เมนู

โพธิวรรควรรณนาที่ 1


อรรถกถาปฐมโพธิสูตร


ก็ในโพธิสูตรนี้ คำว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้น เป็นนิทาน. บรรดา
บทเหล่านั้น ศัพท์ว่า เอวํ เป็นนิบาต. บทว่า เม เป็นต้น เป็นบทนาม.
บทว่า วิ ในบทว่า อุรุเวลายํ วิหรติ นี้ เป็นบทอุปสรรค. บทว่า หร ติ
เป็นบทอาขยาต. การจำแนกบทในทุกบท พึงทราบโดยนัยนี้ เป็นอันดับ
แรกแล.
แต่เมื่อว่าโดยอรรถ เอวํ ศัพท์อันดับแรก มีอรรถหลายประเภท
มีอาทิว่า อุปมา อุปเทศ สัมปหังสนะ ครหณะ วจนสัมปฏิคคหะ
อาการ นิทัสสนะ อวธารณะ. ปุจฉา อิทมัตถะ ปริมาณ.
จริงอย่าง
นั้น เอวํ ศัพท์นั้นมาในอุปมา ในประโยคมีอาทิอย่างนี้ว่า สัตว์ผู้เกิดมา
แล้วพึงทำกุศลให้มาก ฉันนั้น. มาในอุปเทศ (ข้อแนะนำ) ในประโยค
มีอาทิว่า ท่านพึงก้าวไปข้างหน้าอย่างนี้ ท่านพึงถอยกลับอย่างนี้ . มาใน
สัมปหังสนะ (ความร่าเริง) ในประโยคมีอาทิว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค-
เจ้า ข้อนั้น เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น. มาใน
ครหณะ (การติเตียน) ในประโยคมีอาทิว่า ก็หญิงถ่อยนี้ กล่าวคุณของ
สมณะโล้นนั้น ในที่ทุกหนทุกแห่ง (ไม่เลือกสถานที่) อย่างนี้ ๆ. มาใน
วจนสัมปฏิคคหะ. (การรับคำ) ในประโยคมีอาทิว่า ภิกษุเหล่านั้นรับ
พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เอวํ ภนเต อย่างนั้นแล พระเจ้าข้า.
มาในอาการ ในประโยคมีอาทิว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์รู้
ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว อย่างแจ่มแจ้งด้วยอาการ

อย่างนี้แล. มาในนิทัสสนะ (การชี้แจง) ในประโยคมีอาทิว่า มาเถิดท่าน
มาณพน้อย จงเข้าไปหาพระสมณะอานนท์ถึงที่อยู่ ครั้นแล้วจงถามถึงความ
อาพาธน้อย โรคน้อย ความคล่องแคล่ว พละกำลัง การอยู่ผาสุก กะท่าน
พระสมณะอานนท์ ตามคำของเราว่า สุภมาณพโตเทยยบุตร ถามถึง
อาพาธน้อย โรคน้อย ความคล่องแคล่ว พละกำลัง การอยู่ผาสุก กะ
ท่านพระอานนท์ และจงกล่าวอย่างนี้ว่า ดังข้าพเจ้าขอโอกาส ขอท่าน
พระอานนท์ จงกรุณาเข้าไปยังนิเวศน์ของ สุภมาณพโตเทยยบุตร. มา
ในอวธารณะ (ห้ามความอื่น) ดูก่อนชาวกาลามะ ท่านสำคัญความข้อนั้น
เป็นอย่างไร ธรรมเหล่านี้ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล. เป็นอกุศลพระ-
เจ้าข้า มีโทษหรือไม่มีโทษ. มีโทษพระเจ้าข้า. วิญญูชนติเตียนหรือ
สรรเสริญ. วิญญูชนติเตียนพระเจ้าข้า. ธรรมทั้งหลายที่สมาทานให้บริบูรณ์
แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลหรือเพื่อทุกข์ หรือว่าไม่เป็น
ไป หรือในข้อนั้นเป็นอย่างไร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมที่สมาทาน
ให้บริบูรณ์แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลเพื่อทุกข์ ในข้อนี้
พวกข้าพระองค์มีความเห็นอย่างนั้น . มาในคำถาม ในประโยคมีอาทิว่า
ชนเหล่านั้น อาบน้ำอย่างดี ลูบไล้อย่างดี ปลงผมและหนวด สวมใส่
มาลัยและเครื่องอาภรณ์ ฯลฯ อย่างนั้นหรือ. มาในอิทมัตถะ (อรรถแห่ง
อิทํ ศัพท์) ในประโยคมีอาทิว่า สิปปายตนะมากมายที่เข้ากับศิลปะนี้
อาการนี้ มีประการอย่างนี้. จริงอยู่ คต ศัพท์ มีการยักเรียกว่า ประการ.
ศัพท์ว่า วิธาการะ. ก็เหมือนกัน. จริงอย่างนั้น ชาวโลกกล่าว คต ศัพท์
ที่ประกอบกับ วิธ ศัพท์ในอรรถว่าประการ. มาในปริมาณ ในประโยค
มีอาทิว่า มีการเปลี่ยนแปลงเร็วเป็นปริมาณ มีการสิ้นสุดอายุเป็นปริมาณ.

ก็ด้วย เอวํ ศัพท์ในคำว่า เอวํ วิตกฺกิตํ โน ตุมฺเหหิ เอวมายุ-
ปริยนฺโต เอวํ
ศัพท์ที่ชื่อว่า มีอาการเป็นอรรถเท่านั้น เพราะกล่าวอาการ
ถามและอาการปริมาณมิใช่หรือ ? ไม่ใช่ เพราะมีความแปลกกัน. ก็ เอวํ
ศัพท์ในที่นี้บอกเพียงอาการ ท่านประสงค์เอาว่า มีอาการเป็นอรรถ. แต่
เอวํ ศัพท์ในคำมีอาทิว่า เอวํ พฺยา โข บอกความแปลกกันแห่งอาการ.
ก็ เอวํ ศัพท์เหล่านี้ ที่ชื่อว่าบอกความแปลกกันแห่งอาการ เพราะบอก
อาการแห่งคำถาม และอาการแห่งปริมาณ. ก็เพราะอธิบายอย่างนี้
อุทาหรณ์อุปมามีอาทิว่า สัตว์เกิดมาก็ฉันนั้นจึงจะถูก. ก็ในข้อนั้นมีอธิบาย
ดังนี้ สัตว์ชื่อว่า มัจจะ เพราะมีอันจะพึงตายเป็นสภาวะ จำต้องบำเพ็ญ
บุญเป็นอันมากอันเป็นเช่นกลุ่มดอกไม้ เพราะควรแก่ฐานที่เป็นกองดอก
ไม้ในคาถานี้ว่า
ยถาปิ ปุปฺผราสิมฺหา ภยิรา มหาคุเณ พหู
เอวํ ชาเตน มจฺเจน กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุํ

นายมาลาการผู้ฉลาด พึงกระทำพวงดอกไม้จาก
กองดอกไม้ให้มาก แม้ฉันใด สัตว์ผู้มีอันจะพึงตาย
เป็นสภาวะเกิดแล้ว จำต้องทำกุศลให้มาก ฉันนั้น

เพราะตั้งขึ้นจากเหตุแห่งการบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น มีเกิดในมนุษย์
การคบหาสัปบุรุษ การฟังพระสัทธรรม การทำไว้ในใจโดยแยบคาย
และการสมบูรณ์ด้วยโภคะ เป็นต้น เพราะประกอบด้วยคุณวิเศษมีความ
งามและมีกลิ่นหอมเป็นต้น เพราะฉะนั้น เมื่อว่าโดยไม่แปลกกัน จึงมี
กองดอกไม้ และกลุ่มดอกไม้เป็นเครื่องเปรียบ. อาการเปรียบเทียบกลุ่ม
ดอกไม้เหล่านั้น ท่านกล่าวไว้โดยกำหนดไม่แน่นอน ด้วย ยถา ศัพท์

กล่าวโดยกำหนดแน่นอน ด้วย เอวํ ศัพท์อีก. ก็อาการเปรียบเทียบนั้น
เมื่อกำหนดลงไป โดยใจความก็เป็นเพียงอุปมาเท่านั้น เพราะฉะนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า อุปมายํ อาคโต มาในอุปมา ดังนี้ .
อนึ่ง อาการคือการแนะนำในความเพียบพร้อมด้วยมารยาทอันสม-
ควรแก่สมณะที่ท่านแนะนำไว้โดยนัยมีอาทิว่า พึงก้าวไปอย่างนี้ คือโดย
อาการนี้นั้น ว่าโดยอรรถก็คืออุปเทศนั้นเอง เพราะเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวว่า เอวํ ศัพท์มาในอุปเทศ ในประโยคมีอาทิว่า ท่านพึงก้าวไป
อย่างนี้ พึงถอยกลับอย่างนี้.
ในคำว่า เอวเมตํ ภควา เอวเมตํ สุคต นี้ พึงทราบโดยนัยที่
ท่านกล่าวไว้ว่า การหัวเราะ คือ การทำความฟูใจ ได้แก่ ความร่าเริง
โดยประการแห่งคุณที่มีอยู่ในข้อที่ผู้รู้อรรถตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
แล้วทำมิให้คลาดเคลื่อน. ในข้อว่า เอวเมว ปนายํ นี้ พึงทราบโดยนัย
ที่กล่าวแล้วว่า เป็นอาการแห่งการติเตียน. ก็อาการคือการติเตียนั้น
ย่อมรู้ได้ว่าท่านประกาศไว้ด้วย เอวํ ศัพท์ในที่นี้โดยเทียบเคียงกับ ขุํสน
ศัพท์ ขู่ว่า หญิงถ่อยเป็นต้น. พึงทราบว่า แม้อาการคือการเปรียบเทียบ
ท่านกล่าวไว้โดยเทียบเคียงศัพท์มี ปุพพราสิ ศัพท์เป็นต้น ที่ท่านกล่าวไว้
โดยอุปมาเป็นต้น เหมือนในอาการติเตียนนี้ .
ด้วยคำว่า เอวญฺจ วเทหิ นี้ ท่านกล่าวว่า อาการคือการกล่าวที่
จะพึงกล่าวในบัดนี้ว่า ข้าพเจ้ากล่าวอาการอย่างใด ท่านจงกล่าวกะสมณะ
อานนท์ด้วยอาการอย่างนั้น ท่านแสดงไขด้วย เอวํ ศัพท์ เพราะฉะนั้น
เอวํ ศัพท์นั้น จึงมีนิทัสสนะเป็นอรรถ.
แม้ในบทว่า เอวํ โน นี้ เพราะเมื่อตั้งคำถามว่า ไม่เป็นอย่างนั้น

หรือ หรือว่าในข้อนั้นเป็นอย่างไร ด้วยอำนาจการถือเอาตามอนุมัติ เพื่อ
จะให้รู้การตกลงโดยภาวะที่ทำตามที่กล่าวแล้วนั้น นำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
และทุกข์มาให้ จึงตอบว่า ในข้อนั้นไม่เป็นอย่างนั้น การสันนิษฐาน
อาการเช่นนั้นย่อมรู้ได้ว่าท่านให้แจ่มแจ้งแล้วด้วย เอวํ ศัพท์. ก็อาการที่
เป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลเพื่อทุกข์แห่งธรรมเหล่านั้น เมื่อกำหนด
แน่นอนมีอวธารณะเป็นอรรถ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เอวํ ศัพท์
มาในอวธารณะ ในประโยคมีอาทิว่า เอวํ โน เอตฺถ โหติ ในข้อนี้
สำหรับข้าพระองค์เป็นอย่างนี้.
ท่านกล่าวถึง เอวํ ศัพท์เหล่านั้นอันบ่งถึงความแปลกกันแห่งอาการ
อย่างนั้น ว่ามีอรรถอุปมาเป็นต้น เพราะมีความเป็นไปโดยอรรถพิเศษ
มีอุปมาเป็นต้น. ก็ เอวํ ศัพท์ ในคำว่า เอวมฺภนฺเต นั้น มีการรับคำ
เป็นอรรถ เพราะภิกษุทั้งหลายผู้ประกอบในการใส่ใจด้วยดีซึ่งการฟังธรรม
กล่าวไว้ด้วยสามารถการรู้เฉพาะซึ่งภาวะที่ตนตั้งอยู่ในธรรมนั้น. เพราะ
เหตุนั้น ท่านจึงอธิบายไว้ว่า บทว่า เอวมฺภนฺเต ได้แก่ สาธุ ภนฺเต
สุฏฐุ ภนฺเต
ดังนี้. ในที่นี้ เอวํ ศัพท์นี้นั้น พึงเห็นว่า ลงในอรรถว่า
อาการ นิทัศนะ และอวธารณะ.
ใน 3 อย่างนั้น ด้วย เอวํ ศัพท์ มีอาการเป็นอรรถ พระเถระ
แสดงอรรถนี้ว่า ใครสามารถจะรู้พระดำรัสของพระผู้พระภาคเจ้านั้นโดย
ประการทั้งปวง ซึ่งมีนัยต่าง ๆ อันละเอียดเกิดจากอัธยาศัยเป็นอเนก
สมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะมีปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ลึกโดยธรรม อรรถ
เทศนา และปฏิเวธ อันมาปรากฏทางโสตวิญญาณโดยเหมาะสมแก่ภาษา
ของตน ๆ แห่งสรรพสัตว์ ก็ข้าพเจ้าแม้ทำความประสงค์เพื่อจะฟังให้เกิด

โดยประการทั้งปวงก็ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ คือ แม้ข้าพเจ้า ก็ได้สดับ
มาแล้ว ด้วยอาการอย่างหนึ่ง.
ก็ในที่นี้ นัยมีอย่างต่าง ๆ โดยประเภทอารมณ์เป็นต้น กล่าวคือ
เอกัตตนัย นานัตตนัย อัพยาปารนัย เอวังธัมมตานัย และกล่าวคือ
นันทิยาวัฏฏนัย ติปุกขลนัย สีหวิกกีลิตนัย ทิสาโลจนนัย และ
อังกุสนัย ชื่อว่า นานานัย. อีกอย่างหนึ่ง นัยทั้งหลายมีบาลีเป็นคติ
และนัยเหล่านั้น ชื่อว่า นานานัย เพราะมีประการต่าง ๆ ด้วยอำนาจ
บัญญัติและอนุบัญญัติเป็นต้น ด้วยนัยที่เป็นส่วนแห่งสังกิเลสเป็นต้น และ
นัยที่เป็นโลกิยะเป็นต้น และนัยที่คละกันทั้งสองนั้นด้วยอำนาจกุศลเป็นต้น
ด้วยอำนาจขันธ์เป็นต้น ด้วยอำนาจสังคหะเป็นต้น ด้วยอำนาจสมยวิมุตติ
เป็นต้น ด้วยอำนาจฐปนะเป็นต้น ด้วยอำนาจกุศลมูลเป็นต้น และด้วย
อำนาติกปัฏฐานเป็นต้น. ชื่อว่า ละเอียดโดยนัยต่าง ๆ เพราะละเอียด
อ่อนสุขุมโดยนัยเหล่านั้น.
อาสยะนั้นแหละ ชื่อว่า อัธยาศัย. ก็อัธยาศัยนั้นมีหลายอย่าง
โดยความต่างแห่งภาวะมีความเป็นของเที่ยงเป็นต้น และโดยความต่าง
แห่งความที่สัตว์มีกิเลสดุจธุลีโนดวงตาน้อยเป็นต้น หรือมีอย่างเป็นอเนก
มีอาทิว่า อัธยาศัยของตนเป็นต้น ชื่อว่า อเนกัธยาศัย. อเนกัธยาศัย
นั้น ชื่อว่า อเนกัธยาศัยสมุฏฐาน เพราะมีสมุฏฐานเป็นเหตุเกิดขึ้น.
ชื่อว่า สมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะ เพราะประกอบด้วยบท
แห่งอรรถ 6 อย่าง คือ สังกาสนะ (คล้ายกัน ) ปกาสนะ (ประกาศ)
วิวรณะ (ไขความ) วิภชนะ (จำแนก) อุตตานีกรณะ (ทำให้ตื้น) และ
บัญญัติ (ชื่อ) และประกอบด้วยบทแห่งพยัญชนะ 6 อย่าง คือ อักขระ

