เมนู

อรรถกถาอวุฏฐิกสูตร


ในอวุฏฐิกสูตรที่ 6 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อวุฏฺฐิกสโม ความว่า เช่นกับด้วยเมฆที่ไม่ทำฝนให้ตก.
เพราะเมฆบางกลุ่ม หนาตั้ง 100 ชั้น 1,000 ชั้น ตั้งขึ้น ร้องกระหึ่ม แลบ
แปลบปลาบ ไม่ให้ฝนแม้หยดเดียวตกลงมา แล้วผ่านเลยไป พระผู้มีพระภาค-
เจ้า เมื่อจะทรงแสดงว่า บุคคลบางจำพวกก็มีอุปมาเช่นนั้น จึงตรัสว่า
อวุฏฺฐิกสโม (บุคคลผู้เสมอด้วยฝนไม่ตก) ดังนี้. บทว่า ปเทสวสฺสี
ความว่า เช่นกับเมฆที่ทำฝนให้ตกบางท้องที่อธิบายว่า บุคคลชื่อว่า ปเทสวาสี
เพราะเป็นเหมือนกับเมฆที่ทำฝนให้ตกบางท้องที่ เมฆบางกลุ่ม เมื่อคนทั้ง
หลายยืนอยู่ในที่แห่งเดียวกันนั่นเอง ตกหยิม ๆ โดยที่คนบางพวกก็เปียก บาง
พวกก็ไม่เบียก พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงบุคคลบางพวก ผู้มีอุปมาอย่าง
นั้น ว่าเป็นเหมือนฝนตก เฉพาะบางท้องที่. บทว่า สพฺพตฺถาภิวสฺสี ความว่า
เสมอกับเมฆที่ให้ฝนตกทั่วไป ทุกแห่งหนคือ ในประเทศ คือแผ่นดินมีพื้น
ปฐพี ภูเขา และสมุทรเป็นต้น อธิบายว่า เมฆบางกลุ่ม กระจายไปทั่วสากล
จักรวาล ให้ฝนตกทั่วทุกหนทุกแห่งทีเทียว พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า
สพฺพตฺถาภิวสฺสี ดังนี้ โดยทรงเปรียบเทียบมหาเมฆที่ตั้งขึ้นใน 4 ทิศนั้น
กับบุคคลบางจำพวก. บทว่า สพฺเพสานํ เท่ากับ สพฺเพสํ. อีกอย่าง
หนึ่ง ปาฐะ (ในพระบาลี) ก็เป็นอย่างนี้แหละ บทว่า น ทาตา โหติ
ความว่า เป็นผู้มีปกติไม่ให้ทาน. อธิบายว่า ไม่ให้อะไรแก่ใคร ๆ เพราะเป็น
ผู้ตระหนี่เหนียวแน่น.

บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดง เขต และไทยธรรม โดยการจำแนกจึงตรัส
คำมีอาทิว่า สมณพฺราหฺมณา ดังนี้. ในคำว่า สมณพฺราหมณา นั้นพระ-
องค์ทรงประสงค์เอาทั้งสมณะที่ลอยบาปแล้ว ทั้งสมณะเพียงสักว่าบรรพชา
ทั้งพราหมณ์ผู้ลอยบาปแล้ว และพราหมณ์เพียงกำเนิดในที่นี้. คนตกยากคือ
คนเข็ญใจ ชื่อว่า กปณะ (คนกำพร้า) คนเดินทางที่สิ้นสะเบียง ชื่อว่า
อัทธิกา (คนเดินทาง) คนเหล่าใด เชิญชวนคนใน (การทำ) ทาน เที่ยวชม
เชยสรรเสริญทาน โดยนัยมีอาทิว่า ท่านทั้งหลาย จงมีจิตใจสูง มีจิตเลื่อมใส
บริจาคของที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หาโทษมิได้ ตามกาล ท่านทั้ง
หลาย จะไปสู่สุคติ จะไปสู่พรหมโลก คนเหล่านั้นชื่อว่า วณิพฺพกา (วณิพก).
คนเหล่าใดเที่ยวขอของเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเดียวว่า ขอท่านทั้งหลายจงให้
เพียงกำมือเดียว เพียงกอบเดียว เพียงขันเดียวเถิดดังนี้ คนเหล่านั้น ชื่อว่า
ยาจก (ผู้ขอ). บรรดาศัพท์เหล่านั้น ด้วยศัพท์ว่า สมณะและพราหมณ์ พระ
ผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงถึงขอบเขตของคุณความดี และขอบเขตของอุปการะ
ด้วยศัพท์ว่า สมณพราหมณะ ทรงแสดงถึงเขตแห่งกรุณา ด้วยศัพท์ว่า กปณะ
เป็นต้น.
บทว่า อนฺนํ ได้แก่ ของควรเคี้ยว และของควรบริโภคอย่างใด
อย่างหนึ่ง. บทว่า ปานํ ได้แก่ เครื่องดื่ม มีน้ำดื่มที่คั้นจากผลมะม่วงเป็นต้น.
บทว่า วตฺถํ ได้แก่เครื่องปกปิด มีผ้านุ่ง และผ้าห่มเป็นต้น. บทว่า ยานํ
ได้แก่ วัตถุที่ยังการเดินทางให้สำเร็จ มีรถและวอเป็นต้น โดยที่สุดจนถึงรองเท้า.
บทว่า มาลา ได้แก่ ดอกไม้ทุกชนิด แยกประเภทออกเป็นดอกไม้ที่ร้อยและ
ไม่ได้ร้อย. บทว่า คนฺธํ ได้แก่ คันชาติอย่างใดอย่างหนึ่ง และอุปกรณ์แห่ง
เครื่องหอม ทั้งที่บดแล้ว และยังไม่ได้บด. บทว่า วิเลปนํ ได้แก่ เครื่อง
ประเทืองผิว. บทว่า เสยฺยา ได้แก่เครื่องนอน มีเตียงและตั่งเป็นต้น และ

