เพราะหมายความว่า เป็นถิ่นกำเนิด 1 และเพราะหมายความว่า
เป็นเหตุ 1. จริงอย่างนั้น ในทางโลก สถานที่เป็นที่อยู่อาศัย เรียกกันว่า
อายตนะ (ถิ่นที่อยู่) เช่นในประโยคทั้งหลายมีอาทิว่า อิสสรายตนะ (ถิ่นของ
พระอิศวร) เทวายตนะ (ถิ่นของเทวดา). บ่อเกิด เรียกว่า อายตนะ เช่นใน
ประโยคทั้งหลายว่า บ่อทอง สุวณฺณายตนํ บ่อแก้ว รตนายตนํ.

แต่ในทางศาสนา สถานที่ประชุมกัน เรียกว่า อายตนะ เช่น ในคาถา
ทั้งหลายมีอาทิว่า
นกทั้งหลาย ประชุมกันในที่อันเป็น
ที่รื่นรมย์ใจ.

ถิ่นกำเนิด เรียกว่าอายตนะ เช่นโนประโยคทั้งหลายมีอาทิว่า ทักขิณาบถ
เป็นที่กำเนิดของโคทั้งหลาย. เหตุเรียกว่าอายตนะ เช่นในประโยคทั้งหลาย
มีอาทิว่า เขาถึงภาวะที่จะต้องศึกษาในที่นั้น ๆ นั่นแหละ เมื่อมีเหตุ (ที่สมควร).
อนึ่ง ธรรมคือจิตและเจตสิกเหล่านั้น ๆ อาศัยอยู่ที่จักขุทวารเป็นต้น เพราะ
มีพฤติกรรมเกี่ยวเนื่องกับจักขุทวารเป็นต้นนั้น เพราะเหตุนั้น จักขุทวารเป็น
ต้นนั้น จึงชื่อว่า เป็นสถานที่อยู่อาศัยของธรรมคือจิตและเจตสิกเหล่านั้น. และ
ธรรมเหล่านั้นกลาดเกลื่อนอยู่ในจักขุทวารเป็นต้นเหล่านั้น เพราะอาศัยจักขุ-
ทวารเป็นต้นนั้น เพราะเหตุนั้น จักขุทวารเป็นต้นจึงชื่อว่าเป็นบ่อเกิดของธรรม
เหล่านั้น. อายตนะชื่อว่าเป็นสถานที่ชุมนุม เพราะเป็นที่มารวมกัน (แห่งธรรม
ทั้งหลาย) ในจักขุทวารเป็นต้นนั้น โดยเป็นที่ตั้งและเป็นประตู และชื่อว่า
เป็นถิ่นกำเนิด เพราะธรรมเหล่านั้นเกิดขึ้นที่จักขุทวารเป็นต้นนั้นนั่นเอง
โดยเป็นที่อาศัยของธรรมเหล่านั้น ทั้งชื่อว่าเป็นเหตุ เพราะเมื่อจักษุเป็นต้น
ไม่มี ธรรมคือจิตและเจตสิกเหล่านั้นก็ไม่มี จึงเป็นอันว่า จักขุทวารเป็นต้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า อายตนะ เพราะเหตุเหล่านี้คือ เพราะหมาย
ความว่า เป็นสถานที่อยู่อาศัย 1 เพราะหมายความว่า เป็นบ่อเกิด 1 เพราะ
หมายความว่า เป็นสถานที่ชุมนุม 1 เพราะหมายความว่า เป็นถิ่นกำเนิด 1
เพราะหมายความว่า เป็นเหตุ 1. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส
ว่า คำว่า อายตนานํ นี้ เป็นชื่อของอายตนะภายในทั้ง 6 ดังนี้.