บทพยัญชนะ อาการ นิรุตติ และนิเทศ แห่งสมบัติของอรรถแห่งศีล
เป็นต้น และสมบัติแห่งพยัญชนะอันทำความแจ่มแจ้งแห่งอรรถมีศีลเป็น-
ต้นนั้น
ชื่อว่า มีปาฏิหาริย์ต่าง ๆ เพราะมีปาฏิหาริย์ต่าง ๆ หรือมากมาย
โดยความต่างแห่งอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทศนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีปาฏิ-
หาริย์ และโดยความต่างแห่งอารมณ์เป็นต้นของปาฏิหาริย์แต่ละอย่าง
บรรดาปาฏิหาริย์เหล่านั้น. ในข้อนั้น เมื่อมีอรรถว่า ชื่อว่า ปาฏิหาริย์
เพราะกำจัดธรรมที่เป็นข้าศึก คือ เพราะกำจัดกิเลสมีราคะเป็นต้น กิเลส
มีราคะเป็นต้น ที่เป็นข้าศึกอันจะพึงกำจัดไม่มีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า. เมื่อ
จิตปราศจากอุปกิเลสประกอบด้วยคุณ 8 ประการ กำจัดธรรมที่เป็นข้าศึก
ได้แล้ว ปาฏิหาริย์แสดงฤทธิ์ได้ แม้สำหรับปุถุชนก็ยังเป็นไปได้ เพราะ
ฉะนั้น เมื่อว่าโดยโวหารที่เป็นไปในการแสดงฤทธิ์นั้น จึงไม่อาจจะกล่าว
ได้ว่าปาฏิหาริย์ในที่นี้. ก็ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ประกอบด้วยพระมหา-
กรุณายังมีกิเลสที่อยู่ในเวไนยสัตว์เป็นข้าศึกอยู่ไซร้ เพราะกำจัดกิเลสอัน
เป็นข้าศึกนั้นได้ จึงเรียกว่า ปาฏิหาริย์ เมื่อเป็นอย่างนั้น ข้อนั้น จึง
ถูกต้อง.
อีกอย่างหนึ่ง พวกเดียรถีย์ เป็นข้าศึกต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าและ
พระศาสนา เพราะกำจัดพวกเดียรย์เหล่านั้นได้ จึงเรียกว่า ปาฏิหาริย์.
จริงอยู่ เดียรถีย์เหล่านั้น ถูกพระองค์ทรงกำจัด คือขับไล่ออกด้วยอิทธิ-
ปาฏิหาริย์อาเทศนาปาฏิหาริย์และอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ด้วยอำนาจการกำจัด
ทิฏฐิและด้วยไม่มีความสามารถในการประกาศทิฏฐิ อีกอย่างหนึ่ง ศัพท์ว่า
ปฏิ นี้ ย่อมให้รู้อรรถของศัพท์ว่า ปจฺฉา นี้ เหมือน ปฏิ ศัพท์ใน

ประโยคมีอาทิว่า ตสฺมึ ปฏิปวิฏฺฐมฺหิ อญฺโญ อาคจฺฉติ พฺราหฺมโณ เมื่อ
พราหมณ์นั้นเข้าไป พราหมณ์อีกคนหนึ่งจึงมา. เพราะฉะนั้น เมื่อจิตทั้งมั่น
ปราศจากอุปกิเลส บุคคลผู้ทำกิจแล้วพึงนำไป คือให้เป็นไปในภายหลัง
เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ปาฏิหาริย์. อีกอย่างหนึ่ง เมื่ออุปกิเลสของตน
ถูกมรรคอันสัมปยุตด้วยฌานที่ 4 ขจัด แล้ว การกำจัดในภายหลัง ชื่อว่า
ปาฏิหาริย์. อนึ่ง อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทศนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนี-
ปาฏิหาริย์ อันผู้ปราศจากอุปกิเลสเสร็จกิจแล้ว พึงให้เป็นไปอีก เพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ อนึ่ง เมื่ออุปกิเลสของตนถูกขจัดแล้ว การ
กำจัดอุปกิเลสในสันดานของบุคคลอื่นก็ย่อมมี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
มีปาฏิหาริย์. ปาฏิหาริย์นั่นแหละ เป็น ปาฏิหาริย์. อีกอย่างหนึ่ง เมื่อ
ว่าโดยปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์แต่ละอย่างที่มีในหมวดแห่งอิทธิปาฏิหาริย์
อาเทศนาปาฏิหาริย์และอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ท่านเรียกว่า ปาฏิหาริย์.
อีกอย่างหนึ่ง ฌานที่ 4 และมรรค ชื่อว่า ปาฏิหาริย์ เพราะกำจัดธรรม
ที่เป็นข้าศึก. พึงทราบอรรถว่า ปาฏิหาริย์ เพราะเกิดในฌานที่ 4 และ
มรรคนั้น หรือเป็นนิมิตในฌานที่ 4 และมรรคนั้น หรือมาจากฌานที่ 4
และมรรคนั้น ดังนี้.
ก็เพราะเหตุความลึกโดยธรรม อรรถ เทศนา และปฏิเวธ กล่าวคือ
แบบแผน อรรถ เทศนาและการตรัสรู้ชื่อของแบบแผนเป็นต้นนั้น หรือ
กล่าวคือ เหตุและผลอันเผล็ดมาแต่เหตุ ทั้งเหตุทั้งผล บัญญัติและ
ปฏิเวธ ซึ่งเป็นภาวะอันสัตว์ผู้มิได้สร้างสมกุศลสมภารไว้หาที่พึ่งไม่ได้
และหยั่งรู้ได้ยาก เหมือนมหาสมุทรอันสัตว์ทั้งหลาย มีกระต่ายเป็นต้นไม่
อาจหยั่งถึง เพราะฉะนั้น พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า

ลึกโดยธรรม อรรถ เทศนา และปฏิเวธ เพราะประกอบด้วยภาวะที่ลึก
4 ประการนั้น.
การประกาศพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างเดียวเท่า
นั้น เป็นไปในขณะเดียว ย่อมควรจะถือเอาได้ไม่ก่อนและไม่หลัง โดย-
ภาษาของตนๆ แห่งสัตว์ทั้งหลายผู้มีภาษาต่าง ๆ กัน. จริงอยู่ พุทธานุภาพ
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอจินไตย เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่า ย่อม
ปรากฏทางโสดประสาทของสรรพสัตว์ โดยสมควรแก่ภาษาของตน ๆ.
ด้วย เอวํ ศัพท์มีนิทัสสนะเป็นอรรถ พระเถระเมื่อจะเปลื้องตนว่า
เราไม่ใช่พระสยัมภู พระสูตรนี้ เรามิได้ทำให้แจ้งเอง จึงแสดงไขพระสูตร
ทั้งสิ้นที่จะพึงกล่าวในบัดนี้ ว่า เราได้สดับบทแล้วอย่างนี้ คือ แม้เราก็ได้
สดับฟังมาแล้ว อย่างนี้.
ด้วย เอวํ ศัพท์อันมีอวธารณะเป็นอรรถ พระเถระเมื่อจะแสดง
กำลังการทรงจำของตน โดยสมควรแก่ภาวะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
สรรเสริญไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุผู้เป็นสาวกของ
เรา อานนท์เป็นเลิศของภิกษุผู้เป็นพหูสูต ผู้มีคติ มีสติ มีธิติ (และ)
ผู้เป็นอุปัฏฐาก และคำที่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรสรรเสริญไว้อย่างนี้ว่า
ท่านพระอานนท์เป็นผู้ฉลาดในอรรถ ฉลาดในธรรม ฉลาดในพยัญชนะ
ฉลาดในนิรุตติ ฉลาดในอักขระ เบื้องต้นและเบื้องปลาย จึงให้เหล่าสัตว์
เกิดความประสงค์ที่จะฟังว่า เราได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ และพระสูตรนั้นแล
ว่าโดยอรรถหรือพยัญชนะ ไม่หย่อนไม่ยิ่งกว่ากัน เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่
พึงเห็นโดยประการอื่น. บทว่า อญฺญถา คือ โดยประการอื่นจากอาการ
ที่ได้ฟังมาแล้วเฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่มิใช่โดย

ประการอื่นจากอาการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว. จริงอยู่ เทศนา
ของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีอานุภาพเป็นอจินไตย. เทศนานั้น ใคร ๆ ไม่
อาจรู้ได้โดยอาการทั้งปวง เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวเนื้อความนี้ไว้
ดังนี้ แล. จริงอยู่ กำลังแห่งการทรงจำ ก็คือการที่ไม่ผิดพลาดจากอาการ
ที่ได้ฟังมาแล้วเลย.
เม ศัพท์ ปรากฏในอรรถทั้ง 3. จริงอย่างนั้น เม ศัพท์นั้นมี
อรรถว่า มยา เหมือนในประโยคมีอาทิว่า คาถาภิคีตํ เม อโภชเนยฺยํ
โภชนะที่ได้มาเพราะขับร้อยกรอง อันเราไม่ควรบริโภค. เม ศัพท์มีอรรถ
ว่า มยฺหํ ในประโยคมีอาทิว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังข้าพระองค์ขอ
วโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อ.
เม ศัพท์ มีอรรถว่า มม ในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวก
เธอจงเป็นธรรมทายาทของเรา. แต่ เม ศัพท์ในที่นี้ ใช้ในอรรถ 2 อย่าง
คือ มยา สุตํ และ มม สุตํ.
แต่ในที่นี้ เม ศัพท์แม้ทั้ง 3 อย่าง ย่อมปรากฏในอรรถเดียว
เท่านั้น เพราะเป็นไปในสันดานของตน กล่าวคือ เกิดเฉพาะในตนที่จะ
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า สภาวะใด ไม่เป็นอื่น สภาวะนั้นคืออัตตา ก็จริง
ถึงอย่างนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่า ความต่างแห่งอรรถนี้ กล่าวคือ ความพิเศษ
แห่งกรณะและสัมปทานะ เป็นต้น. เพราะฉะนั้น พึงเห็นว่า เม ศัพท์
ท่านกล่าวว่า ปรากฏในอรรถ 3 อย่าง.
สุต ศัพท์ในบทว่า สุตํ นี้ ทั้งมีอุปสรรคและไม่มีอุปสรรค มี
ประเภทแห่งอรรถเป็นอันมาก เช่น คมนะ วิสสุตะ กิลินนะ อุปจิตะ
อนุโยคะ โสตวิญเญยยะ โสตทวารานุสารวิญญาตะ
เป็นต้น . จริงอยู่

อุปสรรคย่อมทำกิริยาให้พิเศษขึ้นก็จริง ถึงกระนั้น แม้เมื่อมีอุปสรรค
สุต ศัพท์นั่นแหละก็บ่งถึงอรรถนั้น เพราะส่องถึงอรรถ เพราะฉะนั้น
ในการขยายความของ สุต ศัพท์ที่ไม่มีอุปสรรค จะถือเอาสุตมีอุปสรรค
ก็ไม่ผิค. ในคำว่า สุตํ นั้น สุต ศัพท์มีอรรถว่าไป ในประโยคมีอาทิว่า
เสนาย ปสุโต ไปด้วยกองทัพ. สุต ศัพท์มีอรรถว่าวิสสุตธรรมใน
ประโยคมีอาทิว่า สุตธมฺมสฺส ปสฺสโต ผู้มีธรรมปรากฏแล้ว เห็นอยู่.
สุต ศัพท์มีอรรถว่า กิเลเสน กิลินฺนา กิลินฺนสฺส ในประโยคมีอาทิว่า
ภิกษุณีผู้กำหนัดด้วยราคะ ต่อบุรุษผู้กำหนัดด้วยราคะ. สุตศัพท์มีอรรถว่า
สั่งสมในประโยคมีอาทิว่า ตุมฺเหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปกํ ท่านสั่งสม
บุญไว้มิใช่น้อย. สุตศัพท์มีอรรถว่า ณานานุยุตฺตา ในประโยคมีอาทิว่า
เย ฌานปสุตา ธีรา ชนเหล่าใดเป็นนักปราชญ์ประกอบในฌาน. สุต
ศัพท์มีอรรถว่า โสตวิญเญยยะ. ในประโยคมีอาทิ ว่า ทิฏฺฐํ สุตํ มุตํ รูป
ที่เห็น เสียงที่ได้ฟัง อารมณ์ที่ได้ทราบ. สุตศัพท์ที่มีอรรถว่าทรงความรู้
ตามกระแสแห่งโสตทวาร ในประโยคมีอาทิว่า สุตธโร สุตสนฺนิจโย
ทรงไว้ซึ่งสุตะ สั่งสมสุตะ. แต่ในที่นี้ สุตศัพท์นั้นมีอรรถว่า อุปธาริตํ
อันท่านทรงไว้ หรือ อุปธารณํ การทรงไว้ ตามกระแสแห่งโสตทวาร.
จริงอยู่ เมื่อเมศัพท์มีมยาศัพท์เป็นอรรถ ความว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้ว
อย่างนี้ คือ ทรงไว้ตามกระแสแห่งโสตทวาร ดังนี้ จึงจะควร. เมื่อเมศัพท์
มีมมศัพท์เป็นอรรถ ความว่า การฟังของข้าพเจ้าอย่างนี้ คือ การทรงจำ
ตามกระแสแห่งโสตทวาร ดังนี้ จึงจะถูก.
บรรดาบททั้ง 3 ตามที่กล่าวมานั้น เพราะเหตุที่เอวํศัพท์ ใช้เคียง

กับสุตศัพท์ พึงส่องถึงกิริยา คือการฟัง ฉะนั้น บทว่า เอวํ* เป็นคำ
แสดงไขถึงกิจแห่งวิญญาณที่เป็นไปทางโสตทวาร มีโสตวิญญาณและ
สัมปฏิจฉนะ เป็นต้น และแห่งวิญาณที่เป็นไปทางมโนทวาร อันวิญ-
ญาณทางโสตทวารนั้นนำมา. บทว่า เม เป็นบทแสดงไขถึงบุคคลผู้พรั่ง-
พร้อมด้วยวิญญาณดังกล่าวแล้ว. จริงอยู่ พากย์คือคำพูดที่เป็นประโยค
ทุกพากย์ประกอบด้วยอรรถแห่ง เอวํ อักษรนั่งเอง เพราะพากย์เหล่านั้น
มีอวธารณะเป็นผล. บทว่า สุตํ เป็นบทแสดงไขถึงการถือเอา ไม่ยิ่งไม่
หย่อนและไม่วิปริต จากการปฏิเสธการไม่ได้ยิน. เหมือนอย่างว่า การ
พึงควรจะกล่าวว่า สุตเมว ฉันใด การฟังนั้นก็ฉันนั้น เป็นการฟังถูกต้อง
คือ เป็นการถือเอาไม่หย่อน ไม่ยิ่ง และไม่วิปริต. อีกอย่างหนึ่ง เสียง
ที่บ่งถึงอรรถโดยส่องถึงอรรถในลำดับแห่งเสียง เพราะเหตุนั้น ในฝ่ายนี้
เพราะเหตุที่สุตศัพท์นี้มีอรรถที่ท่านกล่าวไว้ดังนี้ว่า อสุตํ น โหติ การ
ไม่ได้ยิน ไม่มี ฉะนั้น บทว่า สุตํ จึงเป็นบทแสดงไขถึงการถือเอาไม่
หย่อน ไม่ยิ่ง และไม่วิปริต โดยปฏิเสธภาวะที่ไม่ได้ยิน. พระเถระกล่าว
อธิบายคำนี้ไว้ดังนี้ เราได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ เราไม่ได้เห็น เราไม่ทำให้
แจ้งด้วยสยัมภูญาณ หรือเราไม่ได้มาโดยประการอื่น. อีกอย่างหนึ่ง เรา
ได้ฟังมาแล้วทีเดียว และการฟังนั้นแลเป็นการฟังชอบแท้. อีกอย่างหนึ่ง
ในเอวํศัพท์ซึ่งมีอวธารณะเป็นอรรถ ก็มีอรรถโยชนา การประกอบความ
ดังว่ามานี้. สุตศัพท์ที่เพ่งถึงเอวํศัพท์นั้น มีอรรถแน่นอน เพราะฉะนั้น
สุตศัพท์ซึ่งบ่งถึงเอวํศัพท์นั้น พึงทราบว่า ปฏิเสธภาวะที่ไม่ได้ยิน และ
* สิงหลว่า- ฉะนั้น บทว่า เอวํ เป็นคำแสดงถึงกิจแห่งวิญญาณทางมโนทวารอันเกิดขึ้นแล้ว
ในลำดับแห่งวิญญาณทางโสตทวาร มีโสตวิญญาณและสัมปฏิจฉนะเป็นต้น.