ผ้าปาวาร ผ้าโกเชาว์ เป็นต้น (ผ้ามีขนอ่อน และผ้าทำด้วยขนแกะ). ก็แม้
อาสนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาแล้ว ด้วยศัพท์ว่า เสยฺย ในคำว่า
เสยฺยาวสถํ นี้. บทว่า อาวสถํ ได้แก่ ที่อาศัย อันเป็นเครื่องบรรเทาอันตราย
มีลมและแดดเป็นต้น. บทว่า ปทีเปยฺยํ ได้แก่เครื่องอุปกรณ์แห่งแสงสว่าง
มีประทีปและตะเกียงเป็นต้น.
บทว่า เอวํ โข ภิกฺขเว ความว่า เมื่อไทยธรรมมีอยู่ บุคคลไม่
ให้ ของที่จะต้องให้อย่างนี้ แก่ปฏิคาหกทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง ย่อมเป็น
เช่นกับเมฆที่ไม่ให้ฝนตก. ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมฆ
หนา 100 ชั้น 1,000 ชั้น ตั้งขึ้นแล้ว ไม่โปรยอะไร ๆ ลงมาเลย จางหายไปฉันใด
คนใดรวบรวมสมบัติอันโอฬาร และไพบูลย์ อยู่ครอบครองเรือนก็ฉันนั้น
เหมือนกัน ไม่ให้ภิกษาแม้ทัพพีเดียว หรือข้าวยาคู เพียงกระบวยเดียวแก่ใคร ๆ
หลีกไปเสีย. หมดอำนาจ ย่อมไปสู่ปากแห่งมัจจุ คนผู้นั้นย่อมชื่อว่าเหมือน
เมฆ ที่ไม่ให้ฝนตกดังนี้. แม้ในบทที่เหลือ พึงทราบพระดำรัส ตรัสย้ำโดย
นัยนี้.
ก็ในบุคคล 3 จำพวกเหล่านี้ บุคคลพวกแรกพึงถูกตำหนิ โดยส่วน
เดียวเท่านั้น. คนพวกที่สอง น่าสรรเสริญ คนพวกที่สาม น่าสรรเสริญกว่า
(คนพวกที่สอง). อีกนัยหนึ่ง บุคุคลพวกแรก พึงทราบว่าเลวกว่าบุคคลทุก
ประเภท พวกที่ 2 พึงทราบว่า ปานกลาง พวกที่ 3 พึงทราบว่าสูงสุดดังนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาทั้งหลายดังต่อไปนี้. บทว่า สมเณ เป็น
พหูพจน์ โดยเป็นทุติยาวิภัตติ. แม้ในบทที่เหลือก็เช่นนั้น. บทว่า ลทฺธาน
แปลว่า ได้ (ปฏิคาหก) แล้วปรารถนา สมณะผู้เป็นทักขิไณยบุคคลแล้วถูก
ถามแล้ว ก็ไม่จัดแบ่งให้. บทว่า อนฺนปานญฺจ โภชนํ ความว่า ไม่จัด
แบ่งข้าวหรือน้ำ หรือโภชนะอันควรแก่การบริโภคอย่างอื่น ที่มีอยู่. ก็ในพระ

