เมนู

ย่อมหลุดพ้นในเวทนานั้น ภิกษุนั้นแลอยู่
จบอภิญญา ระงับแล้ว ก้าวล่วงโยคะ
ได้แล้ว ชื่อว่าเป็นมุนี.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนั้นแล.
จบทุติยเวทนาสูตรที่ 4

อรรถกถาทาติเวทนาสูตร


ในทุติยเวทนาสูตรที่ 4 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ทุกฺขโต ทฏฺฐพฺพา ความว่า สุขเวทนาพึงเห็นด้วยญาณ-
จักษุว่าเป็นทุกข์ ด้วยอำนาจแห่งวิปริณามทุกข์. บทว่า สลฺลโต ทฏฺฐพฺพา
ความว่า ทุกขเวทนาพึงเห็นว่าเป็นเหมือนลูกศร เพราะความเป็นทุกขทุกข์
(เป็นทุกข์เพราะทนอยู่ไม่ได้) โดยหมายความว่า นำออกไปได้ยาก คือโดย
ความหมายว่า รบกวนได้แก่ มีความหมายว่า บีบคั้นในภายใน. บทว่า
อนิจฺจโต ความว่า อทุกขมสุขเวทนา พึงเห็นว่าไม่เที่ยง เพราะมีแล้วกลับ
ไม่มี เพราะมีการเกิดขึ้นแล้วเสื่อมไปในที่สุด เพราะเป็นของชั่วคราว และ
เพราะเป็นของขัดแย้งกับความเที่ยง.
ก็ในเรื่องเวทนานี้ ถึงเวทนาทั้งหมด ต้องเห็นโดยความเป็นของ
ไม่เที่ยงก็จริง แต่เพราะพระศาสดา เมื่อจะทรงแสดงเนื้อความนี้ว่า การเห็น
ทุกข์เป็นเครื่องหมายแห่งวิราคะ เป็นความยินดียิ่งกว่าการเห็นความไม่เที่ยง
จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สุขเวทนาพึงเห็นโดยความเป็นทุกข์ ทุกข-

เวทนาพึงเห็นโดยความเป็นเหมือนลูกศร. อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสคำนี้ไว้อย่างนั้น เพื่อจะให้เกิดความเบื่อหน่ายในสังขารทั้งหลาย ที่ปุถุชน
ยึดมั่นว่าเป็นสุข. ด้วยคำว่า ทุกฺขโต นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึง
ความที่สุขเวทนานั้นว่าเป็นทุกข์ เพราะเป็นทุกข์ประจำสังขาร. เพราะเหตุที่
ความสุขเป็นวิปริณามทุกข์ โดยพระบาลีว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สุขเวทนาต้องเห็น
โดยความเป็นทุกข์ ดังนี้แล้ว เพราะเหตุที่ทุกขเวทนาเป็นทุกขทุกขะ (ทุกข์
เพราะทนอยู่ไม่ได้) สำหรับชนทั้งหลายผู้คิดอยู่ว่า แม้ความสุขยังเป็นถึงเช่นนี้
ความทุกข์จะถึงขนาดไหนเล่า ? ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า ทุกขเวทนาต้องเห็นโดย
เป็นเหมือนลูกศร. แต่เมื่อจะทรงแสดงว่า เวทนานอกนี้เป็นทุกข์ เพราะเป็น
สังขารทุกข์นั่นเอง จึงได้ตรัสว่า อทุกขมสุขเวทนาต้องเห็นโดยความเป็นของ
ไม่เที่ยง ดังนี้.
อนึ่ง บรรดาคำเหล่านั้น ด้วยคำนี้ว่า สุขเวทนาต้องเห็นโดยความ
เป็นทุกข์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงอุบาย สำหรับถอนราคะ เพราะว่า
ราคานุสัยนอนเนื่องอยู่ (ในสันดาน) เพราะสุขเวทนา. ด้วยคำนี้ว่า ทุกขเวทนา
ต้องเห็นโดยเป็นเหมือนลูกศร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอุบายสำหรับ
ถอนโทสะ เพราะปฏิฆานุสัยนอนเนื่องอยู่ (ในสันดาน) เพราะทุกขเวทนา.
ด้วยคำนี้ว่า อทุกขมสุขเวทนาต้องเห็นโดยความไม่เที่ยง พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงอุบายสำหรับถอนราคะ โทสะ โมหะ เพราะอวิชชานุสัยนอนเนื่อง
อยู่ (ในสันดาน) เพราะอทุกขมสุขเวทนา.
ทำนองเดียวกันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงการละสังกิเลสคือ
ตัณหาด้วยพุทธพจน์ข้อแรก เพราะสังกิเลสคือตัณหานั้น เป็นเหตุให้พอใจ
ในสุข. ทรงแสดงการละสังกิเลสคือทุจริต ด้วยพระพุทธพจน์ข้อที่ 2 เพราะ

