เมนู

ในธรรม ผู้ถึงฝั่งแห่งเวท คือ สัจจะ 4
ย่อมไม่เข้าถึงการนับว่าเป็นมนุษย์และ
เทวดา.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบอัทธาสูตรที่ 4

อรรถกถาอัทธาสูตร


ในอัทธาสูตรที่ 4 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
กาล (เวลา) ชื่อว่า อัทธา. ในคำว่า อตีโต อทฺธา เป็นต้น
มีบรรยายไว้ 2 อย่าง คือบรรยายตามพระสูตร 1 บรรยายตามพระอภิธรรม 1.
ในบรรยาย 2 อย่างนั้น โดยการบรรยายตามพระสูตร เวลาก่อนแต่ปฏิสนธิกาล
ชื่อว่า อดีตอัทธา. เวลาหลังจากจุติ ชื่อว่า อนาคตอัทธา. เวลาในระหว่าง
แห่งปฏิสนธิกับจุติ รวมทั้งจุติและปฏิสนธิ ชื่อว่า ปัจจุบันนัทธา. โดยการ
บรรยายตามพระอภิธรรม เวลาที่ดับไปแล้วตามธรรมดา เพราะผ่านขณะทั้ง 3
เหล่านี้ คือ อุปปาทักขณะ ฐิติขณะ ภังคขณะไป ชื่อว่า อตีตอัทธา.
เวลาที่ยังไม่ถึงขณะแม้ทั้ง 3 ชื่อว่า อนาคตอัทธา. เวลาที่พรั่งพร้อมไปด้วย
ขณะทั้ง 3 ชื่อว่า ปัจจุบันนัทธา.
อีกนัยหนึ่ง ก็การจำแนกกาล มีอดีตเป็นต้นนี้ พึงทราบว่า มี 4 อย่าง
ด้วยสามารถแห่งอัทธา 1 สันตติ 1 สมัย 1 ขณะ 1. บรรดา 4 อย่าง
นั้น การจำแนกโดยอัทธาได้กล่าวมาแล้ว ด้วยอำนาจแห่งสันตติ รูป

ทั้งหลายนี้เหมือนกัน มีฤดูเดียวกันเป็นสมุฏฐาน และมีอาหารอย่างเดียวกัน
เป็นสมุฏฐาน แม้กำลังเป็นไป ด้วยสามารถแห่งเบื้องต้นและเบื้องปลายเป็น
ปัจจุบัน รูปทั้งหลายที่มีฤดูและอาหาร ไม่เหมือนกัน เป็นสมุฏฐาน ก่อนแต่นั้น
เป็นอดีต หลังจากนั้น เป็นอนาคต. รูปทั้งหลายที่เกิดจากจิต อันมีวิถีเดียวกัน
และมีสมาบัติเดียวกันเป็นสมุฏฐาน เป็นปัจจุบัน. ก่อนแต่นั้นเป็นอดีต หลัง
จากนั้นเป็นอนาคต สำหรับรูปทั้งหลายที่มีกรรมเป็นสมุฏฐาน เฉพาะอย่าง
ด้วยสามารถแห่งสันตติ. แต่พึงทราบว่า รูปเฉพาะอย่างนั้น เป็นอดีตเป็นต้น
ด้วยสามารถเป็นผู้อุปถัมภ์ รูปเหล่านั้นนั่นแหละ ที่มีฤดู อาหาร และจิต
เป็นสมุฏฐาน (แต่) ด้วยอำนาจแห่งสมัย รูปทั้งหลายที่กำลังเป็นไปอยู่ ด้วย
สามารถแห่งการสืบต่อ ในสมัย (ต่าง ๆ กัน) เช่น ครู่เดียว เช้าเดียว เย็นเดียว
คืนเดียว วันเดียวเป็นต้น ชื่อว่าเป็นปัจจุบัน ในสมัยนั้น ๆ. ก่อนหน้านั้น
เป็นอดีต หลังจากนั้นเป็นอนาคต นี้เป็นนัยในรูปธรรมก่อน.
ส่วนในอรูปธรรมทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งขณะ ธรรมทั้งหลายที่นับ
เนื่องในขณะทั้ง 3 มีอุปปาทักขณะเป็นต้น เป็นปัจจุบัน ก่อนแต่นั้นเป็นอดีต
หลังจากนั้นเป็นอนาคต. อีกอย่างหนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่ทำหน้าที่เป็นเหตุ เป็น
ปัจจัยผ่านไปแล้วเป็นอดีต ธรรมทั้งหลายที่ทำหน้าที่เป็นเหตุเสร็จแล้ว แต่ทำ
หน้าที่เป็นปัจจัยยังไม่สำเร็จ เป็นปัจจุบัน ธรรมทั้งหลายที่ยังไม่ถึงพร้อมด้วยกิจ
(ยังไม่ทำหน้าที่) ทั้ง 2 อย่าง เป็นอนาคต. อีกอย่างหนึ่ง ในขณะแห่งกิจของตน
ธรรมทั้งหลายเป็นปัจจุบัน ก่อนแต่นั้นเป็นอดีต หลังจากนั้นเป็นอนาคต บรรดา
สภาวะทั้ง 4 มีอัทธาเป็นต้น การกล่าวถึงขณะเท่านั้น เป็นการบรรยายโดยตรง
ที่เหลือเป็นการบรรยายโดยอ้อม ด้วยว่า ขึ้นชื่อว่าความต่างกันแห่งกาลมีอดีต
เป็นต้นนี้ มีสำหรับธรรมทั้งหลาย ไม่มีสำหรับกาล แต่ว่ากาล โดยปรมัตถ์
ถึงจะไม่มี เพราะหมายเอาธรรมที่มีอดีตเป็นต้นเป็นประเภท แต่ในที่นี้ก็
พึงทราบว่า พระองค์ตรัสไว้ โดยคำมีอาทิว่า อตีโต โดยโวหารนั่นเอง.

พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า อกฺเขยฺยสญฺญิโน นี้ดังต่อไปนี้ คำพูด
ชื่อว่า อักเขยยะ เพราะอันเขาพูด คือกล่าว ได้แก่ให้ผู้อื่นรู้ (บัญญัติ) คือ
กถาวัตถุ โดยเนื้อความได้แก่เบญจขันธ์มีรูปเป็นต้น . สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
บุคคลพึงกล่าวกถา ปรารภอดีตอัทธาบ้าง กล่าวปรารภอนาคตอัทธาบ้าง
กล่าวปรารภปัจจุบันอัทธาบ้าง ดังนี้. อนึ่ง ในข้อนี้พึงแสดงเนื้อความแม้ด้วย
สูตรที่กล่าวถึงคลองแห่งนิรุกติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย รูปใดที่เป็นอดีต ได้ดับไปแล้ว ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว มีการกล่าว
ถึงรูปนั้นว่าได้มีแล้ว มีการร้องเรียกรูปนั้นว่าได้มีแล้ว มีการบัญญัติรูปนั้นว่า
ได้มีแล้ว ไม่ใช่มีการกล่าวรูปนั้นว่า จักมี ไม่ใช่มีการกล่าวรูปนั้นว่า กำลังมี
ดังนี้.
ผู้มีความสำคัญหมายในเรื่องที่จะต้องกล่าวถึง ด้วยสามารถแห่งความ
สำคัญ หมายในขันธบัญจก กล่าวถึงเรื่องที่จะต้องกล่าวถึงโดยความเป็นกถาวัตถุ
ที่เป็นไปแล้วโดยนัยมีอาทิว่า เรา ของเรา เทวดา มนุษย์ หญิง และชาย
ด้วยประการดังกล่าวแล้ว อธิบายว่า เป็นผู้มีความสำคัญในอุปาทานขันธ์ทั้ง 5
ว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคลเป็นต้น. สัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่แล้ว ในสิ่งที่จะต้องพูดถึง
ด้วยสามารถแห่งการยึดถือ ด้วยตัณหาและทิฏฐิ. อีกอย่างหนึ่ง ตั้งอยู่แล้วโดย
อาการ 8 ด้วยสามารถแห่งราคะเป็นต้น อธิบายว่า ผู้กำหนัดแล้ว เป็นผู้ดำรง
อยู่แล้วด้วยสามารถแห่งราคะ ผู้อันโทสะประทุษร้ายแล้ว เป็นผู้ดำรงอยู่แล้ว
ด้วยสามารถแห่งโทสะ ผู้หลงแล้ว เป็นผู้ดำรงอยู่แล้วด้วยสามารถแห่งโมหะ
ผู้ถูกทิฏฐิจับต้องแล้ว เป็นผู้ดำรงอยู่แล้วด้วยสามารถแห่งทิฏฐิ ผู้มีกิเลสแรงกล้า
เป็นผู้ดำรงอยู่แล้ว ด้วยสามารถแห่งอนุสัย ผู้ที่ถูกกิเลสรัดรึงไว้ เป็นผู้ดำรง
อยู่แล้วด้วยสามารถแห่งมานะ ผู้ที่ยังตกลงใจไม่ได้ เป็นผู้ดำรงอยู่แล้วด้วย
สามารถแห่งวิจิกิจฉา ผู้ที่มีความฟุ้งซ่าน เป็นผู้ดำรงอยู่แล้ว ด้วยอำนาจ

