เมนู

ในคาถาทั้งหลายมีอธิบายดังต่อไปนี้. บทว่า เว ในบทว่า เยสํ เว
หิริโอตฺตปฺปํ
เป็นเพียงนิบาต. ความว่า สัตว์เหล่าใดไม่มี คือ ไม่ได้เข้าถึง
หิริและโอตตัปปะ ในกาลทุกเมื่อ คือตลอดกาล. บทว่า โวกฺกนฺตา สุกฺกมูลา
เต
ความว่า สัตว์เหล่านั้นก้าวล่วง คือพ้นจากกุศล เพราะทำกรรมอันตัดขาด
กุศลมูล หรือเพราะไม่มีหิริและโอตตัปปะอันเป็นที่ตั้งแห่งกุศลกรรม มีสุก-
ธรรมไปปราศแล้ว ก้าวล่วงแล้ว เป็นผู้ถึงชาติและมรณะ เพราะมีสภาพเกิด
ตายบ่อย ๆ ย่อมไม่พ้นสงสารไปได้.
บทว่า เยสญฺจ หิริโอตฺตปฺปํ ความว่า ก็สัตว์เหล่าใดเข้าไปตั้ง
ธรรมเหล่านี้ คือ หิริและโอตตัปปะไว้โดยชอบ ในกาลเป็นนวกะ มัชฌิมะ
และเถระตลอดวันตลอดคืนในกาลทุกเมื่อ คือ ตลอดกาล สัตว์เหล่านั้นเกลียด
กลัว ละบาป ด้วยตทังคปหานเป็นต้น. บทว่า วิรุฬฺหพฺรหฺมจริยา ความว่า
สัตว์เหล่านั้นถึงความงอกงาม ด้วยศาสนพรหมจรรย์ และมรรคพรหมจรรย์
เป็นผู้สงบเพราะสงบกิเลส หรือมีคุณคือความสงบโดยประการทั้งปวง ด้วย
การบรรลุมรรคชั้นสูง เป็นผู้มีภพใหม่สิ้นแล้ว เพราะความสิ้นภพใหม่
จบอรรถกถาธรรมสูตรที่ 5

6. อชาตสูตร


ว่าด้วยการไม่เกิดอีกเป็นสุขในโลก


[221] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อัน

ปัจจัยไม่ทำแล้ว ไม่ปรุงแต่งแล้ว มีอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าธรรมชาติ
อันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้ว ไม่ปรุงแต่งแล้ว จักไม่ได้มี
แล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยทำแล้ว
ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเหตุ
ที่ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้ว ไม่ปรุงแต่ง
แล้วมีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยทำ
แล้ว ปรุงแต่งแล้ว จึงปรากฏ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ธรรมชาติอันเกิดแล้ว มีแล้ว เกิดขึ้น
พร้อมแล้ว อันปัจจัยทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว
ไม่ยั่งยืน ระคนแล้วด้วยชราและมรณะ
เป็นรังแห่งโรค ผุผัง มีอาหารและตัณหา
เป็นแดนเกิด ไม่ควรเพื่อยินดีธรรมชาติ
นั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาตินั้น เป็น
บทอันระงับ จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ยั่งยืน
ไม่เกิด ไม่เกิดขึ้นพร้อม ไม่มีความโศก
ปราศจากธุลี ความดับแห่งทุกขธรรม
ทั้งหลาย คือ ความที่สังขารสงบระงับ
เป็นสุข.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบอชาตสูตรที่ 6

อรรถกถาอชาตสูตร


ในอชาตสูตรที่ 6 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อตฺถิ ภิกฺขเว ถามว่า เกิดอะไรขึ้น. ตอบว่า ได้ยินว่า
วันหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศโทษในสงสารโดยอเนกปริยาย
แล้วทรงแสดงพระธรรมปฏิสังยุตด้วยพระนิพพาน ด้วยการชี้แจงเป็นต้น ภิกษุ
ทั้งหลายได้เกิดปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสงสารนี้พร้อมด้วยเหตุด้วย
การณะทั้งหลายมีอวิชชาเป็นต้น แต่มิได้ตรัสถึงการณะไร ๆ แห่งนิพพานอัน
เข้าไปสงบสงสารนั้น ข้อนี้นั้นมิใช่เหตุ ย่อมได้โดยทางสัจฉิกัตถปรมัตถ์หรือ
อย่างไร. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงกำจัดความสงสัยของภิกษุ
เหล่านั้น เพื่อทำลายวาทะอัน ผิดของสมณพราหมณ์ในโลกนี้ ผู้มีทิฏฐิมากใน
ภายนอก ผู้ปฏิบัติผิดดุจโลกายติกะเป็นต้นว่า จริงอยู่ โดยปรมัตถ์ชื่อว่านิพพาน
ย่อมไม่มีเพียงกล่าวว่า นิพพาน นิพพาน เท่านั้น เพราะมีสภาวะที่ตนยังไม่ได้
เพื่อแสดงความมีแห่งอมตมหานิพพานโดยปรมัตถ์ และเพื่อแสดงถึงความมี
อานุภาพมีการออกไปแห่งอมตมหานิพพานเป็นต้น จึงได้ทรงภาษิตสูตรนี้ด้วย
อุทานอันเป็นกำลังแห่งปีติ. เป็นความจริงพระสูตรนี้สงเคราะห์เข้าในอุทานด้วย
ในบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถิ ได้แก่ มีอยู่ คือ ได้โดยปรมัตถ์.
บทแม้ทั้งหมดว่า อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตํ เป็นไวพจน์ของกันและกัน.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อชาตํ เพราะไม่เกิด คือ ไม่บังเกิดโดยความพร้อมเพรียง
แห่งเหตุ กล่าวคือการประชุมแห่งเหตุปัจจัย ดุจเวทนาเป็นต้น . ชื่อว่า อภูตํ
เพราะเว้นเหตุแล้ว จะไม่เป็น ไม่ปรากฏ ไม่เกิดเอง. ชื่อว่า อกตํ เพราะ
อันปัจจัยไม่กระทำแล้วด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะไม่เกิดและเพราะไม่-