ว่าสัตว์ทั้งหลายไม่รู้จักทุกข์ตามความเป็นจริง จึงประพฤติทุจริต เพื่อแก้ทุกข์
นั้น. ทรงแสดงการละสังกิเลสคือทิฏฐิ ด้วยพระพุทธพจน์ข้อที่ 3 เพราะผู้ที่
เห็น อทุกขมสุข โดยความไม่เที่ยงอยู่ จะไม่มีสังกิเลสคือทิฏฐิ. อนึ่ง ทรงแสดง
อทุกขมสุขเวทนา ว่าเป็นเครื่องหมายแห่งอวิชชา เพราะความที่สังกิเลสคือ
ทิฏฐิ เป็นเครื่องหมายแห่งอวิชชา อีกอย่างหนึ่ง ด้วยพระพุทธพจน์ข้อแรก
ทรงแสดงถึงการกำหนดรู้วิปริณามทุกข์. ด้วยข้อที่ 2 ทรงแสดงถึงการกำหนดรู้
ด้วยทุกขทุกขะ. ด้วยข้อที่ 3 ทรงแสดงถึงการกำหนดรู้สังขารทุกข์. อีกอย่างหนึ่ง
ด้วยพุทธพจน์ข้อแรก ทรงแสดงถึงการกำหนดรู้อิฏฐารมณ์. ด้วยพระพุทธพจน์
ข้อที่ 2 ทรงแสดงถึงการกำหนดรู้อนิฏฐารมณ์. ด้วยพระพุทธพจน์ข้อที่ 3 ทรง
แสดงถึงการกำหนดรู้ด้วยมัชฌัตตารมณ์ เพราะเมื่อคลายกำหนัดธรรมารมณ์
เหล่านั้นแล้ว แม้อารมณ์ทั้งหลาย ก็เป็นอันคลายกำหนัดไปด้วย พึงทราบดัง
พรรณนามานี้.
อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบว่า การหลุดพ้นโดยไม่มีที่ตั้ง ด้วยทุกขา-
นุปัสสนา เป็นอันทรงแสดงแล้ว ด้วยการกำหนดการละราคะเป็นข้อแรก. การ
หลุดพ้นโดยไม่มีนิมิต ด้วยอนิจจานุปัสสนาเป็นอันทรงแสดงแล้ว ด้วยการ
กำหนดการละโทสะ เป็นข้อที่ 2. การหลุดพ้นโดยเป็นของว่างเปล่า ด้วย
อนัตตานุปัสสนา เป็นอันทรงแสดงแล้ว ด้วยการกำหนดการละโมหะเป็น
ข้อที่ 3.
บทว่า ยโต เท่ากับ ยทา หรือ ยสฺมา (แปลว่า เมื่อใดหรือ
เพราะเหตุใด). บทว่า อริโย ความว่า เป็นผู้อยู่ไกลจากกิเลสทั้งหลาย คือ
เป็นผู้บริสุทธิ์. บทว่า สมฺมทฺทโส ความว่า มีปกติเห็นเวทนาทั้งหมด หรือ
สัจจะทั้ง 4 ไม่ผิดพลาดไป. บทว่า อจฺเฉจฺฉิ ตณฺหํ ความว่า ตัดตัณหา
อันมีเวทนาเป็นราก ด้วยมรรคเบื้องปลาย ได้แก่ตัดขาดโดยไม่เหลือ. บทว่า