ถ้าว่าธรรมทั้งหลายแม้มีรูปเป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้
โดยเป็นปิยรูป สาตรูป (รูปเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นใจ) เพราะเป็นที่ตั้งแห่ง
ตัณหาว่า ตัณหานี้ เมื่อจะเกิด ก็เกิดขึ้นที่รูปอันเป็นปิยรูปสาตรูปในโลก
แล้วไซร้ ถึงกระนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ตรัสไว้แล้วว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย คำว่า ปิยรูปสารรูปนี้แล เป็นชื่อของอายนะภายใน 6 ดังนี้
เพื่อจะทรงแสดงว่า จักษุเป็นต้น เหมาะที่จะขยายความ (นิเทศ) ว่า เป็น
ปิยรูปสาตรูปที่ดีเหลือเกิน เพราะเป็นที่ตั้งแห่งความเสน่หาอย่างยิ่ง โดยนัย
มีอาทิว่า จักษุของเรา โสตของเรา เพราะพ้นจักษุเป็นต้นไปแล้ว การบัญญัติ
ว่าอัตตาก็จะมีไม่ได้.
กามธาตุพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า เป็นของต่ำ ในคำว่า
โอรมฺภาคิยานํ นี้. (อกุศลธรรม) ที่เนื่องด้วยกามธาตุนั้น ชื่อว่า โอรัมภาคะ
(เป็นส่วนเบื้องต่ำ). สังโยชน์ที่ประกอบด้วยส่วนเบื้องต่ำ (โอรัมภาคะ) นั้น
โดยความเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า โอรัมภาคิยะ. กิเลสชาต ชื่อว่า
สังโยชน์ เพราะประกอบบุคคลผู้มีกิเลสขาดไว้ในวัฏฏะ. คำนี้เป็นชื่อของ
สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะและพยาบาท. อธิบายว่า
สังโยชน์เหล่านั้น เป็นปัจจัยของสังขารทั้งหลายที่เข้าถึงกามภพ ผูกสัตว์ทั้งหลาย
ไว้ ด้วยกามภพซึ่งเป็นส่วนต่ำ เพราะเป็นของต่ำ คือ เป็นของเลวกว่ารูปธาตุ
และอรูปธาตุ. ด้วยคำว่า โอรมฺภาคิยา นั่นนั้นเอง พึงทราบว่า พระองค์
ได้ทรงแสดงถึงความที่สังโยชน์เหล่านั้น เป็นเช่นกับด้วยห้วงน้ำที่อยู่ภายใต้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า อุมฺมิภยํ นี้แล เป็นชื่อของความโกรธ
และความคับแค้นใจ. ชื่อว่า ภัย เพราะเป็นแดนกลัว. ภัยคือคลื่น เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า อุมมิภัย. ชื่อว่า โกธะ เพราะหมายความว่าโกรธเคือง. ความโกรธ
นั่นเอง ชื่อว่า อุปายาส เพราะหมายความว่า เกาะไว้แน่นโดยการบีบบังคับใจ