ว่าเป็นการแสดงไขถึงการถือเอาไม่หย่อน ไม่ยิ่ง และไม่วิปริต ดังนั้น
พึงเห็นว่าท่านกระทำอรรถโยชนาแห่งศัพท์ทั้ง 3 แม้ด้วยอำนาจแห่งการ
ฟัง เหตุแห่งการฟัง และความแปลกกันแห่งการฟัง.
อนึ่ง บทว่า เอวํ เป็นการประกาศภาวะแห่งวิญญาณวิถีที่เป็นไป
ตามกระแสแห่งโสตวิญาณนั้น เป็นไปในอารมณ์โดยประการต่างๆ
โดยการยึดเอาอรรถและพยัญชนะต่างๆ เพราะทำอธิบายว่า เอวํศัพท์
มีอาการเป็นอรรถ. บทว่า เม เป็นนทประกาศอรรถ. บทว่า สุตํ เป็น
บทประกาศธรรม เพราะวิญญาณวิถีตามที่กล่าวแล้วมีปริยัติธรรมเป็น
อารมณ์. จริงอยู่ ในข้อนี้มีความสังเขปดังต่อไปนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ
กิจอย่างอื่น แต่กระทำกิจนี้ ธรรมนี้ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วด้วยวิญญาณวิถีอัน
เป็นไปในอารมณ์โดยประการต่าง ๆ อันเป็นตัวเหตุ.
อนึ่ง บทว่า เอวํ เป็นการประกาศอรรถที่พึงแสดงไข เพราะ
อธิบายว่า เอวํ ศัพท์มีนิทัสสนะเป็นอรรถ เพราะจะต้องแสดงไขอรรถ
ที่ควรแสดงไข. เพราะฉะนั้น พระสูตรแม้ทั้งสิ้นพึงทราบว่ายึดเอาแล้ว
ด้วยเอวํศัพท์. บทว่า เม เป็นการประกาศบุคคล. บทว่า สุตํ เป็นการ
ประกาศกิจของบุคคล. จริงอยู่ กิริยาที่ฟัง เมื่อได้ด้วยสุตศัพท์ย่อมเนื่อง
ด้วยโสตวิญญาณจิต และในข้อนั้น ย่อมได้การบัญญัติถึงบุคคล แต่ใน
สิ่งที่เนื่องกับธรรมอันเว้นจากบัญญัติถึงบุคคล ย่อมไม่ได้กิริยาคือการฟัง.
สุตศัพท์นั้น มีเนื้อความโดยย่อดังนี้ว่า ข้าพเจ้าจักแสดงไขพระสูตรใด
พระสูตรนั้นข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้.
อนึ่ง บทว่า เอวํ เป็นบทแสดงอาการต่าง ๆ ของจิตสันดานที่ยึด
เอาอรรถและพยัญชนะต่าง ๆ โดยความเป็นไปแห่งอารมณ์ต่าง ๆ เพราะ

อธิบายว่า เอวํศัพท์มีอาการเป็นอรรถนั้นเอง. จริงอยู่ การบัญญัติอาการ
ว่า เอวํ นี้ เพราะอาศัยอาการแห่งความเป็นไปนั้น ๆ ของธรรมทั้งหลาย
แล้วจึงบัญญัติขึ้นเป็นสภาวะ. บทว่า เม เป็นการแสดงถึงกัตตุผู้ทำ.
บทว่า สุตํ เป็นการแสดงถึงอารมณ์. จริงอยู่ ธรรมที่ควรฟังเป็นตั้ง
แห่งความเป็นไปด้วยสามารถแห่งกิริยา คือการฟังของบุคคลผู้กระทำ
กิริยาคือการฟัง. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นอันแสดงความตกลงแห่งการ
รับอารมณ์ของผู้ทำผู้พรั่งพร้อมด้วยกิริยา คือการฟังนั้น ด้วยจิตสันดาน
อันเป็นไปโดยประการต่าง ๆ.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า เอวํ แสดงกิจของบุคคล. จริงอยู่ ด้วย เอวํ
ศัพท์มีการประกาศนิทัสสนะหรืออวธารณะ อันมีอาการยึดเอาธรรม
ที่ได้ฟังแล้วเป็นสภาวะ เป็นอันแสดงไขถึงกิจของบุคคลโดยภาวะแห่ง
การยึดถือบัญญัติว่าบุคคล และการขวนขวายในธรรมของการทรงอาการ
นั้น เป็นต้นแล. บทว่า สุตํ แสดงไขกิจของวิญญาณ. จริงอยู่ กิริยา
คือการฟัง แม้ของผู้มีวาทะว่าบุคคล ไม่มุ่งถึงวิญาณก็หามิได้. บทว่า
เม เป็นการแสดงถึงบุคคลผู้ประกอบกิจทั้งสอง. จริงอยู่ ความเป็นไป
แห่งศัพท์ว่า เม เป็นอารมณ์พิเศษแห่งสัตว์โดยส่วนเดียวเท่านั้น และ
กิจของวิญญาณก็พึงประชุมลงในที่นั้นนั่นแล. ส่วนความย่อในข้อนี้มีดังนี้
ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้ว โดยโวหารแห่งสวนกิจที่บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วย
โสตวิญญาณกิจได้แล้วด้วยอำนาจวิญญาณ.
อนึ่ง บทว่า เอวํ และ เม ชื่อว่า อวิชชมานบัญญัติ บัญญัติในสิ่ง
ที่ไม่มีด้วยอำนาจสัจฉิกัตถปรมัตถ์. ก็เพราะประโยชน์ทั้งปวงที่จะพึงบรรลุ
ด้วยศรัทธา จำต้องปฏิบัติโดยมุขแห่งบัญญัติเท่านั้น ชื่อว่า เป็นความผิด

พลาดแห่งบัญญัติทั้งปวง และในบัญญัติ 6 มีวิชชมานบัญญัติเป็นต้น
เพราะฉะนั้น อรรถที่ไม่เป็นจริงอันใดเหมือนกลลวง มีมายาและพยับแดด
เป็นต้น และอรรถมิใช่อุดมเหมือนจะพึงถือเอาด้วยอาการที่ฟังตามกันมา
เป็นต้น หามีไม่ อรรถนั้นมีสภาวะเป็นปรมัตถ์ มีรูปารมณ์ สัททารมณ์
และรสารมณ์เป็นต้น และมีการสลาย การเสวยอารมณ์เป็นต้น ย่อมมีโดย
สัจฉิกัตถปรมัตถ์. ก็อรรถคืออาการเป็นต้นที่กล่าวว่า เอวํ และ เม มี
สภาวะมิใช่ปรมัตถ์ เมื่อไม่เข้ากับสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ชื่อว่าอวิชชมาน-
บัญญัติ. เพราะฉะนั้น สิ่งที่ท่านทั้งหลายได้นิทเทสว่า เอวํ หรือ เม จะ
มีอยู่โดยปรมัตถ์ได้อย่างไร. บทว่า สุตํ ได้แก่ วิชชมานบัญญัติ บัญญัติ
สิ่งที่มีอยู่ จริงอยู่ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ได้โดยโสตวิญญาณนั้น โดยปรมัตถ์ ชื่อว่า
วิชชมานบัญญัติแล.
อนึ่ง บทว่า เอวํ ชื่อว่าอุปาทายบัญญัติ โดยอาศัยธรรมที่มา
ปรากฏทางโสตทวารแล้วยึดเอาอาการคือการทรงจำธรรมเหล่านั้นเป็นต้น .
บทว่า เม ชื่อว่าอุปาทายบัญญัติ เพราะจำต้องกล่าวอาศัยขันธ์ที่นับเนื่อง
ในสันตติอันพิเศษโดยความแปลกกันแห่งการกระทำเป็นต้น. บทว่า สุตํ
ชื่อว่าอุปนิธานบัญญัติ เพราะจำกล่าวเข้าไปยึดเอาทิฐิเป็นต้น. บัญญัติ
ว่าสุตะแม้เป็นไปในสัททายตนะที่เว้นจากสภาวะ มีรูปที่เห็นแล้วเป็นต้น ก็
จำต้องกล่าวยึดเอารูปที่เห็นเป็นต้น เพราะไม่เพ่งรูปที่เห็นแล้ว อารมณ์ที่
ทราบแล้ว และธรรมที่รู้แจ้งแล้ว ก็รู้แจ้งว่า สิ่งนั้นเราฟังแล้วเหมือน
โวหารว่าที่ 2 และที่ 3 เป็นต้น ก็จำต้องกล่าวยึดเอาที่ 1 เป็นต้น . ก็
บทว่า สุตํ ในคำว่า อสุตํ น โหติ นี้มีอรรถที่ท่านกล่าวไว้เพียงเท่านี้แล.

ก็ในคำเหล่านั้น ด้วยคำว่า เอวํ พระเถระแสดงถึงความไม่หลงลืม.
จริงอยู่ ความแปลกกันโดยประการแห่งพระสูตรที่คนรู้แจ้งแล้ว ท่านพระ-
อานนท์ยึดเอาในคำว่า เอวํ นี้ ย่อมเป็นอันท่านพระอานนท์แสดงถึงความ
ไม่หลงลืมด้วย เอวํ ศัพท์นั้น. จริงอยู่ ท่านผู้หลงลืมย่อมไม่สามารถเพื่อจะ
แทงตลอดโดยประการต่าง ๆ. ท่านแสดงประการต่างๆ และประการที่รู้ได้
ยากด้วยอำนาจปัจจยาการว่า พระสูตร. ด้วยคำว่า สุตํ ท่านแสดงถึงความ
ไม่หลงลืมเรื่องที่ได้ฟังมาแล้ว เพราะอาการแห่งเรื่องที่ได้ฟังมาแล้ว ท่าน
แสดงไว้ตามความเป็นจริง. ก็พระสูตรที่ผู้ใดฟังมาแล้วลืมเสีย ผู้นั้นย่อม
ปฏิญญาไม่ได้ว่า เราได้ฟังมาแล้วในกาลอื่น. ดังนั้น ความสำเร็จแห่ง
ปัญญาในกาลยิ่งกว่านั้นย่อมมีด้วยความไม่หลงลืม ของพระเถระคือไม่มี
ความหลงลืม หรือด้วยปัญญานั้นเองอันเกิดแต่การสดับ ความสำเร็จแห่งสติ
ย่อมมีด้วยความไม่หลงลืมเหมือนกัน. พึงทราบอธิบายในข้อนั้นว่า สติซึ่ง
มีปัญญาเป็นประธาน สามารถห้ามความอื่นโดยพยัญชนะ. จริงอยู่ อาการ
ของพยัญชนะที่จะพึงรู้แจ้งแทงตลอด เป็นอาการไม่ลึกนัก การทรงจำสุตะ
ตามที่ได้ฟังมา จึงเป็นกรณียกิจในข้อนั้น เพราะฉะนั้น สติจึงมีความ
ขวนขวายยิ่งกว่า ส่วนปัญญาเป็นตัวคุณในความพยายามของสตินั้น เพราะ
อธิบายว่า เป็นตัวนำของปัญญา. พึงทราบความที่ปัญญามีสติเป็นตัวนำ
สามารถแทงตลอดอรรถได้. จริงอยู่ อาการที่จะพึงแทงตลอดอรรถได้เป็น
อาการลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงมีความพยายามยิ่ง ส่วนสติเป็นตัว
คุณในความพยายามของปัญญานั้น เพราะอธิบายว่า เป็นตัวนำแห่งสติ.
พึงทราบความสำเร็จแห่งความเป็นธรรมภัณฑาคาริก ด้วยความสามารถ
ตามรักษาคลังธรรมอันสมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะ เพราะประกอบ

ด้วยความสามารถของสติและปัญญาทั้งสองนั้น.
อีกนัยหนึ่ง ท่านแสดงโยนิโสมนสิการด้วยคำว่า เอวํ ก็ความสำเร็จ
อันไม่วิปริตแห่งอรรถของอาการ นิทัสสนะ และอวธารณะ ที่กล่าวด้วย
บทว่า เอวํ นั้น ส่องถึงการแทงตลอดมีประการต่าง ๆ ซึ่งจะกล่าวข้างหน้า
เพราะมีธรรมเป็นอารมณ์. ความจริง การแทงตลอดโดยประการต่าง ๆ
โดยอโยนิโสมนสิการ ย่อมมีไม่ได้. ท่านแสดงถึงความไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยคำ-
วา สุตํ. การฟังพระสูตรที่กล่าวไว้ที่จัดเป็นปกรณ์ด้วยอำนาจคำถามมีอาทิว่า
ปฐมโพธิสูตรท่านกล่าวไว้ในที่ไหน เว้นความตั้งมั่นเสียแล้ว ย่อมมีไม่ได้
เพราะจิตฟุ้งซ่าน จริงอย่างนั้น บุคคลผู้มีจิตฟุ้งซ่าน แม้เขาจะกล่าวด้วย
สมบัติทุกอย่างก็พูดว่า เราไม่ได้ยิน ท่านจงพูดใหม่. ก็ด้วยการใส่ใจโดย
แยบคายในข้อนี้ ย่อมยังอัตตสัมมาปณิธิและปุพเพกตปุญญตาให้สำเร็จ
เพราะผู้ที่มิได้ตั้งคนไว้ชอบและมิได้ทำบุญไว้ในปางก่อนไม่มีโยนิโสมนสิการ
นั้น เพราะความไม่ฟุ้งซ่าน. ย่อมให้สำเร็จการฟังพระสัทธรรมและการ
คบหาสัปบุรุษ เพราะผู้ที่ไม่ได้สดับและไม่คบหาสัปบุรุษไม่มีโยนิโสมนสิการ
นั้น ด้วยว่า ผู้มีจิตฟุ้งซ่านไม่สามารถฟังได้และผู้ที่ไม่คบหาสัปบุรุษก็ไม่มี
การได้ฟังแล.
อีกนัยหนึ่ง ท่านกล่าวว่า (นั้น) เป็นการแสดงไขจิตสันดานที่
ถือเอาอรรถและพยัญชนะต่าง ๆ ด้วยความเป็นไปโดยประการต่าง ๆ ก็
เพราะเหตุที่จิตสันดานนั้น คือ อาการอันเจริญอย่างนี้ เป็นเครื่องการทำ
ประโยชน์เกื้อกูลของผู้อื่นให้บริบูรณ์ทุกอย่าง ด้วยการหยั่งลงสู่ศาสนสมบัติ
ทั้งสิ้น ด้วยการกำหนดประเภทอรรถและพยัญชนะแห่งพระดำรัสของพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ไม่ตั้งตนไว้ชอบ หรือผู้มิได้ทำบุญไว้

ในปางก่อน ฉะนั้น ด้วยอาการอันเจริญว่า เอวํ นี้ พระเถระแสดงจักร
สมบัติ 2 ข้อ หลังของตน ด้วยการประกอบการฟังว่า สุตํ พระเถระ
แสดงจักรสมบัติ 2 ข้อแรก. ความจริง ผู้อยู่ในประเทศอันไม่สมควร
หรือผู้เว้นจากการคบสัปบุรุษ ย่อมไม่มีการฟัง. ดังนั้น ความบริสุทธิ์
แห่งอัธยาศัยของพระเถระ ย่อมสำเร็จด้วยสำเร็จแห่งจักร 2 ข้อหลัง ผู้ที่
ตั้งตนไว้ชอบและผู้ได้บำเพ็ญบุญไว้ในปางก่อน ย่อมเป็นผู้มีอัธยาศัยบริ-
สุทธิ์ เพราะกิเลสอันเป็นเหตุไม่บริสุทธิ์นั้นอยู่ห่างไกล. จริงอย่างนั้น
ท่านจึงกล่าวไว้ว่า สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ เสยฺยโส นํ ตโต กเร จิตที่ตั้ง
ไว้ชอบ พึงทำเขาให้ประเสริฐกว่านั้น และว่า ดูก่อนอานนท์ เธอเป็นผู้
ได้ทำบุญแล้วจงหมั่นประกอบความเพียร เธอจักเป็นผู้มีอาสวะโดยเร็ว
พลัน . ความสำเร็จแห่งการประกอบ เพราะความสำเร็จแห่งจักร 2 ข้อ
แรก. ก็การประกอบอันบริสุทธิ์ ย่อมมีได้ด้วยการดำเนินตามทิฏฐานุคติ
ของสาธุชน โดยการอยู่ในประเทศอันสมควร และโดยการคบหาสัปปุรุษ.
ก็การสำเร็จด้วยการเป็นเชี่ยวชาญในอธิคม ย่อมมีได้ด้วยความบริสุทธิ์
แห่งอัธยาศัยนั้น เพราะตนได้ชำระสะสางสังกิเลส คือ ตัณหาและทิฏฐิใน
กาลก่อนเรียบร้อยแล้ว การสำเร็จด้วยการเชี่ยวชาญในอาคม ย่อมมีได้
ด้วยความบริสุทธิ์แห่งการประกอบ. จริงอยู่ บุคคลผู้มีกายประโยคและ
วจีประโยคอันบริสุทธิ์ดีแล้ว ชื่อว่ามีจิตไม่ฟุ้งซ่านเพราะไม่มีความเดือด
ร้อน ย่อมเป็นผู้ฉลาดในปริยัติ. ดังนั้น คำของผู้บริสุทธิ์ ด้วยการประกอบ
และอัธยาศัย ผู้สมบูรณ์ด้วยอาคมและอธิคม จึงควรจะเป็นเบื้องต้นแห่ง
พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนอรุณขึ้นเป็นเบื้องต้นแห่งพระ-
อาทิตย์ขึ้น และเหมือนโยนิโสมนสิการเป็นเบื้องต้นแห่งกุศลกรรม เพราะ-

ฉะนั้น ท่านพระอานนท์เมื่อจะทั้งนิทาน (คำเริ่มต้น) ในฐานะอันควร
จึงกล่าวคำมีอาทิว่า เอวมฺเม สุตํ.
อีกนัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์แสดงสภาวะแห่งสมบัติ คือ อัตถ-
ปฏิสัมภิทาและปฏิภาณปฏิสัมภิทาของตน ด้วยคำอันแสดงถึงความรู้แจ้ง
ด้วยประการต่าง ๆ โดยนัยดังกล่าวแล้วในก่อน ด้วยคำว่า เอวํ นี้ แสดง
สภาวะคือสมบัติแห่งธัมมปฏิสัมภิทาและนิรุตติปฏิสัมภิทา โดยการเทียบ
เคียง เอวํ ศัพท์ หรือโดยคำที่แสดงถึงการแทงตลอดประเภทที่ควรฟัง
ด้วยการเพ่งคำที่จะกล่าวถึง ด้วยคำว่า สุตํ นี้. ก็พระเถระเมื่อจะกล่าวถึง
คำที่แสดงโยนิโสมนสิการว่า เอวํ นี้ โดยนัยดังกล่าวแล้ว จึงแสดงว่า
ธรรมเหล่านี้ เราเพ่งด้วยใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ. จริงอยู่ ปริยัติธรรม
เราเพ่งด้วยใจโดยนัยมีอาทิว่า ศีลตรัสไว้ในที่นี้ สมาธิตรัสไว้ในที่นี้
ปัญญาตรัสไว้ในที่นี้ อนุสนธิในที่นี้มีประมาณเท่านี้ กำหนดแทงตลอด
ด้วยดี ซึ่งรูปธรรมและอรูปธรรม ซึ่งตรัสไว้ในที่นั้น ๆ โดยนัยมีอาทิว่า
รูปมีดังนี้ รูปมีประมาณเท่านี้ ด้วยทิฏฐิอันประกอบด้วยการตรึกตามอาการ
ที่ได้ฟังกันมา อันเป็นการทนท่อการเพ่งธรรม หรือกล่าวคือญาตปริญญา
ย่อมนำหิตสุขแก่ตนและคนเหล่าอื่น. พระเถระเมื่อจะกล่าวคำอั้นแสดงถึง
การประกอบในการฟังว่า สุตํ นี้ จึงแสดงว่าธรรมเป็นอันมากเราได้ฟังแล้ว
ทรงจำไว้แล้วคล่องปากแล้ว. จริงอยู่ การฟัง การทรงจำและการสะสม
พระปริยัติธรรม เนื่องด้วยการเงี่ยโสตสดับ. แม้ด้วยบททั้งสองนั้น พระ-
เถระเมื่อแสดงความบริบูรณ์แห่งอรรถและพยัญชนะ โดยความเป็นธรรมที่
พระองค์ตรัสดีแล้ว ชื่อว่าให้เกิดความเอื้อเฟื้อในการฟัง. จริงอยู่ คนที่
ไม่ได้ฟังธรรมที่สมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะโดยเอื้อเฟื้อ ย่อมเป็นผู้