วิวตฺตยิ สํโยชนํ ความว่า หมุนสังโยชน์ 10 อย่างไปได้โดยรอบ คือทำให้
ไม่มีราคะ. บทว่า สมฺมา ได้แก่โดยเหตุ คือโดยการณ์. บทว่า มานาภิสมยา
ความว่า เพราะตรัสรู้ด้วยการเห็น หรือเพราะตรัสรู้ด้วยการละซึ่งมานะ.
อธิบายว่า อรหัตมรรคเห็นมานะ ด้วยอำนาจแห่งกิจ นี้เป็นการบรรลุ
ด้วยการเห็นซึ่งมานะนั้น. ก็มานะที่อริยมรรคเห็นแล้วนั้น อันอริยมรรคนั้น
ย่อมละได้ในทันใดนั้นเอง เหมือนชีวิตของสัตว์ที่ถูกกัดแล้ว ย่อมละได้ด้วยพิษ
ที่กัดแล้ว นี้เป็นการบรรลุด้วยการละซึ่งมานะนั้น. บทว่า อนฺตมกาสิ
ทุกฺขสฺส
ความว่า พระอริยสาวกได้ทำที่สุดกล่าวคือเงื่อน ได้แก่สุดสาย
ปลายทาง แห่งวัฏทุกข์ทั้งหมด. มีอธิบายว่า ได้การทำทุกข์ให้เหลือไว้เพียง
ร่างกายในชาติสุดท้าย.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาทั้งหลาย ดังต่อไปนี้ บทว่า โย ได้แก่
พระอริยสาวกใด. บทว่า อทฺทา แปลว่า ได้เห็นแล้ว. อธิบายว่า เห็น
สุขเวทนาโดยเป็นทุกข์. แท้จริง สุขเวทนาเป็นเสมือนโภชนะที่เจือด้วยยาพิษ
ในเวลาบริโภคจะให้ความอร่อย ในเวลาเปลี่ยนแปลงไป ย่อมเป็นทุกข์อย่าง
เดียว. บทว่า ทุกฺขมทกฺขิ สลฺลโต ความว่า ทุกขเวทนาเมื่อเกิดขึ้นก็ดี
ถึงฐิติขณะ (ดำรงด์อยู่) ก็ดี แตกดับไปก็ดี ย่อมเบียดเบียนทั้งนั้น เหมือน
ลูกศรกำลังเสียบเข้าสรีระก็ดี หยุดอยู่ก็ดี กำลังถอนออกก็ดี ย่อมให้เกิดความ
เจ็บปวดทั้งนั้น เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เห็นทุกข์นั้น
โดยเป็นลูกศร. บทว่า อทกฺขิ นํ อนิจฺจโต ความว่า เห็นอทุกขมสุข-
เวทนานั้น แม้ที่เกิดขึ้นละเอียดกว่า เพราะเป็นภาวะที่ละเอียดกว่าสุขและทุกข์
โดยความไม่เที่ยง เพราะมีความไม่เที่ยงเป็นที่สุด. บทว่า สเว สมฺมทฺทโส
ความว่า พระอริยสาวกนั้นเอง มีปกติเห็นเวทนาทั้ง 3 โดยเป็นทุกข์เป็นต้น

โดยถูกต้องถ่องแท้. บทว่า ยโต ก็เท่ากับ ยสฺมา (แปลว่า เพราะเหตุใด).
บทว่า ตตฺถ แปลว่า ในเวทนา. บทว่า วิมุจฺจติ ความว่า ย่อมพ้น
ด้วยสามารถแห่งสมุจเฉทวิมุตติ. มีคำอธิบายดังนี้ เพราะเหตุที่ท่านเห็นสุข
เป็นต้น โดยความเป็นทุกข์เป็นต้น ฉะนั้น ท่านจึงหลุดพ้นในเวทนานั้น
ด้วยสามารถแห่งการตัดขาด เพราะละฉันทราคะ ที่เนื่องด้วยเวทนานั้น. ด้วยว่า
เมื่อกล่าวถึง ยํ ศัพท์ ก็ควรนำเอา ตํ ศัพท์มากล่าวไว้ด้วย.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ยโต ความว่า สำรวมแล้ว คือมีตนอันระวัง
แล้ว ด้วยกาย วาจา และใจ อีกอย่างหนึ่ง พระอริยสาวกชื่อว่า ยโต เพราะ
พยายาม คือเริ่มตั้งความเพียร อธิบายว่า สืบต่อกัน ไป. บทว่า อภิญฺญา-
โวสิโต
ความว่า เสร็จสิ้นแล้ว คือทำกิจเสร็จแล้ว ด้วยอภิญญา 6 เพราะ
เจริญกรรมฐาน มีสัจจะ 4 เป็นอารมณ์ โดยมีเวทนาเป็นหลัก. บทว่า สนฺโต
ได้แก่ผู้สงบแล้ว ด้วยการสงบกิเลสมีราคะเป็นต้น. บทว่า โยคาติโค ความว่า
พระโยคาวจร ผู้ก้าวล่วงโยคะทั้ง 4 อย่าง มีกามโยคะเป็นต้น ชื่อว่า มุนี
เพราะรู้ประโยชน์เกื้อกูลทั้งสองอย่าง.
จบอรรถกถาทุติยเวทนาสูตรที่ 4

4. ปฐมเอสนาสูตร


ว่าด้วยการแสวงหา 3 ประการ


[232] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การแสวงหา 3 ประการนี้ 3 ประการ