อุทธัจจะดังนี้. บทว่า อกฺเขยฺยํ อปริญฺญาย ความว่า เพราะไม่รู้สิ่งที่จะ
ต้องพูดถึงนั้น ในธรรมอันเป็นไปในภูมิ 3 ด้วยปริญญาทั้ง 3 ได้แก่เหตุที่ไม่รู้
สิ่งนั้น. บทว่า โยคมายนฺติ มจฺจุโน ความว่า เข้าถึงเครื่องประกอบ
(ข่าย) ของมรณะ คือ เครื่องผูก (สัตว์) ไว้กับด้วยมรณะนั้น อธิบายว่า
ไม่พรากจากกัน. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า โยคะ ได้แก่อุบาย ท่านอธิบายไว้ว่า
สัตว์ทั้งหลาย ย่อมเข้าถึงข่ายคือความพินาศ และข่ายคือกิเลสอันเป็นที่ตั้งแห่ง
มาร และเสนามาร ที่ดักไว้ ขึงไว้ ด้วยอุบายนั้น. สมจริงดังคำที่ตรัสไว้ว่า
เพราะความผัดเพี้ยน ด้วยพญามัจ-
จุราช ผู้มีเสนานา ย่อมไม่มีเสีย ดังนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงวัฏฏะ ด้วยพระพุทธพจน์มีประมาณ-
เท่านี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงวิวัฏฏะ. จึงตรัสคำมีอาทิว่า อกฺเขยฺยญฺจ
ปริญฺญาย
ไว้.
ศัพท์ ในบทคาถาว่า อกฺเขยฺยญจ ปริญฺญาย นั้น ลงในอรรถว่า
พฺยติเรก (แปลกออกไป). พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังคุณพิเศษ ที่พึงได้ด้วย
การกำหนดรู้สิ่งที่กล่าว คือ ที่กำลังตรัสถึงอยู่นั่นแหละ ให้แจ่มแจ้ง ด้วย
ศัพท์นั้น. ทว่า ปริญฺญาย ความว่า เพราะกำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์ด้วยมัคค-
ปัญญา ที่ประกอบด้วยวิปัสสนา คือเพราะก้าวล่วงทุกข์นั้นด้วยการละกิเลสที่
เนื่องด้วยทุกข์นั้น หรือเพราะยังกิจแห่งปริญญาแม้ทั้ง 3 ให้ถึงที่สุด. บทว่า
อกฺขาตารํ น มญฺญติ ความว่า พระขีณาสพชื่อว่าไม่สำคัญหมาย (ว่ามี)
ผู้บงการ เพราะละความสำคัญหมายได้โดยประการทั้งปวง อธิบายว่า ไม่เชื่อ
อะไร ๆ ที่เป็นสภาวะมีผู้สร้างเป็นต้น (ว่า) เป็นอัตตา. บทว่า ผุฏฺโฐ วิโมกฺโข
มนสา สนฺติปทมนุตฺตรํ
ความว่า เพราะเหตุที่พระขีณาสพถูกแล้ว คือ ต้อง
แล้ว ได้แก่ถึงธรรม คือพระนิพพาน ที่ได้นามว่า วิโมกข์ เพราะพ้นจากสังขต-

