เมนู

ที่อยู่แห่งมนุษย์กำพร้า ที่อยู่แห่งช่างหูก พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอด-
พระเนตรเห็นท่านพระมหากัสสปะกำลังเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์
ตามทางที่อยู่แห่งมนุษย์ขัดสน ที่อยู่แห่งมนุษย์กำพร้า ที่อยู่แห่งช่างหูก.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
เรากล่าวบุคคลมิใช่ผู้เลี้ยงคนอื่น ผู้รู้ยิ่ง ผู้ฝึกตน
แล้ว ดำรงอยู่แล้วในสารธรรม ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว
ผู้มีโทษอันคายแล้วว่า เป็นพราหมณ์.

จบมหากัสสปสูตรที่ 6

อรรถกถามหากัสสปสูตร



มหากัสสปสูตรที่ 6 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ราชคเห ได้แก่ ใกล้นครอันมีชื่ออย่างนี้. จริงอยู่ นคร
นั้นเรียกว่าราชคฤห์ เพราะเจ้ามหามันธาตุ และพระเจ้ามหาโควินท์
เป็นต้นปกครอง บางอาจารย์พรรณนาในข้อนี้โดยประการอื่นมีอาทิว่า
ชื่อว่าราชคฤห์ เพราะเป็นเรือนของพระราชาผู้เป็นข้าศึก ที่ใครๆ ครอบงำ
ได้ยาก. ท่านอาจารย์เหล่านั้น จะมีประโยชน์อะไร. คำว่า ราชคฤห์นั้น
เป็นชื่อของนครนั้น. ก็นครราชคฤห์นี้นั้น เป็นเมืองอยู่ในสมัยพุทธกาล
และสมัยพระเจ้าจักรพรรดิ ในกาลอื่น เป็นเมืองร้าง พวกยักษ์ยึดครอง
กลายเป็นที่อยู่ของพวกยักษ์เหล่านั้น. คำว่า เวฬุวนํ ในคำว่า เวฬุวเน
กลนฺทกนิวาเป
เป็นชื่อของวิหารนั้น. ได้ยินว่า พระเวฬุวัน นั้นล้อม

ด้วยกำแพงสูง 18 ศอก ประดับด้วยคันธกุฎีใหญ่สมควรเป็นที่ประทับอยู่
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า และด้วยสิ่งอื่นมีปราสาท กุฎี ที่เร้น มณฑป ที่
จงกรม และซุ้มประตูเป็นต้น ภายนอกแวดล้อมด้วยไม้ไผ่ มีสีเขียว น่า
รื่นรมย์ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า เวฬุวัน. และเรียกว่ากลันทกนิวาปะ
เพราะเป็นที่ให้เหยื่อแก่พวกกระแต. ได้ยินว่า สมัยก่อน พระราชาองค์
หนึ่งเสด็จประพาสพระราชอุทยานนั้น ทรงเมาน้ำจัณฑ์. จึงบรรทมกลาง-
วัน ฝ่ายบริวารของพระราชานั้น คิดว่า พระราชาบรรทมหลับแล้ว ถูก
ประเล้าประโลมด้วยดอกไม้และผลไม้ จึงหลีกไปคนละทิศละทาง. ครั้ง
นั้น งูเห่าเลื้อยออกจากโพรงไม้ต้นหนึ่ง ด้วยกลิ่นเลื้อยมาตรงพระราชา.
รุกขเทวดาเห็นดังนั้นจึงคิดว่า เราจะช่วยชีวิตพระราชา จึงแปลงเพศเป็น
กระแต ไปร้องขึ้นที่ใกล้พระกรรณ. พระราชาทรงตื่นบรรทม งูเห่าก็
เลื้อยกลับไป. พระราชาทรงเห็นดังนั้นจึงทรงพระดำริว่า กระแตนี้ให้ชีวิต
เรา จึงทรงเริ่มตั้งเหยื่อแก่พวกกระแตในที่นั้น และทรงให้ป่าวประกาศ
ประทานอภัย เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นั้นมา ที่นั้นจึงนับว่า กลันทกนิวาปะ
ก็คำว่า กลันทกะ เป็นชื่อของพวกกระแต. ในพระเวฬุวัน กลันทก-
นิวาปะ นั้น .
บทว่า มหากสฺสโป ความว่า ชื่อว่ามหากัสสปะ เพราะเป็นพระ-
กัสสปะผู้ใหญ่ เหตุประกอบด้วยคุณอันใหญ่มีศีลขันธ์เป็นต้น. อีกอย่าง
หนึ่ง พระมหาเถระองค์นี้เรียกว่า มหากัสสปะ เพราะเทียบกับพระกุมาร-
กัสสปเถระ. บทว่า ปิปฺผลิคุหายํ ความว่า ได้ยินว่า ที่ใกล้ประตูถ้ำนั้น
ได้มีต้นดีปลีต้นหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้ำนั้นจึงปรากฏว่า ปิปผลิคูหา. ที่ถ้ำ
ปิปผลิคูหานั้น. บทว่า อาพาธิโก ความว่า ชื่อว่าอาพาธิกะ เพราะมี