และกาย และการเกิดความสั่นสะท้านขึ้น. และในคำว่าอุปายาสนี้ พึงทราบ
ความที่ความโกรธและความคับใจ เป็นเช่นกับคลื่น เพราะกลิ้งไปทับสัตว์ที่มี
กำลังเสมอตนหลายวาระ ไม่ให้ผงกหัวขึ้นมาได้แล้วให้ถึงความพินาศย่อยยับไป.
อนึ่ง พึงทราบความที่กามคุณทั้งหลาย เป็นเช่นกับด้วยน้ำวน
เพราะให้สัตว์ทั้งหลายที่ถูกกิเลสครอบงำแล้ว ท่องเที่ยวไปในอัตตา (ตน)
กล่าวคืออารมณ์มีรูปที่ชื่นใจเป็นต้นอย่างนี้ คือ จากรูปนี้ ไปรูปนั่น และ
จากรูปนั้นมารูปนี้ แล้วให้เวียนวนไปโดยไม่ให้แม้จิตเกิดขึ้นในเนกขัมมะ
ที่เป็นสิ่งนอกจากกามคุณนั้นแล้วให้ถึงความเสื่อมเสียไป. อุปมาเสมือนหนึ่งว่า
แม้รากษสจับกุมสัตว์กินข่มขู่จับคนผู้เข้าไปในแดนที่หากินของตน ผู้เว้นจาก
การระมัดระวัง ถึงคนผู้อยู่ในที่ที่ไม่ใช่แดนหากิน (ของมัน ) ก็นำเอาไปสู่
แดนหากิน (ของมัน ) ด้วยเล่ห์ของรากษสแล้วทำเขาผู้หมดอำนาจให้ไม่สามารถ
จะช่วยตัวเองได้ พะเน้าพะนอ ปรนนิบัติ แม้ด้วยวรรณะ พละ โภคะ ยศ และ
ความสุข ให้ถึงความพินาศย่อยยับอย่างใหญ่หลวง ฉันใด แม้มาตุคามก็ฉันนั้น
ข่มขู่จับชายผู้ไม่เข้มแข็งเว้นจากโยนิโสมนสิการด้วยเยื้องกราย คือ การยิ้มของตน
ที่เป็นเล่ห์กระเท่ของหญิง ถึงชายชาติผู้เข้มแข็ง ก็พะเน้าพะนอ ด้วยมายาหญิง
โดยการประเล้าประโลมด้วยรูปของตนเป็นต้น ทำชายผู้หมดอำนาจให้เป็นผู้
ไม่สามารถจะยังธรรมที่เป็นอุปการะแก่ตนมีศีลเป็นต้น ให้ถึงพร้อมได้ปรนปรือ
ด้วยการสรรเสริญคุณความดีเป็นต้น แล้วให้ถึงความพินาศย่อยยับอย่างใหญ่
หลวง. พึงทราบความที่มาตุคามเป็นเช่นกับด้วยรากษส จับกุมสัตว์ดังที่
พรรณนามานี้. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย คำว่า อาวฏฺฏํ นี้แล เป็นชื่อของกามคุณทั้ง 5 และคำว่า คาหรกฺข-
โส
นี้แลเป็นชื่อของมาตุคาม.

การบรรพชา ปฐมฌานพร้อมด้วยอุปจาร วิปัสสนาปัญญา และนิพพาน
ชื่อว่า เนกขัมมะ ในคำว่า ปฏิโสโตติ โข ภิกฺขเว เนกฺขมฺมสฺเสตํ อธิวจนํ
(ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า ทวนกระแสนี้แล เป็นชื่อของเนกขัมมะ) นี้.
กุศลธรรมแม้ทั้งหมด ก็ชื่อว่า เนกขัมมะ. สมจริงดังที่พระองค์ได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า
กุศลธรรม แม้ทั้งหมด คือ บรรพชา
ปฐมฌาน นิพพาน และวิปัสสนา เรา
ตถาคต เรียกว่า เนกขัมมะ.

ก็ผู้ศึกษาพึงทราบความที่บรรพชาเป็นต้นเหล่านี้ เป็นเช่นกับการ
ทวนกระแส โดยการทวนต่อกระแสแห่งตัณหา. เพราะว่า โดยความไม่
แปลกกันแล้ว ธรรมวินัย ชื่อว่า เนกขัมมะ. การตั้งใจของเขา 1 การบรรพชา
ของเขา 1 ธรรมวินัย 1 พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า ทวนกระแส
ตัณหา. สมจริง ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า
ผู้กำหนัดแล้ว ด้วยอำนาจราคะ ถูก
กองแห่งความมืดปิดบังไว้แล้ว จะไม่เห็น
พระธรรมที่ไปทวนกระแส (พระนิพพาน)
ที่ละเมียดละไมลึกซึ้ง เห็นได้ยาก และ
ละเอียด.

บทว่า วิริยาสนฺภสฺส ความว่า ผู้มีความเพียรประกอบด้วย
สัมมัปปธาน 4 อย่าง. ความคล้ายคลึงกันของการข้ามพ้นกระแสตัณหา แยกออก
เป็นกามโอฆะเป็นต้น แห่งพระโยคาวจรนั้น (กับ) ความพยายาม เพื่อข้ามพ้น
กระแสน้ำ ของจตุรงคิกเสนา ด้วยมือด้วยเท้า เป็นที่ปรากฏชัดแล้วทีเดียว.
ความคล้ายคลึงกันของบุรุษผู้มีจักษุ ยืนริมฝั่งแม่น้ำที่มีกระแสเชี่ยว (กับ)

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระจักษุโดยจักษุ 5 ประการ ผู้เสด็จข้ามโอฆะ
ทั้ง 4 มีกามโอฆะเป็นต้นได้แล้ว ประทับยืนบนบก คือ พระนิพพานที่เป็น
ฝั่งนอก ของห้วงน้ำนั้น เป็นสิ่งที่ปรากฏชัดแล้ว เช่นกัน. ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า จกฺขุมา ปุริโส ฯเปฯ สมฺพุทฺธสฺส
บุรุษผู้มีจักษุ ฯลฯ สัมมาสัมพุทธเจ้า.
ในเรื่องนั้น มีคำเปรียบเทียบกับอุปไมยดังต่อไปนี้ กระแสตัณหา
ที่กำลังไหลไป โดยการไหลทะยอยกันเหมือนกระแสน้ำในแม่น้ำ. สัตว์ที่ถูก
กระแสตัณหาพัดไป โดยการหมุนเวียนไปในสังสารวัฏที่ไม่มีใครตามพบที่
สุดเหมือนบุรุษที่ถูกกระแสน้ำพัดไป. ความยึดมั่นในจักษุเป็นต้น ของพระ
โยคาวจรนี้เหมือนความยึดมั่นในปิยรูปสาตรูปนั้น ของบุรุษนั้น. การชุมนุม
แห่งสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 อย่าง ที่คับคั่งไปด้วยความโกรธ ความคับใจ
กามคุณและมาตุคาม เหมือนห้วงน้ำภายใต้ที่มีคลื่นมีน้ำวนและรากษส. พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ทรงมีสมันตจักษุ (ทรงเห็นได้รอบด้าน) ทรงทราบโทษ
ของสงสารวัฏทั้งหมด และเญยยธรรมทั้งมวลแล้ว เสด็จประทับยืนบนบก
คือ พระนิพพาน ที่เป็นฝั่งนอก แห่งกระแสตัณหา เหมือนบุรุษผู้มีจักษุ
ทราบเนื้อความนั้นตามความจริงแล้ว ยืนอยู่ที่ฝั่งนอกแห่งกระแสของแม่น้ำ
นั้น. การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิบายตัณหาเป็นต้น และโทษของ
ตัณหานั้นให้แจ่มชัด ด้วยพระมหากรุณาแก่สัตว์ผู้ถูกกระแสตัณหาพัดพา
ไปเหมือนการที่บุรุษผู้มีจักษุ บอกห้วงน้ำและโทษของห้วงน้ำด้วยความ
กรุณาแก่บุรุษคนนั้น ผู้ถูกพัดพาไปในกระแสแห่งแม่น้ำนั้น. การเข้าถึงอบาย
ก็ดี การเข้าถึงทุกข์ในสุคติก็ดี ของผู้ไม่รับเอาพระดำรัสของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า
เหมือนการถึงความตายและการประสบความทุกข์ปางตายในห้วงน้ำนั้น
ของบุรุษคนนั้น ผู้ไม่เชื่อฟังถ้อยคำของบุรุษผู้มีจักษุนั้นไปตามกระแสน้ำ อนึ่ง

การรับเอาพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ปรารภความเพียรด้วยสามารถ
แห่งเนกขัมมะมีการพิจารณาโทษในตัณหาเป็นต้น แล้วบวชทวนกระแสแห่ง
ตัณหาเป็นต้น และการก้าวล่วงกระแสตัณหา ด้วยการปรารภความเพียรนั้น
นั่นเอง คือ การถึงฝั่ง คือ พระนิพพาน แล้วอยู่อย่างสบาย ตามชอบใจ
ด้วยอำนาจอรหัตผลสมาบัติ เหมือนการเชื่อถ้อยคำของบุรุษคนนั้น (ผู้ชี้-
โทษให้เห็น) แล้ว ทำความพยายามด้วยมือและเท้า (มือพุ้ยน้ำและเท้าถีบน้ำ)
และเหมือนการถึงฝั่งนอกด้วยความพยายามนั้นแล้วไปสู่สถานที่ ๆ คนต้องการ
ได้อย่างสะดวกสบาย ดังนี้.
พึงทราบวินิจฉัย ในคาถาทั้งหลาย (ต่อไป) บทว่า สหาปิ ทุกเขน
ชเหยฺย กาเม
ความว่า ภิกษุ เมื่อทำความเพียรเนือง ๆ ในสมถกรรมฐาน
และวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อบรรลุฌานและมรรค ถ้าหากบรรดาข้อปฏิบัติ
เหล่านั้น บุพภาคปฏิบัติสำเร็จได้โดยยากโดยลำบาก คือ ลงสู่วิถีไม่ได้โดยสะดวก
ด้วยบุพภาคภาวนา เพราะกิเลสทั้งหลายยังมีกำลัง หรือเพราะความเพียร
ยังไม่แก่กล้าไซร้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็พึงละกามได้ แม้พร้อมด้วยความลำบาก
คือ พึงใช้ปฐมฌานข่มไว้พลาง ใช้มรรคที่ 3 ตัดขาดไปพลาง จะละกามกิเลสได้.
ด้วยคำว่า สหาปิ ทุกฺเขน กาเม นั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงฌาน
และมรรคที่เป็นทุกขาปฏิปทา. บทว่า โยคกฺเขมํ อายตึ ปฏฺฐยาโน ความว่า
ปรารถนา คือ มุ่งหวังพระอรหัตผลที่ตนยังไม่ถึง.
จริงอยู่ ในข้อนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ คือ เธอ ปรารถนาอยู่ว่า แม้
ถ้าหากว่า เราจะบรรลุฌานและมรรคเบื้องสูงได้โดยยากโดยลำบากในบัดนี้ไซร้
แต่เราก็จะอาศัยฌานนี้และมรรคเบื้องสูงนี้ บรรลุอรหัตผลแล้วจักเป็นผู้เสร็จกิจ
ละทุกข์ทั้งปวงเสียได้ดังนี้แล้ว พึงละกามทั้งหลายพร้อมด้วยฌานเป็นต้นได้
โดยลำบาก. อีกอย่างหนึ่ง บุคคลใดมากด้วยกามวิตก บวชปฏิบัติการชำระศีล