คาถานี้มีความสังเขปดังนี้ ก็ผู้ใด ได้สมณะผู้เป็นปฏิคาหก ผู้เข้าไปหาแล้ว
โดยที่ตนเองก็มีไทยธรรมอยู่ก็ไม่การทำ แม้เพียงการแจกแบ่งวัตถุมีข้าวเป็น
ต้น ผู้นั้นจักให้ทานอย่างอื่นได้อย่างไร ? บัณฑิตกล่าวคือ เรียกขานเขาผู้
ตระหนี่เหนียวแน่น เห็นปานนั้น เป็นบุรุษอาธรรม เป็นคนเลว ว่าเป็นผู้
เหมือนกับเมฆ ที่ไม่ให้ฝนตก ดังนี้.
บทว่า เอกจฺจานํ น ททาติ ความว่า แม้เมื่อของที่จะต้องให้มี
อยู่มากมาย ก็ไม่ยอมให้ แก่คนบางจำพวก ด้วยอำนาจแห่งความโกรธเคือง
ในคนเหล่านั้น หรือด้วยอำนาจแห่งความโลภในไทยธรรม. บทว่า เอกจฺจานํ
ปเวจฺฉติ
ความว่า แต่ให้แก่บุคคลบางจำพวกเท่านั้น. บทว่า เมธาวิโน
ได้แก่ คนที่มีปัญญา คือเป็นบัณฑิต.
บทว่า สุภิกฺขวาโจ ความว่า ผู้ใดสั่งให้เขาให้ของนั้น ๆ แก่ยาจก
ทั้งหลายผู้เข้าไปหาแล้ว โดยนัยมีอาทิว่า ท่านทั้งหลาย จงให้ข้าว ท่านทั้งหลาย
จงให้น้ำ ผู้นั้น ชื่อว่า สุภิกฺขวาโจ เพราะวิเคราะห์ว่า ผู้มีการออกปากของ่าย
เหตุมีการขอที่หาได้โดยง่าย. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า สุภิกฺขวสฺสี ดังนี้ ก็มี.
ชาวโลก มีภิกษาหาได้โดยง่ายฉันใด มหาเมฆที่ยังฝนให้ตกชุก ทุกหนแห่ง
ย่อมชื่อว่าโปรยลงมา (ให้ภิกษา) หาง่ายฉันนั้น. แม้บุคคลนี้ก็ฉันนั้น เป็นผู้
ยังฝนให้ตกลงในที่ทุกหนแห่ง ด้วยมหาทาน (ช่วยให้) หาภิกษาได้โดยง่าย.
บทว่า อาโมทมาโน ปกิเรติ ความว่า บุคคลผู้มีมนัสอันยินดีและร่าเริงแล้ว
ให้ทานด้วยมือของตน ย่อมเป็นเสมือนหว่านไทยธรรมลงในนาคือปฏิคคาหก
แม้วาจาก็พร่ำพูดอยู่ว่า ท่านทั้งหลายจงให้ทานเถิด ทานทั้งหลายจงให้ทาน
เถิด ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงภาวะที่เมฆให้ฝนตกทำให้ภิกษา
หาได้ง่าย จึงตรัสคำมีอาทิว่า ยถาปิ เมโฆ ดังนี้.

แม้ในพระคาถานั้น มีความสังเขปดังต่อไปนี้ ฟ้า (มหาเมฆ) ร้อง
ด้วยเสียงเบา ๆ ก่อน แล้วจึงร้องกึกก้องไปทั่วทุกห้วงน้ำและลำธารอีก แล้ว
โปรยฝนลงมา ไหลไปให้ที่ลุ่มและที่ดอนทั่วทุกหนแห่ง เต็มเจิ่งไปด้วยอุทกวารี
ทำให้เป็นห้วงน้ำห้วงเดียวกัน ฉันใด บุคคลที่ใจกว้างบางคนในที่นี้คือใน
โลกนี้ ก็ฉันนั้น เพราะเป็นผู้มีใจเสมอในคนทั่วไป เหมือนมหาเมฆนั้น
เพราะต้องให้ฝนตกลงมา เป็นผู้ไม่เกียจคร้าน โดยที่ทรัพย์เป็นของได้มาด้วย
ความหมั่น คือเกิดขึ้นด้วยความขยันหมั่นเพียรของตน รวบรวมทรัพย์นั้นไว้
โดยธรรม คือโดยชอบ ยังวณิพกทั้งหลายผู้ถึงแล้ว คือมาถึงแล้ว ให้อิ่มคือ
ให้อิ่มหนำสำราญ โดยชอบ คือ พอเหมาะแก่กาลเทศะ และเหมาะสมแก่
ความต้องการ โดยชอบทีเดียว ด้วยข้าว น้ำ และไทยธรรมอย่างอื่น ที่เกิด
จากทรัพย์ที่รวบรวมไว้นั้น ดังนี้.
จบอรรถกถาอวุฏฐิกสูตรที่ 6

7. สุขสูตร


ว่าด้วยผู้ปรารถนาสุข 3 ประการพึงรักษาศีล


[254] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระ-
สูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตปรารถนาสุข 3 ประการนี้
พึงรักษาศีล 3 ประการเป็นไฉน ? คือ บัณฑิตปรารถนาอยู่ว่า ขอความ
สรรเสริญจงมาถึงแก่เรา 1 ขอโภคสมบัติจงเกิดขึ้นแก่เรา 1 เมื่อตายไป เรา
จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ 1 พึงรักษาศีล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตปรารถนา
สุข 3 ประการนี้แล พึงรักษาศีล.