อาพาธ อธิบายว่า มีการป่วยไข้. บทว่า ทุกฺขิโต ความว่า ชื่อว่ามีทุกข์
เพราะเกิดทุกข์ที่อิงอาศัยกาย อธิบายว่า ประสบทุกข์. บทว่า พาฬฺห-
คิลาโน
ได้แก่ ผู้มีความเป็นไข้หนัก. แต่พระมหากัสสปะมีสติสัมปชัญญะ
อดกลั้นความไข้นั้นได้. ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเหตุนั้นของ
ท่าน จึงได้เสด็จไปในที่นั้น ตรัสโพชฌงคปริตร. ด้วยโพชฌงคปริตร
นั้นนั่นเอง พระเถระจึงหายขาดจากอาพาธนั้น. สมจริงดังที่ตรัสไว้ใน
โพชฌงคสังยุตว่า
ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะอาพาธ เป็นทุกข์ มี
ไข้หนัก อยู่ที่ถ้ำปิปผลิคูหา. ครั้นในเวลาเย็น พระผู้มีพระภาค-
เจ้าเสด็จออกจากที่เร้น เสด็จเข้าไปหาพระมหากัสสปะถึงที่อยู่
ครั้นแล้วได้ประทับบนอาสนะที่ตบแต่งไว้ ครั้นประทับนั่งแล้ว
ฯลฯ ได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า กัสสปะ เธอพอทนได้หรือ พอ.
ยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ ทุกขเวทนาสร่างลงไม่กำเริบหรือ
ที่สุดของความสร่างทุกขเวทนาปรากฏ ความกำเริบไม่ปรากฏหรือ.
พระมหากสัสปะทูลว่า ข้าพระองค์ทนไม่ได้ ยังอัตภาพให้เป็น
ไปไม่ได้ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์มีทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า ยัง
กำเริบ ไม่สร่างลง พระเจ้าข้า ความสิ้นสุดแห่งความกำเริบยัง
ปรากฏ ความสร่างลงไม่ปรากฏ พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่ากัสสปะ โพชฌงค์ 7 เหล่านี้ เรากล่าวชอบแล้ว อบรม
แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อ
นิพพาน โพชฌงค์ 7 อะไรบ้าง ? ดูก่อนกัสสปะ คือ สติสัม-
โพชฌงค์ อันเรากล่าวชอบแล้ว อบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อม

เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ฯลฯ ดูก่อน
กัสสปะ อุเบกขาสัมโพชฌงค์แล เรากล่าวชอบแล้ว อบรมแล้ว
ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อ
นิพพาน. ดูก่อนกัสสปะ โพชฌงค์ 7 เหล่านี้แล เรากล่าว
ชอบแล้ว อบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง
เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน, พระมหากัสสปะทูลว่า ข้าแต่พระผู้มี-
พระภาคเจ้า โพชฌงค์ดีแท้ ข้าแต่พระสุคต โพชฌงค์ดีแท้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ไว้ ท่านพระมหากัสสปะดีใจ
เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า. และท่านพระมหา-
กัสสปะก็ได้หายจากอาพาธนั้นแล้ว และอาพาธนั้นก็เป็นอันชื่อว่า
พระมหากัสสปะละได้แล้วอย่างนั้น.
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถโข อายสฺมา มหากสฺสโป
อปเรน สมเยน ตมฺหา อาพาธา วุฏฺฐาสิ
ครั้นสมัยต่อมา ท่านพระ-
มหากัสสปะก็หายจากอาพาธนั้น.
บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ท่านพระมหากัสสปะฉันบิณฑบาตที่
สัทธิวิหาริกนำเข้าไปถวายในวันเป็นไข้ในกาลก่อน ก็ได้อยู่ในวิหารนั้น
แหละ ครั้นท่านหายจากอาพาธนั้นแล้ว ได้มีความปริวิตกนี้ว่า ไฉนหนอ
เราพึงเที่ยวไปบิณฑบาตยังเมืองราชคฤห์. บทว่า ปญฺจมตฺตานิ เทวตา
สตานิ
ได้แก่ นางอัปสรผู้มีเท้าดังสีเท้านกพิราบประมาณ 500 ผู้บำเรอ-
ท้าวสักกเทวราช. บทว่า อุสฺสุกฺกํ อาปนฺนานิ โหนฺติ ความว่า นางอัปสร
เหล่านั้นคิดจะถวายบิณฑบาตแก่พระเถระ จึงตระเตรียมบิณฑบาต 500
ที่ ใส่ภาชนะทองเอาไปยืนอยู่ระหว่างทาง พลางกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ขอ

ท่านจงรับบิณฑบาตนี้ จงสงเคราะห์พวกดิฉัน ต่างก็ขวนขวายในการ
ถวายบิณฑบาต. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อายสฺมโต มหากัสสปสฺส
ปิณฺฑปาตปฏิลาภาย
เพื่อให้ท่านพระมหากัสสปะได้รับบิณฑบาต.
ได้ยินว่า ท้าวสักกเทวราชทราบความเป็นไปแห่งจิตของพระเถระ
จึงส่งนางอัปสรเหล่านั้นไปด้วยพระดำรัสว่า พวกเธอจงไปถวายบิณฑบาต
แก่พระผู้เป็นเจ้ามหากัสสปเถระ กระทำให้เป็นที่พึ่งของตน. ความจริง
ท้าวสักกเทวราชนั้นได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า บรรดานางอัปสรทั้งหมดนี้
ที่ไปถึง บางคราว พระเถระพึงรับบิณฑบาตจากมือของนางอัปสรแม้สัก
คน ข้อนั้นจักเป็นประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่นางตลอดกาลนาน
พระเถระห้ามนางอัปสรผู้กำลังพูดว่า ท่านเจ้าข้า ขอท่านจงรับบิณฑบาต
ของดิฉัน ขอท่านจงรับบิณฑบาตของดิฉัน แล้วกล่าวว่า พวกเธอได้ทำ
บุญไว้แล้ว มีโภคะมาก จงหลีกไป เราจะสงเคราะห์แกคนเข็ญใจ แล้ว
จึงห้ามอีกครั้งกะนางอัปสรผู้พูดอยู่ว่า ท่านเจ้าข้า ขอท่านจงอย่าทำพวก
ดิฉันให้พินาศเลย จงสงเคราะห์พวกดิฉันเถิด จึงคิดนิ้วมือกล่าวซ้ำกะ
พวกอัปสรผู้ไม่ปรารถนาจะหลีกไป ซึ่งยังอ้อนวอนอยู่ว่า พวกเธอไม่รู้
ประมาณตน จงหลีกไปเถิด. นางอัปสรเหล่านั้นได้ยินเสียงคิดนิ้วมือของ
พระเถระ เมื่อไม่อาจดำรงอยู่ได้ จึงหนีไปยังเทวโลกตามเดิม. เพราะ
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปญฺจมตฺตานิ เทวตาสตานิ ปฏิกฺขิปิตฺวา ห้าม
เทวดาประมาณ 500.
บทว่า ปุพฺพณฺหสมยํ ได้แก่ สมัยหนึ่ง คือเวลาหนึ่ง ตอนเช้า.
บทว่า นิวาเสตฺวา ความว่า นุ่งห่มอย่างมั่นคง โดยการเปลี่ยนเครื่อง