เหินห่างจากประโยชน์อันยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้น พึงให้เกิดความเอื้อเฟื้อ
ก่อนแล้วจึงสดับธรรมโดยเคารพ.
ก็ด้วยคำทั้งสิ้นว่า เอวมฺเม สุตํ นี้ ท่านพระอานนท์เมื่อไม่ทรงจำ
ธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วสำหรับตน ย่อมก้าวไปสู่ภูมิอสัปปุรุษ
เมื่อปฏิญาณตนว่าเป็นสาวก ชื่อว่าก้าวลงสู่ภูมิสัปบุรุษ. อนึ่ง ชื่อว่าย่อม
ทำจิตให้ออกจากอสัทธรรม และทำจิตให้ตั้งอยู่ในพระสัทธรรม. พระเถระ
เมื่อจะแสดงว่า สูตรนี้เราฟังมาแล้วทั้งสิ้น ทั้งเป็นพระดำรัสของพระผู้มี-
พระภาคเจ้าพระองค์นั้นเอง ชื่อว่าย่อมปลดเปลื้องตน อ้างถึงพระศาสดา
ยึดมั่นพระดำรัสของพระชินเจ้าให้แบบแผนธรรมประดิษฐานอยู่. อีกอย่าง
เมื่อไม่ปฏิญาณว่าตนให้เกิดขึ้นเองด้วยคำว่า เอวมฺเม สุตํ เมื่อจะเปิดเผย
คำที่ฟังมาก่อน จึงคิดว่าคำนี้เราได้รับมาเฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้แกล้วกล้าในเวสารัชชญาณ 4 ผู้ทรงทศพลญาณ
ผู้ดำรงอยู่ในฐานผู้องอาจ ผู้บันลือสีหนาท ผู้สูงสุดแห่งสรรพสัตว์ ผู้เป็น
ธรรมิศร ธรรมราชา ผู้เป็นอธิบดีในธรรม ผู้เป็นประทีปแห่งธรรม
ผู้เป็นธรรมสรณะ ผู้เป็นจักรพรรดิแห่งพระสัทธรรมอันประเสริฐ ผู้ตรัสรู้
โดยชอบและด้วยพระองค์เอง ในข้อนี้ เราไม่ควรทำความกังขา หรือความ
เคลือบแคลงในอรรถ ธรรม บท หรือพยัญชนะ ทำความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา
ในธรรมนี้ ของเทวดาและมนุษย์ทั้งปวงให้พินาศ ให้เกิดสัทธาสัมปทาขึ้น
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำนี้ ไว้ว่า
วินาสยติ อสฺสทฺธํ สทฺธํ วฑฺเฒติ สาสเน
เอวมฺเม สุตมิจฺเจวํ วทํ โคตมสาวโก.

สาวกของพระโคดมเมื่อกล่าวคำอย่างนี้ว่า เอวมฺ-
เม สุตํ ย่อมชื่อว่ายังความไม่มี ศรัทธาให้พินาศ ยัง
ศรัทธาให้เจริญในพระศาสนา
บทว่า เอกํ เป็นการแสดงไขกำหนดการนับ. จริงอยู่ เอก ศัพท์นี้
ปรากฏในอรรถว่า อัญญะ เสฏฐะ อสหายะ และ สังขยา เป็นต้น.
จริงอย่างนั้น เอก ศัพท์นี้ปรากฏในอรรถว่า อัญญะ (อื่น) ในประโยคมี
อาทิว่า คนอีกพวกหนึ่งกล่าวย้ำดังนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง สิ่งนี้เท่านั้น
จริง สิ่งอื่นเปล่า. ปรากฏในอรรถว่า เสฏฐะ (ประเสริฐสุด) ในประโยค
มีอาทิว่า ความที่จิตเป็นเอกผุดขึ้น. ปรากฏในอรรถว่า อสหายะ (ไม่มี
เพื่อน) ในประโยคมีอาทิว่า ผู้เดียว หลีกออกแล้ว. ปรากฏในอรรถว่า
สังขยา (นับ) ในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะและสมัยหนึ่ง
แล เพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์. แม้ในที่นี้ พึงเห็นว่าใช้ในการนับ
นั่นแหละ. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บทว่า เอกํ เป็นการแสดง
กำหนดการนับ. บทว่า สมยํ เป็นบทแสดงไขเวลาที่กำหนดไว้. บทว่า
เอกํ สมยํ เป็นการแสดงเวลาที่ไม่กำหนดแน่นอน. ในคำว่า เอกํ สมยํ
นั้น สมยศัพท์ใช้ในอรรถ 9 อย่าง คือ สมวายะ 1 ขณะ 1 กาล 1
สมุหะ 1 เหตุ 1 ทิฏฐิ 1 ปฏิลาภะ 1 ปหานะ 1 ปฏิเวธะ 1

จริงอย่างนั้น สมยศัพท์นั้น มี สมวายะ(พร้อมเพรียง) เป็น
อรรถ ในประโยคมีอาทิอย่างนี้ว่า ผิไฉนหนอ แม้พรุ่งนี้ เราพึงอาศัย
กาลและความพร้อมเพรียงเข้าไปหา. อธิบายว่า ได้กาลอันควร และความ
พร้อมเพรียงแห่งปัจจัยเพราะฉะนั้น พึงทราบปัจจัยสมวายะ (ความพร้อม
เพรียงแห่งปัจจัย).

มี ขณะ เป็นอรรถ ในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็
ขณะและสมัยอันหนึ่งแล เพื่อความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ อธิบายว่า
โอกาส. จริงอยู่ โอกาสของมรรคพรหมจรรย์ มีการอุบัติขึ้นแห่งพระ
ตถาคตเป็นต้น เพราะเป็นเหตุให้ไค้มรรคพรหมจรรย์นั้นเป็นปัจจัย.
อธิบายว่า ก็สมัยคือขณะ ที่ท่านเรียกว่าขณะและสมัยนั้นเป็นอันเดียวกัน
นั้นเอง.
มี กาล (เวลา) เป็นอรรถ ในประโยคมีอาทิว่า เวลาร้อน เวลา
กระวนกระวาย. มีสมุหะ (ประชุม) เป็นอรรถ ในประโยคมีอาทิว่า มี
การประชุมใหญ่ในป่าใหญ่. จริงอยู่ บทว่า มหาสมโย ความว่า เป็น
ที่ประชุมใหญ่แห่งภิกษุและเทวดาทั้งหลาย.
มีเหตุเป็นอรรถ ในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภัททาลิ แม้เหตุแล
เป็นอันท่านมิได้แทงตลอดแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าแล ประทับอยู่ใน
กรุงสาวัตถี แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็จักทราบว่า ภิกษุชื่อว่าภัททาลิ ไม่
ทำให้บริบูรณ์ในสิกขา ในศาสนาของพระศาสดา ดูก่อนภัททาลิ เหตุแม้
นี้แลเป็นอันเธอไม่ได้แทงตลอดแล้ว. จริงอยู่ เหตุแห่งสิกขาบทท่าน
ประสงค์เอาว่า สมยะ ในที่นี้.
มีทิฏฐิเป็นอรรถ ในประโยคมีอาทิว่า ก็โดยสมัยนั้นแล อุคคาห-
มานปริพาชก สมณมุณฑิกาบุตร อาศัยอยู่ในอารามของพระนางมัลลิกา
มีศาลาหลังเดียว มีต้นมะพลับเรียงราย เป็นที่สอนทิฏฐิ. จริงอยู่ เดียรถีย์
ทั้งหลายนั่งที่อาราม ซึ่งมีศาลาหลังเดียวนั้น บอกสมัยกล่าวคือทิฏฐิของ
ตน ๆ เพราะฉะนั้น อารามของปริพาชกนั้น ท่านจึงเรียกว่าเป็นที่สอน
ทิฏฐิ.

มีปฏิลาภะ. (การได้เฉพาะ) เป็นอรรถ ในประโยคมีอาทิว่า
นักปราชญ์ท่านเรียกว่าบัณฑิต เพราะได้ประ-
โยชน์ทั้ง 2 ข้อ คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน 1 ประโยชน์
ในภพหน้า 1.

จริงอยู่ บทว่า อตฺถาภิสมยา ความว่า เพราะได้ประโยชน์ทั้ง-
สองนั้น. มีปหานะ (การละ) เป็นอรรถ ในประโยคมีอาทิว่า ท่านทำที่-
สุดทุกข์ได้แล้ว เพราะละมานะโดยชอบ. อภิสมัยชื่อว่าปหานะ ในคำว่า
อธิกรณะ (การทำให้ยิ่ง) สมยะ (การละ) วูปสมะ (การเข้าไปสงบ)
อปคมะ (การไปปราศ).
มี ปฏิเวธะ (การแทงตลอด) เป็นอรรถ ในประโยคมีอาทิว่า ทุกข์
มีอรรถว่าบีบคั้น มีอรรถว่าถูกปัจจัยปรุงแต่ง มีอรรถว่าทำให้เร่าร้อน
มีอรรถว่าแปรปรวน มีอรรถว่าแทงตลอด. จริงอยู่ การแทงตลอดชื่อว่า
อภิสมยะ เพราะจำต้องแทงตลอด. อรรถ คือ อภิสมยะ. ชื่อว่าอภิสมยัฏฐะ
เพราะเหตุนั้น ทุกข์มีการบีบคั้นเป็นต้น ท่านกล่าวรวมเป็นอันเดียวกัน
เพราะจำต้องรู้แจ้งแทงตลอด. อีกอย่างหนึ่ง อรรถอันเป็นอารมณ์แห่ง
อภิสมยะ คือ การแทงตลอด ชื่อว่าอภิสมยัฏฐะ อรรถคือการแทงตลอด
เพราะเหตุนั้น การบีบคั้นเป็นต้นนั้นนั่นแหละ. ท่านจึงกล่าวไว้อย่างนั้น
โดยความเป็นอันเดียวกัน. ในอรรถเหล่านั้น ทุกขสัจเบียดเบียนคนผู้
พรั่งพร้อมด้วยทุกขสัจนั้น คือ กระทำให้เจริญไม่ได้ ชื่อว่าเบียดเบียน.
ความแผดเผา คือ ความเร่าร้อนด้วยอำนาจทุกข์ และความเป็นทุกข์เป็นต้น
ชื่อว่าความเร่าร้อน.
ก็ในข้อนี้ สมัย ชื่อว่า สมวายะ เพราะความสำเร็จ เพราะมีเหตุที่มี

การกระทำร่วมกัน ย่อพร้อมกัน คือพร้อมเพรียงกัน. สมัย ชื่อว่าขณะ.
เพราะเป็นที่พร้อมกันคือมาพร้อมกันแห่งมรรคพรหมจรรย์ โดยบุคคลผู้
ทรงไว้ซึ่งมรรคพรหมจรรย์นั้น. สมัย ชื่อว่ากาล เพราะเป็นที่ไปพร้อมกัน
หรือเป็นเหตุไปร่วมกันแห่งสัตว์หรือแห่งสภาวธรรม โดยขณะมีอุปาทขณะ
เป็นต้น หรือโดยสัมปยุตธรรมมีสหชาตธรรมเป็นต้น. จริงอยู่ เมื่อว่าโดย
อรรถ กาลแม้จะไม่มีจริงโดยภาวะสักว่าเป็นไปตามธรรม ท่านเรียกโดย
ความสมควรอันสำเร็จมาเพียงความดำริแห่งความเป็นไปของธรรม เหมือน
อธิกรณะ (เป็นที่) และกรณสาธนะ (เป็นเหตุ) แล. สมัย ชื่อว่า สมุหะ
เพราะไป คือเป็นไป ความตั้งอยู่แห่งอวัยวะทั้งหลายเสมอกันหรือพร้อมกัน
เหมือนการประชุมแล. จริงอยู่ การตั้งลงพร้อมกันแห่งอวัยวะนั้นแหละ
ชื่อ สมุหะ (การประชุม) สมัย ชื่อว่า เหตุ เพราะเป็นแดนไป คือเกิด
ขึ้นเป็นไปแห่งผล ในเมื่อมีการประชุมแห่งปัจจัยทั้งหมด เหมือนสมุทัย
แดนเกิดขึ้นแล. สมัย ชื่อว่า ทิฏฐิ เพราะไปพร้อมกัน คือเกี่ยวพันกัน
ไปโดยภาวะเป็นสังโยชน์ เป็นไปในอารมณ์ของตน. อีกอย่างหนึ่ง เพราะ
เป็นเครื่องประกอบโดยภาวะยึดมั่นไป คือเป็นไปตามที่ยึดมั่นของสัตว์
ทั้งหลาย. จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายถูกทิฏฐิสังโยชน์ผูกมัดไว้อย่างเหนียวแน่น
แล. สมัย ชื่อว่า ปฏิลาภะ เพราะการประชุม การประจวบ การรวมลง.
สมัย ชื่อว่า ปหานะ เพราะหายไป สาบสูญไป ปราศจากไป. อนึ่ง
สมัย ชื่อว่า อภิสมยะ เพราะเป็นสมัยยิ่งโดยละได้เด็ดขาด เหมืนอภิธรรม
แล. ชื่อว่า อภิสมยะ เพราะพึงถึง คือพึงบรรลุโดยญาณเฉพาะหน้า ได้แก่
หยั่งรู้ ถึงสภาวะแห่งธรรมที่ไม่แปรผัน. ชื่อว่า อภิสมยะ เพราะไป คือ
บรรลุ ตรัสรู้ โดยภาวะเฉพาะหน้า คือโดยชอบ ได้แก่ความหยั่งรู้สภาวะ

ตามเป็นจริงแห่งธรรม. พึงทราบความเป็นไปแห่ง สมยศัพท์ ใน
อรรถนั้น ๆ ด้วยอาการอย่างนี้.
พึงทราบเหตุในการขยายอรรถแห่ง สมยศัพท์ เพิ่ม อภิสมยศัพท์.
เข้า โดยนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล. แต่ในที่นี้ สมยศัพท์ ชื่อว่ามีกาลเป็น
อรรถ เพราะอรรถทั้ง 9 มีสมวายะเป็นต้นไม่มี. พึงทราบสมยศัพท์นั้น
ว่าเป็นกาล ในภาวะแห่งคำเริ่มต้นของเทศนา เหมือนสถานที่ผู้แสดง
และบริษัทแล. ก็เพราะเหตุที่ท่านประสงค์เอากาลว่าสมัยในที่นี้ ฉะนั้น
พระเถระจึงแสดงว่า สมัยหนึ่ง บรรดาสมัยอันเป็นประเภทแห่งกาลเช่น
ปี ฤดู เดือน ครึ่งเดือน กลางคืน กลางวัน เวลาเช้า เที่ยง เย็น
ปฐมยาม มัชฌิมยาม ปัจฉิมยาม และครู่หนึ่งเป็นต้น .
หากมีคำถามสอดเข้ามาว่า เพราะเหตุไร ในที่นี้ ท่านจึงแสดงไข
ถึงกาลโดยไม่กำหนดแน่นอนทีเดียวนั่นแล แล้วกำหนดแสดงไขโดยฤดู
และปีเป็นต้นก็หามิได้. เฉลยว่า บรรดาสมัยมีปีเป็นต้น เหล่านั้น สูตร
ใด ๆ ที่ท่านกล่าวไว้ใน ปี ฤดู เดือน ปักษ์ ส่วนราตรีหรือส่วนวัน ใด ๆ
ทั้งหมดนั้น พระเถระรู้แจ้งแล้ว คือใช้ปัญญากำหนดด้วยดีแล้ว ก็เพราะ
เหตุที่ท่านกล่าวแล้วอย่างนี้ว่า เราได้ฟังแล้วอย่างนี้ในปีโน้น ฤดูโน้น
ปักษ์โน้น ส่วนราตรีหรือส่วนวันโน้น ใคร ๆ ไม่อาจทรงจำ แสดงเอง
หรือให้ผู้อื่นแสดงได้โดยง่ายทั้งจะต้องกล่าวมากไป ฉะนั้น ท่านจึงประชุม
อรรถนั้นด้วยบทเดียวเท่านั้น แล้วกล่าวว่า เอกํ สมยํ ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง พระเถระแสดงว่า สมัยหนึ่ง กล่าวคือสมัยแสดง
ธรรม บรรดาสมัยเหล่านี้ ที่มีประเภทของกาลมากมายทีเดียว อันเป็นการ

ประกาศอย่างยิ่งในหมู่เทวดาและมนุษย์สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้ามีอาทิ
อย่างนี้ว่า
สมัยเสด็จลงสู่พระครรภ์ สมัยประสูติ สมัยสลดพระทัย สมัย
เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ สมัยทำทุกรกริยา สมัยชำนะมาร สมัย
ตรัสรู้อภิสัมโพธิญาณ สมัยประทับอยู่สำราญในปัจจุบัน สมัยแสดง
ธรรม และสมัยปรินิพพาน.