หรือข้อปฏิบัติเบื้องต้นของฌานเป็นต้น อยู่ด้วยอำนาจของกัลยาณมิตรมีน้ำตานอง
หน้าร้องไห้ไป ข่มวิตกไป โดยยากโดยลำบาก พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
หมายเอาบุคคลนั้นว่า พึงละกามพร้อมด้วยความลำบาก. เพราะว่า กุลบุตรนั้น
เมื่อละกามได้ โดยยากเย็นให้ฌานเกิดขึ้นแล้ว ทำฌานนั้นให้เป็นเบื้องบาท
พิจารณาเห็นแจ้งอยู่. พึงดำรงอยู่ในอรหัตผลตามลำดับ. ด้วยเหตุนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสไว้ว่า ปรารถนาธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะต่อไป.
บทว่า สมฺปชาโน ความว่า รู้ทั่วถึง โดยชอบนั่นเอง ด้วยมรรค
ปัญญาที่ประกอบด้วยวิปัสสนา. บทว่า สุวิมุตฺตจิตฺโต ได้แก่ เป็นผู้มีจิต
หลุดพ้นแล้วด้วยดี ด้วยผลวิมุตติ ในลำดับแห่งการบรรลุอริยมรรคนั้น. บทว่า
วิมุตฺติยา ผสฺสเย ตตฺถ ตตฺถ ความว่า พึงสัมผัส คือ ถึง ได้แก่บรรลุ
หมายความว่า ทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติ คือ พระนิพพาน ในเวลาบรรลุมรรคผล
นั้น ๆ. แท้จริงคำว่า วิมุตฺติยา นี้ เป็นฉัฏฐีวิภัตติใช้ในความหมายของทุติยา-
วิภัตติ. อีกอย่างพึงสัมผัส คือ ถูกต้อง ได้แก่ ถึงมรรคจิตของตนด้วยวิมุตติ
ที่เป็นอารมณ์ในเวลานั้น ๆ คือ ในเวลาเข้าผลสมาบัตินั้น ๆ อธิบายว่า พึงอยู่
ด้วยผลสมาบัติที่หยั่งลงสู่พระนิพพาน. บทว่า ส เวทคู ความว่า ผู้นั้น ชื่อว่า
เป็นผู้จบพระเวท เพราะถึง คือ แทงตลอดสัจจะ 4 อย่างด้วยมรรคญาณ
กล่าวคือพระเวท. บทว่า โลกนฺตคู ความว่า เป็นผู้ไปจบแดนขันธโลก.
คำที่เหลือ เข้าใจง่ายอยู่แล้ว.
จบอรรถกถาปุริสสูตรที่ 10

10. จรสูตร


ว่าด้วยวิตก 3 อย่าง


[290] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้กามวิตก พยาบาทวิตก หรือ
วิหิงสาวิตก ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้เดินไปอยู่ หากว่าภิกษุย่อมรับกามวิตก
พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตกนั้นไว้ ไม่ละเสีย ไม่บรรเทาเสีย ไม่ทำให้
สิ้นสุดเสีย ไม่ให้ถึงความไม่มีไซร้ ภิกษุแม้เที่ยวไปอยู่เป็นอยู่แล้วอย่างนี้
เราตถาคตกล่าวว่า เป็นผู้ไม่มีความเพียร ไม่มีโอตตัปปะ เกียจคร้าน มีความ
เพียรเลว ตลอดกาลเป็นนิตย์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้กามวิตก พยาบาท-
วิตก หรือวิหิงสาวิตก ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ยืนอยู่...ผู้นั่งอยู่...ถ้าแม้กามวิตก
พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้นอนอยู่ ตื่นอยู่ หากว่า
ภิกษุย่อมรับกามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตกนั้นไว้ ไม่ละเสีย ไม่-
บรรเทาเสีย ไม่กระทำให้สิ้นสุดเสีย ไม่ให้ถึงความไม่มีไซร้ ภิกษุแม้นอนอยู่
ตื่นอยู่ เป็นอยู่แล้วอย่างนี้ เราตถาคตกล่าวว่า เป็นผู้ไม่มีความเพียร ไม่มี
โอตตัปปะ เกียจคร้าน มีความเพียรอันเลว ตลอดกาลเป็นนิตย์.
[291] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้กามวิตก พยาบาทวิตก หรือ
วิหิงสาวิตก ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้เที่ยวไปอยู่ หากว่าภิกษุย่อมไม่รับกามวิตก
พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตกนั้นไว้ ละเสีย บรรเทาเสีย ทำให้สิ้นสุดเสีย
ให้ถึงความไม่มีไซร้ ภิกษุแม้เที่ยวไปอยู่เป็นอยู่อย่างนี้ เราตถาคตกล่าวว่า
เป็นผู้มีความเพียร มีโอตตัปปะ ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ตลอดกาล
เป็นนิตย์ ถ้าแม้กามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุ
ผู้ยืนอยู่...ผู้นั่งอยู่...ถ้าแม้กามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก ย่อม