นุ่งห่มในพระวิหาร. บทว่า ปตฺตจีวรมาทาย ความว่า ห่มจีวรแล้ว
ถือบาตร. บทว่า ปิณฺฑาย ปาวิสิ ได้แก่ เข้าไปบิณฑบาต.
บทว่า ทลิทฺทวิสิขา ได้แก่ ถิ่นเป็นที่อยู่ของคนเข็ญใจ. บทว่า
กปณวิสิขา ได้แก่ ที่อยู่ของคนยากจน เพราะถึงความเสื่อมสิ้นโภคะ.
บทว่า เปสการวิสิขา ได้แก่ ที่อยู่ของช่างหูก.
บทว่า อทฺทสา โข ภควา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็น
อย่างไร ? พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรำพึงว่า กัสสปบุตรของเรา หายจาก
อาพาธแล้ว กำลังทำอะไรหนอ ทั้งที่ประทับนั่งในพระเวฬุวันนั่นแล
ได้ทรงเห็นด้วยทิพยจักษุ.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบเนื้อความที่ท่านพระ-
มหากัสสปะห้ามบิณฑบาตทิพย์ มีสูปะและพยัญชนะมากมาย ที่นางอัปสร
500 นำเข้าไปถวาย แล้วกล่าวถึงข้อปฏิบัติในการสงเคราะห์คนกำพร้า.
บทว่า อิมํ อุทานํ ได้แก่ ทรงเปล่งอุทานนี้อันแสดงอานุภาพแห่งความ
คงที่ของพระขีณาสพ โดยแสดงความเป็นผู้มักน้อยเป็นประธาน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนญฺญโปสึ ความว่า ชื่อว่าอัญฺญโปสี
เพื่อเลี้ยงคนอื่น ผู้ไม่เลี้ยงคนอื่น ชื่อว่าอนัญญโปสี อธิบายว่า ชื่อว่า
ไม่มีเพื่อนสอง คือเป็นผู้เดียว เพราะไม่มีคนอื่นที่ตนจะต้องเลี้ยง. ด้วย
คำนั้น ท่านแสดงถึงพระเถระเป็นผู้เลี้ยงง่าย. จริงอยู่ พระเถระเลี้ยง
เฉพาะตนด้วยจีวรเครื่องบริหารกาย และด้วยบิณฑบาตเครื่องบริหารท้อง
ชื่อว่าเป็นผู้มักน้อยอย่างยิ่งอยู่. ไม่เลี้ยงใคร ๆ อื่น ในบรรดาญาติมิตร
เป็นต้น เพราะเป็นผู้ไม่ติดในอารมณ์ไหน ๆ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อนัญญ-

