เมนู

อรรถกถาธาตุสูตร


ในธาตุสูตรที่ 2 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ธาตุโย ความว่า ชื่อว่าธาตุ เพราะหมายความว่า ทรงไว้
ซึ่งผล และสภาวะของตน. เพราะว่า บรรดาผล และสภาวะ ทั้ง 2 อย่างนี้
สิ่งที่ให้เกิดผล ชื่อว่า ธาตุ เพราะหมายความว่า ทรงไว้ซึ่งผลของตน และ
สภาวะของตน นอกจากนี้ ชื่อว่า ธาตุ เพราะหมายความว่า ทรงไว้เฉพาะ
สภาวะอย่างเดียว. รูปภพ ชื่อว่า รูปธาตุ ที่มาของธาตุ พึงกำหนดด้วยภพ
ที่มาของภพ พึงกำหนดด้วยธาตุ ดังนั้น ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส
การกำหนดด้วยภพ. เพราะฉะนั้น รูปธาตุ คือรูปาวจรธรรมที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ว่า รูปาวจรธรรม คืออะไร ? คือ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ
ที่ท่องเที่ยวไปในภพนี้ คือนับเนื่องในภพนี้ โดยเบื้องต่ำ กำหนดเอาเทวโลก
เป็นที่สุด เบื้องบนกำหนดเทพ (พรหม) ชั้นอกนิฏฐา ไว้ในภายในธรรม
เหล่านี้ ชื่อว่ารูปาวจร.
อรูปภพ ชื่อว่า อรูปธาตุ ถึงในพระสูตรนี้ ก็ตรัสถึงการกำหนด
ด้วยภพ. ดังนั้น อรูปธาตุ คือ อรูปาวจรธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้อย่างนี้ว่า อรูปาวจรธรรม คืออะไร ? คือ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ
ที่ท่องเที่ยวไปในภพนี้ คือนับเนื่องในภพนี้โดยเบื้องต่ำกำหนดด้วยเทพ (พรหม)
ผู้เกิดในชั้นอากาสานัญจายตนะไว้ในภายใน เบื้องบนกำหนดด้วยเทพ (พรหม)
ที่เกิดในชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ ธรรมเหล่านี้ชื่อว่า อรูปาวจรธรรม.
พระนิพพาน พึงทราบว่า ชื่อว่า นิโรธธาตุ.

อีกนัยหนึ่ง ความเป็นไปแห่งธรรมที่ประกอบด้วยรูป คือเนื่องด้วยรูป
ชื่อว่า รูปธาตุ ได้แก่ ปัญจโวการภพ และเอกโวการภพ. กามภพและ
รูปภพทั้งสิ้น สงเคราะห์เข้ากับปัญจโวการภพและเอกโวการภพนั้น ความ
เป็นไปแห่งธรรม ที่เว้นจากรูป ชื่อว่า อรูปธาตุ ได้แก่ จตุโวการภพ.
อรูปภพ สงเคราะห์เข้ากับอรูปธาตุนั้น ดังนั้น ด้วยบททั้งสอง จึงเป็นอัน
ทรงแสดงถึงภพ 3 อันเป็นไปในสังสารทั้งหมด. แต่ด้วยบทที่ 3 ทรงสงเคราะห์
อสังขตธรรมเท่านั้น ดังนั้น ในสูตรนี้ มรรคและผลทั้งหลายจึงชื่อว่า เป็น.
ธรรมที่พ้นจาก 3 ภพ แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่าด้วยบททั้งสองว่า ธรรมที่
เป็นสภาวะของรูป ชื่อว่า รูปธาตุ ธรรมที่เป็นสภาวะของอรูป ชื่อว่า อรูปธาตุ
ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงถึงเบญจขันธ์โดยไม่มีส่วนเหลือ และว่า
ธรรมที่เป็นอารมณ์ของรูปตัณหา ชื่อว่า รูปธาตุ ที่เป็นอารมณ์ของอรูปตัณหา
ชื่อว่า อรูปธาตุ. คำทั้งหมดนั้น มิได้ทรงประสงค์เอาในสูตรนี้ เพราะฉะนั้น
พึงทราบเนื้อความตามนัยที่กล่าวมาแล้วนั่นแหละ.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาทั้งหลายดังต่อไปนี้ บทว่า รูปธาตุํ ปริญฺญาย
ความว่า กำหนดรู้ความเป็นไปแห่งธรรมอันเนื่องด้วยรูป ด้วยปริญญา 3
มีญาตปริญญาเป็นต้น. บทว่า อรูเปสุ อสณฺฐิตา ความว่า ไม่ประดิษฐาน
อยู่แล้ว คือไม่พัวพันอยู่ในธรรมทั้งหลายที่เป็นอรูปาวจร ด้วยอำนาจภวราคะ
และด้วยอำนาจภวทิฏฐิ. ภิกษุทั้งหลายสวดกันว่า อรูเปสุ อสณฺฑิตา ก็มี
ความหมายก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน. ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสการกำหนดรู้ธรรมอันเป็นไปในภูมิ 3. บทว่า นิโรเธ เย วิมุจฺ-
จนฺติ
ความว่า ชนผู้เป็นพระขีณาสพเหล่าใด พ้นจากกิเลสโดยไม่มีเหลือ
ในพระนิพพานที่เป็นอารมณ์ด้วยสมุจเฉท (วิมุตติ) และปฏิปัสสัทธิ (วิมุตติ)