อีกอย่างหนึ่ง พระเถระกล่าวว่า สมัยหนึ่ง หมายเอาสมัยอย่างใด
อย่างหนึ่ง บรรดาสมัยเหล่านี้ คือในสมัยพำเพ็ญกิจแห่งพระปัญญาคุณ
และพระกรุณาคุณ สมัยบำเพ็ญกิจแห่งพระกรุณาคุณ ในสมัยบำเพ็ญ
ประโยชน์ส่วนพระองค์และประโยชน์ผู้อื่น สมัยบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น
ในสมัยพระกรณียกิจทั้งสองสำหรับผู้ประชุมกัน สมัยแสดงธรรมกถา ใน
สมัยแสดงธรรมและปฏิบัติธรรม สมัยแสดงธรรม.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ในสุตตันตปิฎกนี้ ท่านกระทำนิเทศด้วย
ทุติยาวิภัตติ ในอรรถแห่งอัจจันตสังโยคว่า เอกํ สมยํ ไม่กระทำเหมือน
อย่างที่ท่านกระทำนิเทศด้วยสัตตมีวิภัติ ในอภิธรรมว่า ยสฺมึ สมเย กา-
มาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ
ดังนี้ และในสุตตบทอื่นจากอภิธรรม
นี้ว่า ยสฺมึ สมเย ภิกฺขเว ภิกฺขุ วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ
ธมฺเมหิ ดังนี้ และในพระวินัย ท่านกระทำนิเทศด้วยตติยาวิภัตติว่า เตน
สมเยน
พุทฺโธ ภควา ดังนี้ ? ตอบว่า เพราะในพระอภิธรรมและ
พระวินัยนั้นมีอรรถเป็นอย่างนั้น แต่ในพระสูตรนี้มีอรรถเป็นอย่างอื่น.
จริงอยู่ ในปิฎกทั้ง 3 นั้น อรรถแห่งอธิกรณสาธนะกล่าวคืออาธาระและ
วิสยะในอภิธรรมปิฎก และในสุตตันตปิฎก นอกจากอภิธรรมปิฎกนี้

และอรรถแห่งลักษณะแห่งภาวะด้วยภาวะ กล่าวคือลักษณะแห่งกิริยาอื่น
ด้วยกิริยาย่อมมี. จริงอยู่ สมัยที่มีกาลเป็นอรรถ และมีสมุหะเป็นอรรถ
จัดเป็นอธิกรณะ. อนึ่ง กาลแห่งธรรมมีผัสสะเป็นต้นตามที่กล่าวแล้วใน
อรรถทั้งสองนั้น แม้ไม่มีอยู่โดยปรมัตถ์เพราะเป็นเพียงความเป็นไปของ
สภาวธรรม ก็ปรากฏโดยภาวะแห่งอาธาระ. เพราะธรรมที่เป็นไปในขณะ
นั้นไม่มีในกาลก่อนและอื่นจากนั้น เหมือนประโยคมีอาทิว่า ปุพฺพณฺเห
ชาโต
(เกิดเวลาเช้า) สายณฺเห ชาโต (เกิดเวลาเย็น) อรรถว่า สมุหะ
พ้นจากส่วนประกอบแม้ไม่มีอยู่โดยปรมัตถ์ ก็ย่อมปรากฏโดยภาวะแห่ง
อาธาระของส่วนประกอบทั้งหลาย โดยรูปสำเร็จเพียงความดำริ เหมือน
ในประโยคมีอาทิว่า กิ่งที่ต้นไม้ ข้าวเหนียวตั้งขึ้นที่กองข้าวเหนียว. กุศล-
จิตฝ่ายกามาวจร ย่อมเกิดในกาลใดและกลุ่มธรรมใด แม้สัมปยุตธรรม
มีผัสสะเป็นต้น ย่อมมีในกาลนั้นและกลุ่มธรรมนั้นนั่นแหละ. ในข้อนั้น
มีอธิบายเพียงเท่านี้ . อนึ่ง ภาวธรรมมีผัสสะเป็นต้น ที่กล่าวไว้ใน
อภิธรรมนั้น ท่านกำหนดด้วยภาวะแห่งสมยศัพท์ กล่าวคือ ขณะ
สมวายะ และเหตุ. เหมือนอย่างว่า ท่านกำหนดกิริยาไปด้วยการกระ
ทำการรีดน้ำนมโค ในคำว่า เมื่อแม่โคถูกรีดน้ำนมแล้ว นายโคบาลก็ไป
เมื่อแม่โคมีน้ำนม นายโคบาลก็มานี้ฉันใด แม้ในพระอภิธรรมนี้ก็ฉันนั้น
เมื่อกล่าวว่า ยสฺมึ สมเย เป็นอัน เข้าใจเนื้อความดังนี้ว่า สำหรับปรมัตถ์
จะเว้นสัตว์ก็ไม่ได้ จะไม่มีสัตว์ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น สมยศัพท์
ท่านกำหนดกิริยาคืออุปาทขณะแห่งจิต และกิริยาคือการเสวยสภาวธรรม
มีผัสสะเป็นต้น โดยมิใช่กิริยาแห่งสัตว์. อนึ่ง เมื่อสมัยใด เมื่อขณะที่ 9
ใด เมื่อเหตุมีโยนิโสมนสิการเป็นต้นใด หรือเมื่อความพรั่งพร้อมแห่ง

ปัจจัยใด มีอยู่ กามาวจรกุศลจิตย่อมเกิดขึ้น แม้สภาวธรรมมีผัสสะ
เป็นต้น ก็มีในสมัยนั้นในขณะนั้นในเหตุนั้น และในความพรั่งพร้อม
แห่งปัจจัยนั้นแล เพราะฉะนั้น จึงทำนิเทศด้วยสัตตมีวิภัตติ เพื่อส่อง
อรรถนั้น.
ส่วนในพระวินัย สมยศัพท์มีเหตุเป็นอรรถ เหมือนในประโยค
มีอาทิว่า บุคคลย่อมอยู่เพราะเหตุแห่งข้าว เพราะเหตุแห่งการเชื้อเชิญ และ
มีกรณะเป็นอรรถ เหมือนในประโยคมีอาทิว่า บุคคลย่อมตัดด้วยขวาน
ย่อมขุดด้วยจอบ. จริงอยู่ สมัยในการบัญญัติสิกขาบทอันใด แม้พระ-
ธรรมเสนาบดีเป็นต้น ก็เข้าใจได้ยาก ด้วยสมัยนั้น อันเป็นกรณะและ
เป็นเหตุ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบการล่วงละเมิด จึงให้ประชุมภิกษุ
สงฆ์ สอบถามและติเตียนบุคคลผู้เป็นต้นเหตุ เมื่อจะทรงบัญญัติสิกขาบท
โดยไม่ล่วงเลยเวลา กล่าวคือ สมัยที่ก่อเรื่องนั้น ๆ และไม่เพ่งถึงเหตุ
แห่งการบัญญัติสิกขาบท เหมือนบัญญัติตติยปาราชิกเป็นต้น แล้วประทับ
อยู่ในที่นั้น ๆ เพราะฉะนั้น จึงทำนิเทศด้วยตติยาวิภัตติไว้ในพระวินัย
เพื่อส่องอรรถนั้น . แต่สมยศัพท์ที่มีอัจจันตสังโยคเป็นอรรถย่อมมีใน
ที่นี้ และในที่อื่นซึ่งมีกำเนิดอย่างนี้. จริงอยู่ ในสมัยใด อุทานนี้เกิดพร้อม
ด้วยเหตุอันเป็นสมุฏฐาน พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ด้วยการพิจารณา
ธรรมอันมีอริยวิหารธรรมเป็นประธาน ตลอดสมัยนั้นโดยส่วนเดียว
เพราะฉะนั้น จึงกระทำนิเทศด้วยทุติยาวิภัตติ ในพระสูตรนี้ เพื่อส่องอรรถ
แห่งอุปโยคะ เหมือนในประโยคมีอาทิว่า มาสํ อชฺเณติ (ย่อมสาธยาย
ตลอดเดือน).
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำนี้ไว้ว่า

ตํ ตํ อตฺถมเวกฺขิตฺวา ภุมฺเมน กรเณน จ
อญฺญตฺถ สมโย วุตฺโต อุปโยเคน โส อิธ.
ท่านพระอานนท์พิจารณาถึงอรรถนั้น ๆ แล้วกล่าว
สมยศัพท์ไว้ในสุตตันตปิฎก และอภิธรรมปิฎก ด้วย
สัตตมีวิภัตติและตติยาวิภัตติ สมยศัพท์นั้น ท่าน-
พระอุบาลีกล่าวไว้ในวินัยปิฎกนี้ ด้วยทุติยาวิภัตติ.

ส่วนพระโปราณาจารย์ทั้งหลายพรรณนาไว้ว่า นิเทศนั่นเป็นความ
ต่างกันเพียงโวหารว่า ยสฺมึ สมเย, ว่า เตน สมเยน, หรือว่า เอกํ สมยํ
มีอรรถเป็นสัตตมีวิภัตติทุก ๆ บท. เพราะฉะนั้น แม้เมื่อท่านกล่าว เอกํ
สมยํ
ก็พึงทราบความว่า เอกสฺมึ สมเย ดังนี้.
บทว่า ภควา เป็นคำบ่งถึงครู. จริงอยู่ ชาวโลกเรียกครูว่า ภควา.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านี้เป็นครูของสรรพสัตว์ เพราะเป็นผู้วิเศษโดยคุณ
ทั้งปวง เพราะฉะนั้น พระองค์ บัณฑิตจงเฉลิมพระนามว่า ภควา
แม้พระโปราณาจารย์ทั้งหลายก็กล่าวไว้ว่า
ภควาติ รจนํ เสฏฺฐํ ภควาติ วจนมุตฺตมํ
ครุคารวยุตฺโต โส ภควา เตน วุจฺจติ.
คำว่า ภควา เป็นคำประเสริฐสุด คำว่า ภควา
เป็นคำสูงสุด พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ผู้ควรแก่ความ
เคารพโดยฐานครู เพราะฉะนั้น พระองค์ บัณฑิต
จึงเฉลิมพระนามว่า ภควา ดังนี้.

ในคำเหล่านั้น คำกล่าวว่า ประเสริฐสุด ท่านกล่าวว่า เสฏฐะ
เพราะเพียบพร้อมด้วยพระคุณอันประเสริฐ. อีกอย่างหนึ่ง อรรถชื่อว่า

วจนะ เพราะอันเขากล่าว บทว่า ภควาติ วจนํ เสฏฺฐํ ความว่า อรรถ
ที่ควรกล่าวด้วยคำว่า ภควา นี้เป็นอรรถประเสริฐ. แม้ในคำว่า ภควาติ
วจนมุตฺตมํ
นี้ พึงทราบอรรถโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ. บทว่า
คารวยุตฺโต ได้แก่ ชื่อว่าประกอบด้วยความเป็นครู เพราะประกอบด้วย
คุณฐานครู หรือชื่อว่าประกอบด้วยความเคารพ เพราะมีพระกรุณาฐาน
ครูเป็นพิเศษ ภควา นี้ พึงทราบว่าเป็นชื่อของผู้วิเศษด้วยคุณผู้สูงสุดกว่า
สัตว์และผู้ควรเคารพโดยฐานครู. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบอรรถแห่งบทว่า
ภควา โดยในที่มาแล้วในนิเทศว่า
ภคี ภชี ภาคี วิภตฺตวา อิติ
อกาสึ ภคฺคนฺติ ครูติ ภาคฺยวา
พหูหิ ญาเยหิ สุภาวิตตฺตโน
ภวนฺตโค โส ภควาติ วุจฺจติ

พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น บัณฑิตเฉลิมพระนามว่า
ภควา เพราะเป็นผู้มีโชค เป็นผู้เสพที่สงัด เป็นผู้มี
ส่วนควรรับปัจจัย เป็นผู้จำแนก ได้กระทำการหักภค
ธรรม เป็นครู เป็นผู้มีบุญบารมี เป็นผู้บรมพระองค์-
อย่างดีด้วยญายธรรมอันมาก และเป็นผู้ถึงที่สุดภพ.

และด้วยอำนาจแห่งคาถานี้ว่า
ภาคฺยา ภคฺควา ยุตฺโต ภคฺเคหิ จ วิภตฺตวา
ภตฺตวา วนฺตคมโน ภเวสุ ภควา ตโต .
พระผู้มีพระภาคเจ้า บัณฑิตเฉลิมพระนามว่า
ภควา เพราะเป็นผู้มีภาคยะ. เป็นผู้หักกิเลส เป็น
ผู้ประกอบด้วยภคธรรม เป็นผู้จำแนก เป็นผู้คบ
และเป็นผู้คายการไปในภพเสียได้.

ก็อรรถแห่งบทว่า ภควา นั้น ๆ ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคโดยอาการ
ทั้งปวงเพราะฉะนั้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในวิสุทธิมรรคนั้นเทอญ.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ภควา เพราะคบภาคธรรม หรือคายภคธรรม.
จริงอยู่ เพราะตถาคตย่อมคบ สมาคม เสพ ทำให้มากซึ่งบารมีธรรม
มีทานและศีลเป็นต้น และอุตตริมนุสสธรรมมีฌานและวิโมกข์เป็นต้น
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ภควา เพราะคบ
คือปรารถนาอย่างยิ่งซึ่งธรรมเหล่านั้นนั่นแหละว่า อย่างไรหนอ ธรรม
เหล่านี้ จะพึงเกิดขึ้นในสันดานของเวไนยสัตว์. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า
ภควา เพราะคาย คือถ่ายออกซึ่งความเป็นใหญ่และยศ กล่าวคือภคธรรม
ไม่อาลัยคายทิ้งเสีย เหมือนบุคคลคายทิ้งก้อนเขฬะฉะนั้น จริงอย่างนั้น
พระตถาคตสำคัญสิริราชสมบัติแห่งจักรพรรดิอันอยู่ในพระหัตถ์ ความ
เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง 4 เช่นกับความเป็นใหญ่ในเทวโลก และยศอันรุ่ง-
โรจน์ด้วยรัตนะ 7 อย่างเป็นที่อาศัยแห่งจักรพรรดิสมบัติ ว่าเหมือนถูก
ไฟไหม้ ไม่ทรงอาลัยละ เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ตรัสรู้ชอบด้วยพระ-
องค์เอง ซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะฉะนั้น บัณฑิตจึงเฉลิมพระนามว่า
ภควา เพราะคายภคธรรมมีสิริเป็นต้นแม้เหล่านี้. ชื่อว่า ภคา เพราะไป
คือเป็นไปพร้อมนักษัตร ชื่อว่า ภา เหล่านั้น คือเป็นความงามอันอาศัย
โลกอันเป็นที่รองรับ เช่น ภูเขาสิเนรุ ภูเขายุคนธร อุตตรกุรุทวีป และ
ป่าหิมพานต์เป็นต้น เพราะเป็นที่ตั้งอยู่ตลอดกัป. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
คายคือละภคธรรมแม้เหล่านั้น ด้วยการละฉันทราคะอันเนื่องกับภคธรรม
นั้น เพราะก้าวล่วงการอยู่ของสัตว์ผู้อาศัยอยู่ในโลกนั้นแล. แม้เมื่อเป็น

อย่างนั้น ก็พึงทราบอรรถของบทว่า ภควา โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ชื่อว่า
ภควา เพราะคายภคธรรม.
ก็ด้วยเหตุเพียงนี้ บรรดาคำเหล่านั้น ด้วยคำว่า เอวมฺเม สุตํ พระ-
เถระเมื่อจะกล่าวธรรมตามที่สดับมา จึงกระทำโครงร่างแห่งธรรมของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าให้ประจักษ์. เพราะฉะนั้น พระเถระจึงปลอบโยนชน
ผู้เบื่อหน่ายด้วยการไม่ได้เฝ้าพระศาสดาให้เบาใจว่า นี้ไม่ใช่ปาพจน์ คือ
ธรรมวินัยที่พระศาสดาล่วงไปแล้วนี้ เป็นศาสดาของพวกท่าน. สมจริง
ดังพระดำรัสที่ตรัสไว้ว่า อานนท์ ธรรมและวินัยอันใดที่เราแสดงแล้ว
บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นพระศาสดาของ
พวกเธอ ต่อเมื่อเราล่วงไปแล้ว
.
ด้วยคำว่า เอกํ สมยํ ภควา นี้ พระเถระเมื่อแสดงว่า ในสมัยนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพระชนม์อยู่ จึงสาธกการปรินิพพานด้วยรูปกาย.
ด้วยเหตุนั้น พระเถระให้ชนผู้มัวเมาเพราะมัวเมาในชีวิตให้สลดใจ และ
ให้เกิดความอุตสาหะในพระสัทธรรมว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้พระองค์
นั้น ทรงแสดงธรรมมีหลายอย่างเช่นนี้ ทรงไว้ซึ่งทศพลญาณมีพระกาย
เสมอด้วยโครงร่างเพชร เสด็จปรินิพพานแล้ว ใครอื่นจะพึงให้เกิดความ
หวังในชีวิต.
อนึ่ง เมื่อกล่าวว่า เอวํ จึงแสดงอ้างเอาเทศนาสมบัติ เพราะ
พระสูตรทั้งสิ้นที่กล่าวอยู่แสดงอ้างถึงบทว่า เอวํ ดังนี้. ด้วยบทว่า เม สุตํ
นี้ พระเถระแสดงถึงสาวกสมบัติและสวนสมบัติ เพราะแสดงถึงภาวะที่
ผู้บรรลุปฎิสัมภิทาเป็นธรรมภัณฑาคาริกอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสถาปนา
ไว้ในเอตทัคคะในฐานะทั้ง 5 สดับมาแล้ว และเพราะแสดงความนี้ว่า ก็