โปสี เพราะไม่มีภาระที่ตนอันคนอื่นคนใดคนหนึ่งจะพึงเลี้ยง. ความจริง
ผู้ที่มีปัจจัย 4 เนื่องในทายกผู้ให้ปัจจัยคนเดียวเท่านั้น ไม่ชื่อว่าอนัญญโปสี
เพราะมีความประพฤติเนื่องกับคน ๆ เดียว. ฝ่ายพระเถระอาศัยกำลังแข้ง
เที่ยวบิณฑบาต โดยนัยดังกล่าวในคาถามีอาทิว่า ยถาปิ ภมโร ปุปฺผํ
เป็นผู้ใหม่ในตระกูลทั้งหลายเป็นนิตย์ ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยอาหารที่
เจือปน. จริงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชมเชยผู้นั้นด้วยปฏิปทา
อันเปรียบด้วยพระจันทร์. บทว่า อญฺญาตํ แปลว่า มีชื่อเสียงปรากฏ
คือมีเกียรติยศแผ่ไปด้วยคุณตามความเป็นจริง. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่ามีชื่อ
เสียงปรากฏ เพราะเป็นผู้มักน้อย สันโดษด้วยภาวะที่ไม่ต้องเลี้ยงผู้อื่นนั้น
นั่นแล. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อญฺญาตํ ชื่อว่าอันคนอื่นไม่รู้จัก โดย
ให้ผู้อื่นรู้จักตน เหตุไม่ปรารถนาลาภสักการะ และชื่อเสียง เพราะละตัณหา
ได้แล้วโดยประการทั้งปวง. ความจริง คนที่ยังไม่ปราศจากตัณหา มีความ
ปรารถนาลามก ย่อมให้คนอื่นรู้จักตน โดยประสงค์ความยกย่องด้วยการ
หลอกลวง. บทว่า ทนฺตํ ความว่า ฝึกตนแล้ว เพราะอรรถว่า ฝึกตนอย่าง
สูงสุดในอินทรีย์ทั้งหลาย ด้วยอำนาจฉฬังคุเบกขา อุเบกขามีองค์ 6.
บทว่า สาเร ปติฏฺฐิตํ ได้แก่ ตั้งลงในวิมุตติสาระ หรือตั้งอยู่ในศีลสาระ
เป็นต้น มีศีลขันธ์อันเป็นของพระอเสขะเป็นต้น. บทว่า ขีณาสวํ วนฺต-
โทสํ ความว่า ชื่อว่าขีณาสวะ เพราะละอาสวะ 4 มีกามาสวะเป็นต้น
ได้โดยสิ้นเชิง จากนั้นแล ชื่อว่าวันตโทสะ เพราะคายโทษ มีราคะเป็นต้น
ได้โดยประการทั้งปวง. บทว่า ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ความว่า เรากล่าว
บุคคลนั้น คือบุคคลผู้เป็นพราหมณ์โดยปรมัตถ์ ซึ่งมีคุณตามที่กล่าวแล้ว

ว่าเป็นพราหมณ์. แม้ในที่นี้ พึงทราบความต่างกันแห่งเทศนา โดยนัย
ดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
จบอรรถกถามหากัสสปสูตรที่ 6

7. ปาวาสูตร



ว่าด้วยยักษ์หลอดพระพุทธเจ้า



[44] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่อชกลาปกเจดีย์ อันเป็น
ที่อยู่แห่งอชกลาปกยักษ์ ใกล้เมืองปาวา ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับนั่ง ณ ที่แจ้ง ในความมืดตื้อในราตรี และฝนก็กำลังโปรยละออง
อยู่ ครั้งนั้นแล อชกลาปกยักษ์ใคร่จะทำความกลัว ความหวาดเสียว ขน
ลุกชูชันให้เกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้ทำเสียงอักกุลปักกุละว่า อักกุโล ปักกุโล ขึ้น 3
ครั้ง ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกล่าวว่า ดูก่อนสมณะ นั่น
ปีศาจปรากฏแก่ท่าน.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ในกาลใด บุคคลเป็นผู้ถึงฝั่งในธรรมทั้งหลาย
ของตน เป็นพราหมณ์ ในกาลนั้น ย่อมไม่กลัว
ปีศาจและเสียงว่า ปักกุละ อย่างนี้.

จบปาวาสูตรที่ 7