ด้วยสามารถแห่งมรรคผลชั้นสูง. บทว่า เต ชนา มจฺจุหายิโน ความว่า
ชนผู้เป็นพระขีณาสพเหล่านั้น ล่วงพ้นความตายได้แล้ว.
พระผู้มีพระเจ้า ครั้นทรงแสดง การบรรลุอมตธรรม โดยการ
ก้าวล่วงธาตุทั้ง 3 อย่างนี้แล้ว เมื่อจะยังอุตสาหะในการบรรลุอมตธรรมนั้น
แก่ชนเหล่านั้นว่า ปฏิปทานี้ด้วย ทางที่เราตถาคตดำเนินไปแล้วด้วย เ รา
ตถาคตแสดงแล้ว แก่เธอทั้งหลายดังนี้ จึงตรัสพระคาถาที่สอง (ต่อไป).
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาเยน ความว่า ด้วยนามกาย (หรือ)
ด้วยมรรคและผลทั้งหลาย. บทว่า ผุสิตฺวา แปลว่า บรรลุแล้ว. บทว่า
นิรูปธึ ความว่า เว้นจากอุปธิทุกอย่างมีขันธูปธิเป็นต้น. บทว่า อุปธิ-
ปฏินิสฺสคฺคํ
ได้แก่ เหตุเป็นเครื่องสละ คือ อุปธิเหล่านั้นนั่นแหละ เพราะว่า
อุปธิทั้งหมด เป็นอันพระขีณาสพสละคืนแล้ว ด้วยการกระทำให้แจ้งซึ่งพระ-
นิพพาน ด้วยมรรคญาณ เพราะฉะนั้น การกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ด้วย
มรรคญาณนั้น จึงเป็นเหตุแห่งการสละคืนอุปธิเหล่านั้น. บทว่า สจฺฉิกตฺวา
ความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้หาอาสวะมิได้ ทรงกระทำ (อมตธาตุ) ให้
ประจักษ์แก่พระองค์ด้วยการเข้าผลสมาบัติ ตามกาลที่สมควร ทรงแสดงบท
คือ พระนิพพานนั่นแหละ ที่ไม่เศร้าโศก ปราศจากธุลี เพราะฉะนั้น
บัณฑิตควรกระทำความขะมักเขม้น เพื่อบรรลุบท คือ พระนิพพานนั้น.
จบอรรถกถาธาตุสูตรที่ 2

3. ปฐมเวทนาสูตร


ว่าด้วยเวทนา 3 ประการ


[230] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้
สดับมาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เวทนา 3 ประการนี้ 3 ประการเป็นไฉน ?
คือ สุขเวทนา 1 ทุกขเวทนา 1 อทุกขมสุขเวทนา 1 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เวทนา 3 ประการนี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้มีจิตตั้งมั่น
ผู้รู้ทั่ว มีสติ ย่อมรู้ชัดซึ่งเวทนา เหตุเกิด
แห่งเวทนา ย่อมรู้ชัดซึ่งธรรมเป็นที่ดับ
แต่งเวทนา และมรรคอันให้ถึงความสิ้น
ไปแห่งเวทนา ภิกษุหายหิวแล้ว ดับรอบ
แล้ว เพราะความสิ้นไปแต่งเวทนาทั้งหลาย.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบปฐมเวทนาสูตรที่ 3