เมนู

วรรควรรณนาที่ 4


อรรถกถาวิตักกสูตร


ในวิตักกสูตรที่ 1 แห่งวรรคที่ 4 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อกุสลา วิตกฺกา ความว่า วิตกทั้งหลายอันเกิดจากความ
เป็นผู้ไม่ฉลาด อธิบายว่า ได้แก่ มิจฉาวิตก. บทว่า อนวญฺญตฺติ ในบทว่า
อนวญฺญตฺติปฏิสํยุตฺโต นี้ ได้แก่การไม่ถูกดูหมิ่นเพราะความที่ตนไม่ถูกผู้อื่น
ดูหมิ่น คือ ไม่ถูกดูแคลน คือ อิจฉาจารที่เป็นไปแล้วอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ คน
เหล่าอื่นไม่พึงดูหมิ่นเรา ดังนี้ คือการเกี่ยวข้องอันประกอบด้วยการไม่ถูกดูหมิ่น
นั้น หรือวิตกอันปฏิสังยุตด้วยการไม่ดูหมิ่น ซึ่งปรารภการคลุกคลีนั้นเป็นไปแล้ว
เพราะฉะนั้น คำว่า อนวญฺญตฺติ นี้ เป็นชื่อของวิตกที่ผู้ดำรงอยู่ในอิจฉาจารให้
เป็นไปแล้ว เพราะต้องการความยกย่องว่า กระไรหนอ คนเหล่าอื่นทั้งคฤหัสถ์
และบรรพชิต จะไม่พึงเหยียดหยามเราให้ต่ำต้อย. บทว่า ลาภสกฺการสิโลก-
ปฏิสํยุตฺโต
ความว่า วิตกที่ประกอบด้วยลาภมีจีวรเป็นต้น สักการะ และ
กิตติศัพท์ โดยทำให้เป็นอารมณ์. บทว่า ปรานุทฺทยตาปฏิสํยุตฺโต ความว่า
ประกอบด้วยความรักที่เป็นเจ้าเรือน อันเป็นความเอ็นดูเทียมในผู้อื่น ซึ่ง-
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสหมายเอาว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้คลุกคลี
เพลิดเพลิน โศกเศร้า อยู่กับพระราชา ราชมหาอมาตย์ พราหมณ์ คฤหบดี
เดียรถีย์ และสาวกแห่งเดียรถีย์ทั้งหลาย เมื่อเขาสุข ก็สุขด้วย เมื่อเขาทุกข์
ก็ทุกข์ด้วย ย่อมถึงการประกอบตนในกิจการอันบังเกิดขึ้นแล้วของเขา ดังนี้.

พึงทราบวินิจฉัยในคาถาทั้งหลายดังต่อไปนี้ บุคคลผู้ประกอบด้วยการ
ไม่ดูหมิ่น ชื่อว่า อนวญฺญตฺติสํยุตฺโต บุคคลชื่อว่า ลาภสกฺการคารโว
เพราะมีความตระหนักในลาภสักการะ ไม่ใช่ในธรรม. บุคคลชื่อว่า อมัจจะ
เพราะเป็นผู้ใกล้ชิด คือร่วมสุข ร่วมทุกข์กัน ได้แก่ผู้อุปถัมภ์คล้ายกับสหาย
บุคคลผู้มีปกติยินดี กับด้วยอำมาตย์เหล่านั้น ด้วยอำนาจความรักที่เป็นเจ้าเรือน
ชื่อว่าเป็นผู้ยินดีกับด้วยอมาตย์ทั้งหลาย. ด้วยบทว่า สหนนฺที อมจฺเจหิ นี้
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงถึงวิตกที่ประกอบด้วยความเอ็นดูผู้อื่น. บทว่า
อารา สํโยชนกฺขยา ความว่า บุคคลถกวิตกทั้ง 3 เหล่านี้ครอบงำ ย่อม
เป็นผู้ห่างไกลจากความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ คือพระอรหันต์. พระอรหันต์นั้น
เป็นของหาได้ยาก สำหรับเขา. บทว่า ปุตฺตปสุํ ได้แก่ทั้งบุตร ทั้งสัตว์เลี้ยง.
และด้วยปุตฺตศัพท์ ในคำว่า ปุตฺตปสุํ นี้ ทรงสงเคราะห์เอาภรรยาเป็นต้น
ไว้ด้วย. ด้วยปสุศัพท์ ทรงสงเคราะห์เอาม้า กระบือ นา และสวนเป็นต้น
เข้าไว้ด้วย. บทว่า วิวาเห ความว่า ในการให้วิวาทมงคล. ด้วยบทว่า
อาวาโห นี้ ทรงสงเคราะห์เอาอาวาหมงคลเข้าไว้ด้วย. บทว่า สงฺคหานิ
ได้แก่การหวงแหน อธิบายว่า ควรแก่การระมัดระวัง. แต่อาจารย์ทั้งหลาย
กล่าวว่า ได้แก่การสนิทสนม อธิบายว่า สนิทสนมกันฉันมิตร. เธอมีความว่า
ละทิ้งทั้งหมด. บทว่า ภพฺโพ โส ตาทิโส ภิกฺขุ ความว่า เธอสละสิ่ง-
ที่ทำให้เนิ่นช้า ทุกอย่าง. ชื่อว่าเป็นภิกษุ เพราะเห็นภัยในสงสารด้วยสัมมา-
ปฏิบัติที่พระศาสดาตรัสไว้แล้ว โดยประการใด ชื่อว่าเป็นผู้เช่นนั้น เพราะ
พึงเห็นโดยประการนั้น ย่อมควรเพื่อบรรลุการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม คือพระอรหัต.
จบอรรถกถาวิตักกสูตรที่ 1

2. สักการสูตร


ว่าด้วยผู้ถูกสักการะครอบงำจิต


[259] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตได้เห็นสัตว์ผู้อันสักการะ
ครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เมื่อตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เราได้
เห็นสัตว์อันความไม่สักการะครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เมื่อตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ
วินิบาต นรก เราได้เห็นสัตว์อันสักการะและความไม่สักการะทั้งสองครอบงำ
ย่ำยีจิตแล้ว เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
ตถาคตกล่าวคำนั้นแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตได้เห็นสัตว์อัน
สักการะครอบงำย่ำยีจิตแล้ว... เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะ
ได้ฟังต่อสมณะหรือพราหมณ์อันก็หามิได้ ก็แต่ว่าเราตถาคตรู้มาเอง เห็นมา
เอง ทราบมาเอง จึงกล่าวคำนั้นแลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตได้
เห็นสัตว์อันสักการะครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
เราตถาคตได้เห็นสัตว์อันความไม่สักการะครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เข้าถึงอบาย
ทุคติ วินิบาต นรก เราตถาคตได้เห็นสัตว์อันสักการะและความไม่สักการะ
ทั้งสองครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก.
สมาธิของบุคคลใดผู้อันบุคคลสัก-
การะอยู่ ผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท
ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะสักการะและความ
ไม่สักการะทั้งสอง พระอริยเจ้าทั้งหลาย
มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นกล่าว บุคคลมีปกติ
เพ่ง ผู้มีความเพียรเป็นไปติดต่อ ผู้เห็นแจ้ง
ด้วยทิฏฐิอันสุขุม มีความสิ้นอุปทานเป็นที่
มายินดีว่าเป็นสัปบุรุษ.

จบสักการสูตรที่ 2