พระสูตรนั่นแลเราได้สดับมาแล้วมิใช่ไม่ได้สดับ และไม่ใช่นำโดยสืบ ๆ
กันมาเท่านั้น. ตัวบทว่า เอกํ สมยํ นี้ พระเถระแสดงถึงกาลสมบัติ
เพราะแสดงถึงภาวะที่ประดับด้วยพุทธุปบาทกาลตรงกับสมัยพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าประทับอยู่ที่ตำบลอุรุเวลา. ก็กาลสัมปทามีพุทธุปบาทกาลเป็นที่ยิ่ง.
ด้วยบทว่า ภควา นี้ พระเถระแสดงถึงเทสกสมบัติ เพราะแสดงถึงภาวะ
ที่พระองค์เป็นผู้วิเศษด้วยคุณเป็นผู้สูงสุดกว่าสัตว์และเป็นครู.
บทว่า อุรุเวลายํ ได้แก่ ใกล้กองทรายใหญ่ อธิบายว่า ที่กอง
ทรายใหญ่. อีกอย่างหนึ่ง ทรายท่านเรียกว่า อุรุ เขตแดนท่านเรียกว่า
เวลา. พึงเห็นเนื้อความในคำนี้อย่างนี้ว่า ทรายที่เขานำมาเพราะล่วงเขต
แดน ชื่อว่า อุรุเวลา.
เล่ากันมาว่า ในอดีตกาล เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้น ดาบส
หมื่นหนึ่งอยู่ในประเทศนั้นกระทำกติกาวัตรว่า กายกรรมและวจีกรรม
ย่อมปรากฏแม้แก่ชนเหล่าอื่น ส่วนมโนกรรมไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้น
ผู้ใดตรึกถึงมิจฉาวิตก ผู้นั้น ชื่อว่าจงโจทย์ตนด้วยตนเอง จงใช้ใบไม้ม้วน
ตักทรายมาเกลี่ยลงในที่นี้ นี้เป็นทัณฑกรรมของผู้นั้น. ต่อแต่นั้น ผู้ใดตรึก
ถึงวิตกเช่นนั้น ผู้นั้นจะนำทรายมาด้วยห่อที่ทำด้วยใบไม้แล้วเกลี่ยลงในที่
นั้น. เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงเกิดเป็นกองทรายใหญ่โดยลำดับในที่นั้น. แต่
นั้น. ปัจฉิมาชนตาชน ล้อมกองทรายใหญ่นั้นสร้างเป็นเจดีย์สถาน ท่าน
หมายเอาสถานที่นั้น จึงได้กล่าวดังนี้ว่า บทว่า อุรุเวลายํ ได้แก่ ใกล้
กองทรายใหญ่ พึงเห็นความว่า ที่กองทรายใหญ่.
บทว่า วิหรติ เป็นบทแสดงความพรั่งพร้อมด้วยวิหารธรรมอย่างใด
อย่างหนึ่งบรรดาอิริยาบถวิหาร ทิพยวิหาร พรหมวิหาร และอริยวิหาร

โดยไม่แปลกกัน. แต่ในที่นี้ บทว่า วิหรติ พึงทราบว่า เป็นบทแสดง
การประกอบอิริยาบถ กล่าวคือการนั่งในบรรดาอิริยาบถ เช่นการยืน
การนั่ง การเดิน และการนอน. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า วิหรติ นั้น พึง
ทราบว่าเป็นการแสดงความพรั่งพร้อมแห่งอริยวิหาร. ในอิริยาบถเหล่า-
นั้น เพราะเหตุที่บุคคลตัดความลำบากอิริยาบถหนึ่งด้วยอิริยาบถหนึ่ง แล้ว
นำอัตภาพไป คือให้เป็นไปโดยไม่ให้ทรุดโทรม เพราะฉะนั้น ในที่นี้
พึงทราบอรรถบทว่า วิหรติ โดยอิริยาบถวิหาร. ก็เพราะเหตุที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงนำไป ทรงนำเข้าไป ทรงนำเข้าไปใกล้ ได้แก่ ให้เกิด
หิตประโยชน์หลายประการแก่สัตว์ทั้งหลาย ด้วยทิพยวิหารเป็นต้น เพราะ-
ฉะนั้น เมื่อว่าด้วยทิพยวิหารเป็นต้น พึงทราบอรรถอย่างนี้ว่า นำไป
ต่าง ๆ.
บทว่า นชฺชา ความว่า ชื่อว่านที เพราะไหล คือไหลไป. การ
ไหลไปของแม่น้ำนั้น อธิบายว่า แม่น้ำที่ไหลไป. บทว่า เนรญฺชราย
ความว่า น้ำของแม่น้ำนั้นไม่มีโทษ เพราะฉะนั้น เมื่อควรจะกล่าวว่า
เนลํชลาย กล่าวเสียว่า เนรญฺชราย เพราะแปลง อักษรให้เป็น
อักษร. อธิบายว่า น้ำเว้นจากโทษมีเปือกตมสาหร่ายและแหนเป็นต้น.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่าเมื่อควรพูดว่า นีลชลาย กล่าวเสียว่า เนรญฺชราย
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อนั้นนั่นแหละพึงทราบว่า เป็นชื่อแม่น้ำนั้น. เพื่อแสดง
สถานที่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ใกล้ฝั่งแม่น้ำนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
โพธิรุกฺขมูเล ดังนี้.
ในบทว่า โพธิรุกฺขมูเล นั้น มรรคญาณเรียกว่า โพธิ ในประโยค
นี้ว่า โพธิ วุจจติ จตูสุ มคฺเคสุ ญาณํ ดังนี้. สัพพัญญุตญาณ เรียกว่า

โพธิ ในประโยคนี้ว่า ปปฺโปติ โพธึ วรภูริเมธโส ผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน
อันประเสริฐบรรลุโพธิญาณ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบรรลุโพธิแม้
ทั้งสองอย่างนี้ที่ต้นไม้นั้น เพราะเหตุนั้น แม้ต้นไม้นั้น ย่อมได้นามว่า
โพธิพฤกษ์. อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า โพธิ
เพราะตรัสรู้โพชฌงค์ 7. แม้ต้นไม้นั้น ก็ได้นามว่าโพธิพฤกษ์ เพราะ
พระองค์เมื่อตรัสรู้จำต้องอาศัยต้นไม้นั้น แห่งโพธิพฤกษ์นั้น. บทว่า
มูเล แปลว่า ที่ใกล้. จริงอยู่ ศัพท์ว่า มูล นี้ ปรากฏที่มูลคือรากเดิม
ในประโยคมีอาทิว่า พึงถอนราก โดยที่สุดแม้เพียงก้านแฝก. ปรากฏใน
เหตุอันไม่ทั่วไป ในประโยคมีอาทิว่า โลภเจตสิก เป็นอกุศลมูล. ปรากฏ
ในที่ใกล้ ในประโยคมีอาทิว่า เวลาเที่ยงวันเงาแผ่ไป เวลาอับลม ใบไม้
ร่วงหล่นมีกำหนดเพียงใด ใกล้ต้นไม้ มีกำหนดเพียงนั้น. มูลศัพท์แม้
ในที่นี้ ก็ประสงค์เอาในที่ใกล้ เพราะฉะนั้น พึงเห็นความในข้อนี้อย่าง
นี้ว่า ที่ควงคือที่ใกล้แห่งโพธิพฤกษ์. บทว่า ปฐมาภิสมฺพุทฺโธ ได้แก่
เป็นผู้ตรัสรู้ยิ่งเป็นครั้งแรก อธิบายว่า ก่อนกว่าเขาทั้งหมดทีเดียว.
ด้วยลำดับคำเพียงเท่านี้ พระเถระผู้เป็นธรรมภัณฑาคาริก เมื่อเริ่ม
ตั้งคำเริ่มต้นแห่งอุทานเทศนา จึงเป็นอันประกาศ แสดงอ้างถึงกาล
ประเทศ และผู้แสดงถึงกาลและประเทศพร้อมคุณพิเศษ.
ในข้อนี้ มีผู้ทักท้วงว่า ก็เพราะเหตุไร เมื่อทำสังคายนาพระธรรม
วินัย จึงกล่าวถึงคำเริ่มต้น. ควรทำการรวบรวมเฉพาะพระดำรัสที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสแล้วมิใช่หรือ ? เฉลยว่า เพื่อให้พระธรรมเทศนาถึงพร้อม
ด้วยความดำรงมั่น ไม่ฟั่นเฟือน และเป็นที่ตั้งศรัทธา. จริงอยู่ เทศนาที่
ดำรงโดยสืบต่อกันมาด้วยกาล ประเทศ ผู้แสดง และวัตถุเป็นต้น ดำรง

อยู่ตลอดกาลไม่ฟั่นเฟือนและเป็นที่ตั้งศรัทธา ดุจการวินิจฉัยข้อบัญญัติที่
ผูกพันด้วยประเทศ กาล ผู้ทำเหตุ และนิมิต. ก็เพราะเหตุนั้นนั่นแล เมื่อ
พระมหากัสสปะทำการถามในประเทศเป็นต้น โดยอาทิว่า ท่านอานนท์
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอุทานครั้งแรกไว้ที่ไหน ? ท่านพระอานนท์ผู้เป็น
ธรรมภัณฑาคาริก เมื่อจะทำการวิสัชนาปัญหาเหล่านั้น จึงกล่าวคำเริ่มต้น
แห่งอุทานโดยนัยมีอาทิว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้แล.
อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวถึงคำเริ่มต้นเป็นการประกาศสัตถุสมบัติ
ความพร้อมมูลแห่งพระศาสดา. ความสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าย่อมมี เพราะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตถาคต ไม่มีการรจนาไว้ก่อน การอนุมาน การ
เล่าเรียนนิกาย และการคาดคะเน. ด้วยว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีความ
ต้องการ ด้วยการรจนาไว้ก่อนเป็นต้น เพราะพระองค์มีประมาณเป็นเอก
ในไญยธรรม เหตุที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระญาณอันไม่มีปัจจัยอะไร ๆ
ขัดขวางในที่ทุกสถาน. ความสำเร็จเป็นพระขีณาสพ ย่อมมีเพราะไม่มี
ความติดอยู่ ในอาจริยมุฏฐิ (ปิดบังอำพราง) ธรรมมัจฉริยะ (ตระหนี่-
ธรรม) คำสอน และสาวก. เพราะว่า ผู้สิ้นอาสวะโดยประการทั้งปวง
แม้ในที่ไหน ๆ ก็ไม่มีอาจริยมุฏฐิเป็นต้น เพราะฉะนั้น ท่านผู้บริสุทธิ์ดี
จึงดำเนินการอนุเคราะห์เหล่าสัตว์. ดังนั้น ความสำเร็จเวสารัชชญาณ
2 ข้อแรก ย่อมมีได้ด้วยความบริสุทธิ์และหมดจดดี อันส่องถึงความไม่มี
อวิชชาและตัณหา อันประทุษร้ายทิฏฐิสมบัติ และศีลสมบัติเป็นโทษใน
การแสดง และปรากฏชัดโดยญาณสัมปทากับปหานสัมปทา อนึ่ง ความ
สำเร็จเวสารัชชญาณ 2 ข้อ หลังย่อมมี เพราะสำเร็จโดยความไม่มีความ
งมงายในอันตรายิกธรรมและนิยยานิกธรรมนั้นแล. ความประกอบด้วย

เวสารัชชญาณ 4 ของพระผู้มีพระภาคเจ้า และการบำเพ็ญประโยชน์ส่วน
พระองค์และประโยชน์ส่วนผู้อื่น เป็นอันประกาศแล้วด้วยคำเริ่มต้น
เพราะแสดงถึงพระธรรมเทศนา ด้วยปฏิภาณอันเกิดขึ้น ตามฐานะโดย
สมควรแก่อัธยาศัยของบริษัทผู้ประชุมกันในที่นั้นๆ. แต่ในที่นี้พึงประกอบ
ความว่า ด้วยการประกาศการเสวยวิมุตติสุข และมนสิการถึงปฏิจจสมุป-
บาท. เพราะฉะนั้น ท่านพระอานนท์จึงกล่าวว่า กล่าวคำเริ่มต้น เพื่อ
ประกาศสัตถุสมบัติ.
อนึ่ง กล่าวคำเริ่มต้น เพื่อประกาศศาสนสมบัติ. จริงอยู่ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าผู้บำเพ็ญกิจทั้งปวง ซึ่งกำหนดด้วยพระปัญญาคุณและพระ-
กรุณาคุณ ไม่มีข้อปฏิบัติที่ไร้ประโยชน์ หรือ (มุ่ง) ประโยชน์ส่วน
พระองค์. เพราะฉะนั้น กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมแม้ทั้งสิ้น
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้บำเพ็ญประโยชน์ทั้งปวง อันเป็นไปเพื่อประ-
โยชน์แก่ผู้อื่นอย่างเดียว ที่ตรัสอยู่ตามที่เป็นไป ชื่อว่าศาสนา เพราะ
ตามสอนสัตว์ทั้งหลายตามสมควรด้วยประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ชาติ
หน้า และประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ใช่เป็นคำรจนาของกวี พระพุทธจริยานี้
นั้น ท่านประกาศไว้ตามสมควร ด้วยคำเริ่มต้นในที่นั้น ๆ พร้อมกับ
กาละ เทสะ ผู้แสดงและประเทศ. แต่ในที่นี้พึงประกอบว่า ด้วยการเสวย
วิมุตติสุขในการตรัสรู้ยิ่ง และด้วยมนสิการปฏิจจสมุปบาท. เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า กล่าวคำเริ่มต้นเพื่อประกาศศาสนสมบัติ. อีกอย่างหนึ่ง
การกล่าวคำเริ่มต้น เพื่อแสดงภาวะที่พระศาสนาเป็นประมาณ ด้วยการ
ประกาศภาวะที่ศาสดาเป็นประมาณ. และการแสดงภาวะที่พระศาสนาเป็น
ประมาณนั้น พึงทราบตามกระแสแห่งนัยที่กล่าวแล้วในหนหลัง.

จริงอยู่ ด้วยคำว่า ภควา นี้ เป็นอันประกาศความนี้โดยประการ
ทั้งปวง ด้วยการแสดงถึงการละมลทิน คือกิเลสทั้งปวง มีราคะ โทสะ
โมหะ เป็นต้น และการละโทษมีทุจริตเป็นต้น ด้วยการแสดงความที่
พระตถาคตเป็นผู้สูงสุดกว่าสรรพสัตว์ และด้วยการแสดงถึงการประกอบ
ด้วยคุณวิเศษ มีพระปัญญาคุณ และพระกรุณาคุณเป็นต้น อันไม่ทั่วไป
แก่ผู้อื่น เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำแสดงเพียงมุขแห่งการประกอบคำ
เริ่มต้นในข้อนี้.
ก็พึงทราบคำที่ท่านเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ จนถึงคำว่า อิมํ อุทานํ
อุทาเนสิ
นี้เป็นคำเริ่มต้นของอุทานนี้. จริงอย่างนั้น คำนั้นเป็นคำที่
พระสังคีติกาจารย์กล่าวไว้ในคราวสังคายนา เพื่อประกาศการปฏิบัติทาง
กายและทางใจของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น จำเดิมแต่ต้นตามที่พระองค์
ทรงปฏิบัติมาจนเปล่งพระอุทานนี้.
ถามว่า ก็คำว่า อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เป็นต้น ควรเป็นคำของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น เพราะคนอื่นนอกจากพระศาสดาแล้ว ไม่
สามารถจะแสดงปฏิจจสมุปบาทได้มิใช่หรือ ? ตอบว่า ข้อนั้นจริง เหมือน
อย่างว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำปฏิจจสมุปบาทไว้ในพระทัย โดย
การพิจารณาสภาวธรรมที่ควงแห่งโพธิพฤกษ์ ฉันใด พระธรรมสังคา-
หกมหาเถระทั้งหลาย สังคายนาคำเริ่มต้นแห่งอุทานนี้ ที่พระผู้มีพระภาค-
เจ้าทรงแสดงไว้ในปฏิจจสมุปบาทและสีหนาทสูตร เป็นต้น เพื่อปลุก
เหล่าสัตว์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งสัตว์ผู้ควรจะตรัสรู้ปฏิจจสมุปบาทนั้น และ
ตรัสมนสิการถึงปฏิจจสมุปบาทให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ ด้วยสามารถแห่ง
การกระทำตามอาการแห่งพระดำรัสที่ทรงแสดงไว้ เพราะเหตุนั้น พึงตก