ธรรมทุกอย่าง (และ) ได้นามว่า สันติบท เพราะเป็นที่ตั้งแห่งความสงบระงับ
ความเร่าร้อน อันเกิดแต่กิเลสทั้งมวล ฉะนั้นท่านจึงไม่สำคัญหมายว่ามีผู้บงการ.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสการบรรลุทุกขสัจด้วยปริญ-
ญากิจ และบรรลุสมุทยสัจด้วยปหานกิจแล้ว บัดนี้ จึงตรัสการบรรลุมรรค
ด้วยภาวนากิจ และนิโรธ ด้วยสัจฉิกิริยากิจ ด้วยคำนี้ว่า ผุฏฺโฐ วิโมกฺโข
มนสา สนฺติปทมนุตฺตรํ
(ท่านถูกต้องวิโมกข์ด้วยใจ ท่านถูกต้องสันติบท
อันเยี่ยม) คำนั้นมีอธิบายว่า อริยมรรคชื่อว่าวิโมกข์ เพราะพ้นจากกิเลสทั้งมวล
ด้วยสามารถแห่งการตัดขาด (สมุจเฉทปหาน) ก็โมกข์นั้น ท่านถูกต้องแล้ว
คือสัมผัสแล้ว ได้แก่เจริญแล้วด้วยมรรคกิจ ด้วยเหตุนั้นเอง พระนิพพาน
ที่เป็นสันติบท อันยอดเยี่ยม เป็นอันท่านถูกต้องแล้ว คือสัมผัสแล้ว ได้แก่
ทำให้แจ้งแล้ว. บทว่า อากงฺเขยฺยสมฺปนฺโน ความว่า ผู้หลุดพ้นดีแล้ว
จากอักเขยยนิมิตนั้น เพราะละวิปัลลาสในโลกที่ถูกวิบัติชนิดต่าง ๆ กำจัดแล้ว
เสียได้ ชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมแล้ว ซึ่งอักเขยยนิมิต คือประกอบแล้วด้วยสมบัติ
ทั้งหลาย ที่เกิดแล้วจากการกำหนดรู้ สิ่งที่จะต้องกล่าวถึง. บทว่า สงฺขาย เสวี
ความว่า เป็นผู้มีปกติพิจารณา คือ ใคร่ครวญ แล้วจึงเสพปัจจัยมีจีวรเป็นต้น
เพราะถึงความไพบูลย์แห่งปัญญา. อนึ่งเป็นผู้มีปกติพิจารณาอารมณ์แม้ทุกอย่าง
ที่มาสู่คลอง ส้องเสพอยู่ ด้วยสามารถแห่งฉฬังคุเบกขา เพราะเป็นผู้มีธรรม
อันนับได้แล้ว. บทว่า ธมฺมฏฺโฐ ความว่า เป็นผู้ดำรงอยู่แล้ว ในอเสก-
ขธรรม หรือนิพพานธรรมนั่นเอง. บทว่า เวทคู ความว่า ผู้ถึงเวท (จบ
ไตรเพท) เพราะถึงฝั่งแห่งอริยสัจ 4 ที่จะพึงรู้. ผู้มีคุณอย่างนี้ เป็นพระอรหันต์
ย่อมไม่ชื่อว่าเข้าถึงการนับว่าเป็นมนุษย์ หรือเทวดา เพราะไม่มีภพใหม่ใน

บรรดาภพทั้งหลาย ภพไหนๆ อีกต่อไป คือถึงความเป็นผู้หาบัญญัติไม่ได้เลย.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจบเทศนาลง ด้วยอนุปาทาปรินิพพาน ด้วยประการ
ดังพรรณนามานี้.
จบอรรถกถาอัทธาสูตรที่ 4

5. ทุจริตสูตร


ว่าด้วยทุจริต 3 อย่าง


[242] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้
สดับมาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุจริต 3 อย่างนี้ 3 อย่างเป็นไฉน ?
คือ กายทุจริต 1 วจีทุจริต 1 มโนทุจริต 1 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุจริต
3 อย่างนี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสกาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
บุคคลผู้มีปัญญาทราม กระทำกาย-
ทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต และกระทำ
อกุศลกรรมอย่างอื่นอันประกอบด้วยโทษ
ไม่กระทำกุศลกรรม กระทำอกุศลกรรม
เป็นอันมาก เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงนรก.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบทุจริตสูตรที่ 5