ลงในข้อนี้ว่า คำตามที่กล่าวไว้เป็นคำของพระสังคีติกาจารย์นั่นเอง แม้
ในสูตรอื่นจากนี้ก็นัยนี้เหมือนกัน.
ก็ในข้อนี้ พึงทราบสุตตนิกเขปบท (การตั้งพระสูตร) 4 ประการ
คือ เกิดด้วยอัธยาศัยของตน 1 เกิดด้วยอัธยาศัยของผู้อื่น 1 เกิดด้วย
อำนาจคำถาม 1 เกิดด้วยการเกิดเรื่องขึ้น 1.
เหมือนอย่างว่า พระสูตร
แม้ต่างโดยหลายร้อยหลายพันสูตร ก็ไม่ล่วงเลยภาวะ 16 อย่าง โดยปัฏ-
ฐานนัย มีสังกิเลสภาคิยนัยเป็นต้น ฉันใด พระสูตรแม้ทั้งหมดนั้นก็
ฉันนั้น ไม่ล่วงเลยภาวะ 4 ประการ โดยสุตตนิกเขปนัย มีอัตตัชฌาสยนัย
(อัธยาศัยของตน) เป็นต้นแล. ก็ในข้อนี้ การตั้งพระสูตรอันเกิดด้วย
อัธยาศัยของตน และเกิดด้วยการเกิดเรื่องขึ้น ย่อมมีประเภทของการ
เกี่ยวข้องกับที่เกิดด้วยอัธยาศัยของผู้อื่นและที่เกิดด้วยอำนาจคำถาม เพราะ
เกิดด้วยอนุสนธิแห่งอัธยาศัย และอนุสนธิแห่งคำถามก็จริง ถึงอย่างนั้น
การตั้งพระสูตรที่เกิดจากอัธยาศัยของตน และที่เกิดด้วยการเกิดเรื่องขึ้น
จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกันและกัน เพราะฉะนั้น ปัฏฐานนัยจึงไม่มีส่วน
เหลือเลย. อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวว่า สุตตนิกเขป 4 ด้วยอำนาจมูล-
นิกเขปแห่งนิกเขปที่เหลือซึ่งมีอยู่ เพราะหยั่งลงในภายในแห่งปัฏฐานนัย
นั้น.
ในข้อนั้น มีวจนัตถะดังต่อไปนี้ การตั้งลง ชื่อนิกเขป นิกเขปแห่ง
พระสูตร ชื่อว่าสุตตนิกเขป อธิบายว่า สุตตเทศนา อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า
นิกเขป เพราะเขาตั้งไว้ นิกเขปคือสูตร ชื่อว่าสุตตนิกเขป. อัธยาศัยของตน
ชื่อว่าอัตตัชฌาสยะ สุตตนิกเขปนั้น ชื่อว่าอัตตัชฌาสยะ เพราะมีอัธยาศัย
แห่งตนเป็นเหตุ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าอัตตัชฌาสยะ เพราะมีตนเป็น

อัธยาศัย. แม้ในอัธยาศัยของผู้อื่นก็นัยนี้เหมือนกัน. อำนาจแห่งคำถาม
ชื่อปุจฉาวสะ สุตตนิกเขปนั้น ชื่อว่าปุจฉาวสิกะ เพราะมีอำนาจแห่งคำ-
ถาม. การเกิดขึ้นแห่งเนื้อความอันเป็นเรื่องแห่งสุตตเทศนา ชื่อว่า
อัตถุปปัตติ สุตตนิเขปชื่อว่าอัตถุปปัตติกะ เพราะมีการเกิดเรื่องขึ้น.
อีกอย่างหนึ่ง อัตถุปปัตตินั้นแหละ ชื่ออัตถุปปัตติกะ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า
นิกเขป เพราะเป็นเหตุตั้งพระสูตร คืออัธยาศัยของตนเป็นต้น . ส่วนใน
การกำหนดอรรถนี้ พึงทราบอรรถในข้อนี้อย่างนี้ว่า อัธยาศัยของตนชื่อว่า
อัตตัชฌาสยะ อัธยาศัยของผู้อื่น ชื่อว่าปรัชฌาสยะ. ชื่อว่าปุจฉา เพราะ
เขาถาม คือเรื่องที่จะต้องถาม. คำของผู้รับธรรมที่เป็นไปด้วยคำถาม ชื่อว่า
ปุจฉาวสะ ปุจฉาวสะนั่นแหละ ท่านกล่าวเป็นปุงลิงค์ว่า ปุจฉาวสิโก
โดยมุ่งถึงศัพท์ว่า นิกเขป. อนึ่ง อัตถุปปัตตินั่นแหละ ชื่อว่าอัตุถป-
ปัตติกะ.
ก็ในข้อนี้มีคำถามสอดเข้ามาว่า เพราะไม่มุ่งถึงเหตุมีความแก่กล้า
อินทรีย์เป็นต้น ของคนอื่นจึงควรมีภาวะแห่งสุตตนิกเขปแผนกหนึ่งของ
อัตตัชฌาสยะ เพราะประกาศเทศนา เพื่อตั้งแบบแผนแห่งธรรมตาม
อัธยาศัยของตนอย่างเดียวเท่านั้น ก็สุตตนิกเขปที่เกิดด้วยอัธยาศัยของคน
อื่น และที่เกิดด้วยคำถาม เป็นไปในการเกิดขึ้นแห่งอัธยาศัย และคำถาม
ของผู้อื่น อันเป็นเหตุให้ประกาศธรรมเทศนาอย่างไรจึงไม่ผิด ในการ
เกิดเรื่องขึ้น หรือว่าเมื่อสุตตนิกเขปที่เกิดด้วยอำนาจคำถาม และที่เกิด
ด้วยการเกิดเรื่องขึ้น เป็นไปโดยคล้อยตามอัธยาศัยของผู้อื่น อย่างไรจึง
ไม่ผิดในอัธยาศัยของผู้อื่น ? ข้อนั้นไม่จำต้องทักท้วง. ก็เพราะท่านถือ
เอาการเกิดขึ้นอันเป็นเหตุแสดงพระสูตร ซึ่งพ้นจากอภินิหาร และการ
สอบถามเป็นต้น และการวินิจฉัยเป็นต้นของคนอื่น โดยเป็นอัตถุปัตติ

เหตุเกิดเรื่องขึ้น จึงถือเอาสุตตนิกเขปที่เกิดด้วยอัธยาศัยของผู้อื่น และ
ที่เกิดด้วยอำนาจคำถามไว้ส่วนหนึ่งต่างหาก. จริงอย่างนั้น เหตุในการ
แสดงคุณและโทษ และการเกิดขึ้นแห่งอามิส แห่งพรหมชาลสูตร และ
ธรรมทายาทสูตร เป็นต้น ท่านเรียกว่า อัตถุปปัตติ เหตุเกิดเรื่องขึ้น.
เว้นคำถามของคนอื่นเสีย อรรถที่ท่านแสดงเฉพาะอัธยาศัยให้เป็นนิมิต
นี้ปรากฏว่า ปรัชฌาสยะ เกิดจากอัธยาศัยของผู้อื่น ที่ท่านแสดงด้วย
อำนาจคำถาม นี้ปรากฏว่า ปุจฉาวสิกะ เกิดด้วยอำนาจคำถามแล.
ในนิกเขป 4 อย่างนั้น อุทานเหล่านี้ คือ โพธิสูตร 3 สูตร มีสูตร
แรกเป็นต้น มุจจลินทสูตร อายุสังขาโรสัชชนสูตร ปัจจเวกขณสูตร
และปปัญจสัญญาสูตร จัดเป็นอัตตัชฌาสยนิกเขป. อุทานเหล่านี้คือ
หุหุงกสูตร พราหมณชาติกสูตร พาหิยสูคร จัดเป็นปุจฉาวสิกนิกเขป.
อุทานเหล่านี้ คือ ราชสูตร สักการสูตร อุจฉาทนสูตร ปิณฑปาติกสูตร
สิปปสูตร โคปาลกสูตร สุนทริกาสูตร มาตุสูตร สังฆเภทสูตร อุทปานสูตร
ตถาคตุปปาทสูตร โมเนยยสูตร ปาฏลิคามิยสูตร และทัพพสูตร 2 สูตร
จัดเป็นอัตถุปปัตติกนิกเขป. อุทานเหล่านี้คือ ปาลิเลยยสูตร ปิยสูตร
นาคสมาลสูตร และวิสาขาสูตร เป็นทั้งอัตตัชฌาสยนิกเขป และปรัชฌา-
สยนิกเขป. สูตรที่เหลืออีก 51 สูตร จัดเป็นปรัชฌาสยนิกเขป. พึงทราบ
ความแปลกกันแห่งนิกเขปของอุทานเหล่านั้น ด้วยอำนาจอัตตัชฌาสย-
นิกเขปเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้ .
ก็ในที่นี้ อุทานเหล่าใดพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสต่อหน้าภิกษุทั้งหลาย
อุทานเหล่านั้นเป็นพระสูตรตามที่ตรัสไว้ ภิกษุเหล่านั้นท่องให้คล่องปาก
เพ่งได้ด้วยใจ ตรัสไว้แก่ท่านพระธรรมภัณฑาคาริก. ส่วนอุทานเหล่าใด

พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสต่อหน้าภิกษุทั้งหลาย แม้อุทานเหล่านั้น
ภายหลัง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ท่านธรรมภัณฑาคาริกอีก. พึง
ทราบว่า อุทานเหล่านั้นแม้ทั้งหมดดังกล่าวมานี้ ท่านพระอานนท์ทรง
จำได้หมด และบอกแก่ภิกษุทั้งหลาย ภายหลังต่อมา ได้ยกขึ้นสู่สังคายนา
ว่า อุทานนั่นเอง ในคราวทำมหาสังคายนาครั้งแรก.
ก็บทว่า เตน สมเยน ในบทมีอาทิว่า เตน โข ปน สมเยน เป็น
ตติยาวิภัตติใช้ในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ. บทว่า โข ปน เป็นนิบาต อธิบาย
ว่า ตสฺมึ สมเย ในสมัยนั้น. ก็ในสมัยไหน ? พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้
ครั้งแรก ประทับอยู่ที่ควงไม้โพธิ์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ณ ตำบล
อุรุเวลา ตลอดสมัยใด ในสมัยนั้น. บทว่า สตฺตาหํ แปลว่า 7 วัน คือ
สัปดาห์หนึ่ง. บทว่า สตฺตาหํ นี้ เป็นทุติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งอัจจันต-
สังโยคะ แปลว่า ตลอด. เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสำราญอยู่
ด้วยสุขอันเกิดผลสมาบัติส่วนเดียว โดยไม่ขาดสายตลอดสัปดาห์นั้น ฉะนั้น
ท่านจึงกล่าวทุติยาวิภัตติด้วยอำนาจอัจจันตสังโยคะว่า สตฺตาหํ แปลว่า
ตลอดสัปดาห์. บทว่า เอกปลฺลงฺเกน ความว่า โดยนั่งขัดสมาธิท่าเดียว
เท่านั้น ไม่ได้เสด็จลุกขึ้นสักคราวเดียว ตั้งแต่เวลาที่ประทับนั่งบนวชิรา-
อาสน์อันเป็นอปราชิตบัลลังก์อันประเสริฐ ในเวลาพระอาทิตย์ยังไม่
อัสดงคต ในวันวิสาขปุณณมี เพ็ญเดือน 6. บทว่า วิมุตฺติสุขํ ปฏิสํเวที
ความว่า พระองค์ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข คือสุขเกิดแต่ผลสมาบัติ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิมุตฺติ ได้แก่ วิมุตติ 5 คือ ตทังควิมุตติ
วิกขัมภนวิมุตติ สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ

บรรดาวิมุตติ 5 เหล่านั้น ความหลุดพ้น โดยหลุดพ้นจากธรรมอันเป็น

ข้าศึกนั้น ๆ ด้วยองค์คุณนั้น ๆ มีการบริจาคไทยธรรมเป็นต้น และด้วย
องค์แห่งวิปัสสนา มีการกำหนดนามรูปเป็นต้น ตราบเท่าที่องค์นั้น ๆ ยัง
เป็น ไปโดยไม่มีการเสื่อม จัดเป็นปหานะ. การละ คือ การหลุดพ้นจาก
มัจฉริยะ และโลภะ เป็นต้น ด้วยทาน. จากปาณาติบาตเป็นต้นด้วยศีล,
จากสักกายทิฏฐิด้วยการกำหนดนามรูป. จากทิฏฐิที่ไม่มีเหตุและมีเหตุ ไม่
เสมอกันด้วยการกำหนดปัจจัยและธรรมที่ไม่ใช่ปัจจัย จากความเป็นผู้
สงสัยด้วยการข้ามพ้นความสงสัย อันเป็นส่วนอื่นของนามรูปนั้นนั่นแหละ,
จากการยึดถือว่าเรา ว่าของเรา ด้วยการพิจารณาถึงรูปกลาปะ รูปเป็น
กลุ่มเป็นก้อน, จากความสำคัญในธรรมที่ไม่ใช่มรรคว่าเป็นมรรค ด้วย
การกำหนดว่ามรรคและมิใช่มรรค, จากอุจเฉททิฏฐิด้วยการเห็นความเกิด
แห่งรูปนาม, จากสัสสตทิฏฐิด้วยการเห็นความดับรูปนาม, จากความสำคัญ
ในสิ่งที่มีภัยว่าไม่เป็นภัย ด้วยการเห็นว่าเป็นภัย, จากความสำคัญว่า น่า
ยินดีด้วยการเห็นว่าเป็นโทษ, จากความสำคัญรูปว่า น่าเพลิดเพลินด้วย
การเห็นรูปว่าน่าเบื่อหน่าย. จากความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะหลุดพ้นด้วยมุญ-
จิตุกัมยตาญาณ ญาณคือความใคร่เพื่อจะหลุดพ้น, จากความไม่วางเฉย
ด้วยอุเบกขาญาณ, จากภาวะอันเป็นปฏิโลม (คือแย้ง) ในธรรมฐิติและ
พระนิพพานด้วยอนุโลมญาณ และพ้นจากภาวะมีสังขารเป็นนิมิตด้วยโคตร-
ภูญาณ นี้ชื่อว่า ตทังควิมุตติ.
อนึ่ง ความหลุดพ้นที่หมายรู้ด้วยการไม่เกิดขึ้นแห่งนิวรณ์ มีกาม-
ฉันทนิวรณ์เป็นต้น และปัจจนิกธรรม ธรรมที่เป็นข้าศึกมีวิตกเป็นต้น
ด้วยสมาธิอันต่างด้วยอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ ตราบเท่าที่สมาธินั้น
ดำเนินไปโดยไม่เสื่อม นี้ชื่อว่า วิกขัมภนวิมุตติ.

ความหลุดพ้นด้วยอำนาจสมุจเฉทปหาน โดยภาวะที่เกิดขึ้นไม่ได้
โดยสิ้นเชิงอีก แห่งการยึดถือด้วยกิเลสฝ่ายสมุทัยที่กล่าวไว้โดยนัย มีอาทิ
ว่า ทิฏฺฐิคตานํ ปหาย เพราะละทิฏฐิ ตามสมควรในสันดานแห่งพระ-
อริยเจ้าผู้ดำรงอยู่ในมรรคนั้น ๆ เพราะท่านทำอริยมรรค 4 ให้เกิด นี้ชื่อ
ว่า สมุจเฉทวิมุตติ.
ก็ภาวะที่กิเลสสงบระงับไปในขณะแห่งผลจิต นี้ชื่อว่า ปฏิปัสสัทธิ-
วิมุตติ.
จิตที่หลุดพ้นจากสังขารทั้งปวง ชื่อว่าพระนิพพาน เพราะสลัด
สังขตธรรมทั้งปวง นี้ชื่อว่า นิสสรณวิมุตติ. แต่ในที่นี้ ท่านประสงค์เอา
การหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งผลจิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งมีพระนิพ-
พานเป็นอารมณ์. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บทว่า สุขปฏิสํเวที
ความว่า เป็นผู้ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข คือสุขเกิดแต่ผลสมาบัติ.
และบทว่า วิมุตตฺตํ ได้แก่ ภาวะที่จิตหลุดพ้นด้วยอำนาจสงบ ระงับ
อุปกิเลส. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบจิตนั่นแหละว่าหลุดพ้นแล้วอย่างนั้น. สุข
อันเกิดหรือสัมปยุตด้วยวิมุตตินั้น ชื่อว่า วิมุตติสุข. ก็ในที่นี้ แม้อุเบกขา
ก็พึงทราบว่าสุขเหมือนกัน เพราะพระบาลีว่า ยายํ ภนฺเต อุเปกฺขา
สนเต สุเข วุตตา ภควตา
ท่านผู้เจริญ อุเบกขานี้ใด พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสไว้ ในเมื่อสุขมี. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถา
สัมโมหวิโนทนีว่า อุเปกฺขา ปน สนฺตตฺตา สุขมิจฺเจว ภาสิตา ก็อุเบกขา
ท่านกล่าวว่าสุขเหมือนกัน เพรามีความสงบ. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาค-
เจ้าทรงเข้าอรหัตสมาบัติอันประกอบด้วยณานที่ 4 ไม่เข้าสมาบัติอื่น.
อีกอย่างหนึ่ง ความเข้าไปสงบสังขารทุกข์. ท่านเรียกว่าสุข เหมือนใน
ประโยค มีอาทิว่า เตสํ วูปสโม สุโข การเข้าไปสงบสังขารเป็นสุข

ฉันใด เฉพาะปฏิปัสสัทธิวิมุตติที่ได้ในผลอันเลิศ (อรหัตผล) เพราะ
เป็นความสงบกิเลสและทุกข์ทั้งสิ้น พึงทราบว่าสุขในที่นี้ ฉันนั้น.
วิมุตติสุข นี้นั้นมี 2 อย่าง โดยการจำแนกความเป็นไปของผลจิต
คือ ในมรรควิถี 1 ในกาลอื่น 1. ผลจิต 3 หรือ 2 (ขณะ) ที่มีพระ-
นิพพานเป็นอารมณ์ อันเป็นผลของวิมุตติสุขนั้น ๆ ย่อมเกิดขึ้นในลำดับ
อริยมรรคแต่ละมรรค เพราะโลกุตรกุศลมีวิบากในลำดับ . ในคราวที่
อนุโลมจิต 2 ดวงเกิดในชวนวารที่อริยมรรคเกิดขึ้น จิตดวงที่ 3 จัดเป็น
โคตรภูจิต ดวงที่ 4 จัดเป็นมรรคจิต ต่อแต่นั้นไป เป็นผลจิต 3 ดวง.
แต่ในคราวที่อนุโลมจิตเกิดขึ้น 3 ดวง จิตดวงที่ 4 เป็นโคตรภูจิต ดวง
ที่ 5 เป็นมรรคจิต ต่อแต่นั้นไปเป็นผลจิต 2 ดวง. จิตดวงที่ 4 ที่ 5
ย่อมเป็นไปด้วยอำนาจอัปปนา ด้วยประการฉะนี้ ต่อแต่นั้นเป็นไปไม่ได้
เพราะใกล้ต่อภวังคจิต. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า แม้จิตดวงที่ 6 ก็
เป็นอัปปนา. คำนั้นท่านค้านไว้ในอรรถกถาแล้ว. พึงทราบผลจิตใน
มรรควิถีด้วยประการฉะนี้. แต่ผลจิตในกาลอื่น ย่อมเป็นไปด้วยผลสมาบัติ.
และที่เกิดขึ้นแก่ท่านผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ ท่านสงเคราะห์ด้วยผลสมาบัติ
นั้นเอง. ก็ผลสมาบัตินี้นั้นว่าโดยอรรถ เป็นวิบากแห่งโลกุตรกุศลจิต
อันมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ พึงทราบว่าเป็นอัปปนา.
ถามว่า ผลสมาบัตินั้น พวกไหนเข้าได้ พวกไหนเข้าไม่ได้ ? ตอบ
ว่า ปุถุชนทั้งหมดเข้าไม่ได้เพราะยังไม่ได้บรรลุ อนึ่ง พระอริยเจ้าชั้นต่ำ
ก็เหมือนกัน เข้าผลสมาบัติขั้นสูงไม่ได้ แม้พระอริยเจ้าชั้นสูงก็ไม่เข้าผล
สมาบัติชั้นต่ำเหมือนกัน เพราะท่านสงบระงับด้วยการเข้าถึงความเป็น
บุคคลอื่น. พระอริยเจ้านั้น ๆ ย่อมเข้าผลสมบัติของตน ๆ เท่านั้น. แต่

อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระโสดาบันบุคคลและพระสกทาคามีบุคคล
ย่อมไม่เข้าผลสมาบัติ พระอริยบุคคลชั้นสูง 2 พวกเท่านั้น ย่อมเข้าได้
เพราะท่านกระทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ. ข้อนั้นไม่ใช่เหตุ เพราะแม้ปุถุชน
ก็เข้าโลกิยสมาธิที่ตนได้ อีกอย่างหนึ่ง จะป่วยกล่าวไปไยด้วยการคิดถึง
เหตุในข้อนี้. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทาว่า สังขารุเบกขาญาณ
10 เหล่าไหน เกิดขึ้นด้วยวิปัสสนา โคตรภูธรรม 10 เหล่าไหน เกิดขึ้น
ด้วยวิปัสสนา. ในการแก้ปัญหาดังกล่าวนี้ ท่านกล่าวถึงการเข้าผลสมาบัติ
ของพระอริยเจ้าเหล่านั้นว่า เพื่อประโยชน์แก่โสดาปัตติผลสมาบัติ เพื่อ
ประโยชน์แก่สกทาคามิผลสมาบัติ. เพราะฉะนั้น จึงตกลงกันในข้อนี้ว่า
พระอริยเจ้าแม้ทั้งปวง ย่อมเข้าผลสมาบัติตามที่เป็นของตน.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระอริยเจ้าเหล่านั้นจึงเข้าสมาบัติ ? ตอบ
ว่า เพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน. เหมือนอย่างว่า พระราชาทั้งหลายเสวยสุข
ในราชสมบัติ เทวดาทั้งหลายเสวยทิพยสุข ฉันใด พระอริยเจ้าทั้งหลาย
ก็ฉันนั้น ย่อมกำหนดกาลว่า จักเสวยโลกุตรสุข จึงเข้าผลสมาบัติในขณะ
ที่ต้องการ.
ถามว่า ก็ผลสมาบัตินั้น เข้าอย่างไร หยุดอย่างไร ออกอย่างไร ?
ตอบว่า ก่อนอื่นการเข้าผลสมาบัตินั้นมี 2 อย่าง คือ ไม่มนสิการอารมณ์
อื่นจากพระนิพพาน และมนสิการถึงพระนิพพาน เหมือนดังที่ท่านกล่าว
ไว้ว่า
ท่านผู้มีอายุ ปัจจัยแห่งการเข้าเจโตวิมุตติสมา-
บัติอันไม่มีนิมิต มี 2 อย่าง คือ การไม่มนสิการถึง
นิมิตทั้งปวง และการใส่ใจถึงธาตุที่หานิมิตไม่ได้.

ก็ในที่นี้ มีลำดับการเข้าผลสมาบัติดังต่อไปนี้ พระอริยสาวกผู้ต้อง
การผลสมาบัติ ไปในที่ลับ หลีกเร้นอยู่ พึงพิจารณาสังขารด้วยอุท
อัพพยญาณเป็นต้น. เมื่อท่านมีวิปัสสนาญาณโดยลำดับ อันดำเนินไป
อย่างนี้ จิตย่อมเป็นอัปปนาในนิโรธด้วยอำนาจผลสมาบัติ ในลำดับ
โคตรภูญาณมีสังขารเป็นอารมณ์. ก็ผลจิตเท่านั้นเกิดมรรคจิตไม่เกิด
แม้แก่พระเสกขบุคคล เพราะท่านน้อมไปในผลสมาบัติ. ส่วนอาจารย์
เหล่าใดกล่าวว่า พระโสดาบันคิดว่า จักเข้าผลสมาบัติของตนแล้วเจริญ
วิปัสสนาเป็นพระสกทาคามี และพระสกทาคามี คิดว่าจักเข้าผลสมาบัติ
ของตน แล้วเจริญวิปัสสนา ไค้เป็นอนาคามี ดังนี้ อาจารย์เหล่านั้น
พึงถูกต่อว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น พระอนาคามีก็จักเป็นพระอรหันต์,
พระอรหันต์ก็จักเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า, พระปัจเจกพุทธเจ้าก็จักเป็น
พระสัมพุทธเจ้า ดังนี้ เพราะฉะนั้น วิปัสสนาจึงให้สำเร็จประโยชน์ตาม
ความยินดีในจิตสันดาน ตามอัธยาศัย ด้วยเหตุนั้น แม้สำหรับพระ-
เสกขบุคคลก็เกิดแต่ผลจิตเหมือนกัน มรรคจิตไม่เกิด. ถ้าท่านบรรลุมรรค-
จิตที่สัมปยุตด้วยปฐมฌานไซร้ แม้ผลจิตที่สัมปยุตด้วยปฐมฌานเท่านั้น
ก็เกิดแก่ท่าน ถ้าท่านบรรลุมรรคจิตที่สัมปยุตด้วยฌานอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในบรรดาทุติยฌานเป็นต้นไซร้ ผลจิตที่สัมปยุตด้วยฌานอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในบรรดาทุติยฌานเป็นต้น ก็ย่อมเกิด.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ในที่นี้ โคตรภูญาณจึงไม่มีนิพพานเป็น
อารมณ์ เหมือนญาณที่เป็นปุเรจาริกของมรรคญาณ ? ตอบว่า เพราะผล-
ญาณไม่เป็นนิยยานิกธรรม. ความจริง ธรรมคืออริยมรรคเท่านั้นเป็น
นิยยานิกธรรม. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า ธรรมเหล่าไหนเป็นนิยยา-

นิกธรรม ? อริยมรรค 4 ที่เป็นอปริยาปันนะ เป็นนิยยานิกธรรม. เพราะ-
ฉะนั้น ญาณอันเป็นอนันตรปัจจัยแห่งสภาวธรรมที่เป็นนิยยานิกะโดยส่วน
เดียว ซึ่งดำเนินไปโดยสภาวะที่ออกจากทั้งสองฝ่าย พึงออกจากนิมิตได้เลย
เพราะฉะนั้น โคตรภูญาณนั้น มีพระนิพพานเป็นอารมณ์จึงจะถูก แต่ว่า
ญาณที่เป็นปุเรจาริกของผลญาณ ซึ่งมีสภาวะไม่ออกไปเพราะไม่เป็นนิยยา-
นิกธรรม เหตุที่ไม่ตัดขาดกิเลส ซึ่งกำลังเป็นไปโดยเป็นวิบากของอริยมรรค
นั้นเพราะได้เจริญอริยมรรคไว้ แม้บางคราวจะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์
ก็ไม่ถูกไม่ควร เพราะอนุโลมญาณในทั้ง 2 ฝ่าย มีอาการไม่เสมอกัน.
จริงอยู่ อนุโลมญาณในอริยมรรควิถี อันถึงความบริบูรณ์อย่างอุกฤษฏ์
ด้วยโลกิยญาณ อันเป็นเครื่องทำลายกองโลภะเป็นต้น อันมากมายซึ่งไม่
เคยแทงตลอดได้อย่างดี เกิดขึ้นอนุโลมแก่มรรคญาณ ส่วนในผลสมาบัติ-
วิถีอนุโลมญาณนั้น ๆ ไม่มีความขวนขวายในอริยมรรควิถีนั้น เพราะตัด
กิเลสนั้น ๆ ได้เด็ดขาด เกิดเป็นเพียงบริกรรมแห่งความพรั่งพร้อมด้วย
สุขอันเกิดแต่ผลสมาบัติของพระอริยเจ้าทั้งหลายอย่างเดียว เพราะฉะนั้น
อนุโลมญาณเหล่านั้น จึงไม่มีการออกจากปัจจัยไหน ๆ เพราะญาณในที่
สุดแห่งอนุโลมญาณเหล่านั้น อันมีสังขารเป็นนิมิต พึงมีพระนิพพานเป็น
อารมณ์จากการออกจากสมาบัติ. ก็เพราะทำคำอธิบายดังว่านี้ เมื่อพระ-
เสกขบุคคลพิจารณาสังขารทั้งหลายด้วยอุทยัพพยญาณเป็นต้น เพื่อจะใช้
ผลสมาบัติของตน ผลจิตเท่านั้นจึงเกิดขึ้นในลำดับวิปัสสนาญาณ มรรคไม่
เกิด. ฉะนั้น เนื้อความดังกล่าวมานี้แล จึงเป็นอันสมบูรณ์แล้ว. พึงทราบ
การเข้าผลสมาบัติดังกล่าวมาอย่างนี้ก่อน.

ก็ผลสมาบัตินั้นมีการตั้งอยู่โดยอาการ 3 อย่าง เพราะพระบาลีว่า
ผู้มีอายุ ปัจจัยแห่งการตั้งอยู่ของเจโตวิมุตติอันหานิมิตมิได้มี 3 อย่างแล
คือ การไม่มนสิการถึงนิมิตทั้งปวง 1 การมนสิการถึงธาตุอันหานิมิต
มิได้ 1 การปรุงแต่งในกาลก่อน 1.
ใน 3 อย่างนั้น บทว่า ปุพฺเพ จ
อภิสงฺขาโร
ได้แก่ การกำหนดเวลาในกาลก่อนเข้าสมาบัติ. ก็ผลสมาบัติ
นั้นไม่มีการออกตราบเท่าที่ยังไม่ถึงเวลานั้น เพราะท่านกำหนดไว้ว่าจัก
ออกในเวลาโน้น .
อนึ่ง ผลสมาบัตินั้นย่อมมีการออกโดยอาการ 2 อย่าง เพราะพระ-
บาลีว่า ผู้มีอายุ ปัจจัยแห่งการออกของเจโตวิมุตติ อันหานิมิตมิได้มี 2
อย่างแล คือ มนสิการถึงนิมิตทั้งปวง 1 ไม่มนสิการถึงธาตุอันหานิมิตมิ
ได้ 1.
ใน 2 อย่างนั้น บทว่า สพฺพนิมิตฺตานํ ได้แก่ รูปนิมิต เวทนา-
นิมิต สัญญานิมิต สังขารนิมิต และวิญญาณนิมิต. พระโยคาวจรไม่
มนสิการรวมกันซึ่งนิมิตเหล่านั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ท่านกล่าวไว้อย่างนั้น
ด้วยการรวมนิมิตทั้งปวง. เพราะฉะนั้น อารมณ์ของภวังคจิตอันใดมีอยู่
การออกจากผลสมาบัติย่อมมีโดยมนสิการถึงอารมณ์นั้น พึงทราบการออก
จากผลสมาบัตินั้นด้วยประการอย่างนี้ . ท่านกล่าวว่า วิมุตติสุขํ ปฏิสํเวที
ดังนี้ หมายเอาการเข้า การตั้งอยู่ และการออกจากผลสมาบัติ ดังกล่าวมานี้
นั้น จัดเป็น อรหัตผลอันสงบระงับความกระวนกระวาย. มีอมตะเป็น
อารมณ์ เป็นสุขคายโลกามิส สงบ เป็นสามัญผลอันสูงสุด.
เพราะ-
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บทว่า วิมุตฺติสุขํ ปฏิสํเวที ได้แก่ ประทับนั่ง
เสวยวิมุตติสุข คือ ผลสมาบัติสุข.

ศัพท์ว่า อถ เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งอธิการ. ศัพท์ว่า โข เป็น
นิบาตลงในอรรถแห่งปทปูรณะทำบทให้เต็ม. ในศัพท์ว่า อถ โข นั้น
ด้วยศัพท์ว่า อถ ซึ่งมีอธิการเป็นอรรถนี้ ท่านแสดงถึงอธิการ (คือภารกิจ)
อย่างอื่นจากการเสวยวิมุตติสุข. ถามว่า ก็อธิการอื่นนั้น คืออะไร? ตอบว่า
คือ การมนสิการถึงปฏิจจสมุปบาท. อีกอย่างหนึ่ง ศัพท์ว่า อถ เป็นนิบาต
ลงในอรรถนี้ว่า ปจฺฉา ภายหลัง. ด้วยเหตุนั้น ศัพท์ว่า อถ นั้น จึงส่อง
อรรถที่กำลังกล่าวอยู่ว่า โดยล่วงไป 7 วันนั้น. บทว่า ตสฺส สตฺตาหสฺส
ได้แก่ นั่งขัดสมาธิ 7 วัน. บทว่า อจฺจเยน แปลว่า ปราศจากไป.
บทว่า ตมฺหา สมาธิมฺหา ได้แก่ จากสมาธิอันสัมปยุตด้วยอรหัตผล แต่ใน
ที่นี้ อาจารย์บางพวกขยายสัปดาห์เหล่านั้นให้พิสดารออกไปว่า พึงแสดง
7 สัปดาห์เรียงไปโดยลำดับ. ก็เราทั้งหลายจักพรรณนาสัปดาห์เหล่านั้น
ข้างหน้า โดยแนวทางของการแสดงอันไม่ผิดพลาด ในอุทานบาลีนี้ โดย
ขันธกปาฐะ.
บทว่า รตฺติยา เป็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถที่สัมพันธ์กับส่วนต่าง ๆ
(ของราตรี). บทว่า ปฐมํ เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถว่าอัจจันตสังโยคะ
แปลว่าตลอด. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกอบด้วยมนสิการนั้น
แลตลอดปฐมยามแม้ทั้งสิ้นของราตรีนั้น .
บทว่า ปฏิจฺจสมุปปาทํ ได้แก่ ปัจจัยธรรม. จริงอยู่ ปัจจัยธรรมมี
อวิชชาเป็นต้น ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท.
หากมีคำถามสอดเข้ามาว่า ข้อนี้
จะพึงรู้ได้อย่างไร? ตอบว่า รู้ได้เพราะพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า อานนท์ เพราะเหตุนั้นแล ธรรม
นั้นแลเป็นเหตุ เป็นนิทาน เป็นสมุทัย เป็นปัจจัยแห่งชราและมรณะ

คือ ชาติ ฯลฯ นั้นเป็นปัจจัยแห่งสังขาร คือ อวิชชา รวมความว่า ปัจจัย
ธรรมมีอวิชชาเป็นต้น เป็นตัวเหตุเหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า ปัจจัย
12 คือ ปฏิจจสมุปบาท 12

ในข้อนั้น มีวจนัตถะดังต่อไปนี้ ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาท เพราะ
อาศัย คือ มุ่งหน้าต่อกันและกัน ไม่ปฏิเสธความพร้อมเพียงของเหตุ ให้
ปัจจัยที่เกื้อกูลกันเกิดขึ้น. อีกอย่างหนึ่ง การอาศัยปัจจัยอันควรเป็นปัจจัย
ซึ่งต้องอาศัยกันเป็นไปจึงเกิดสัมพันธ์กันโดยไม่เว้นปัจจัยนั้น ชื่อว่า ปฏิจจ-
สมุปบาท.
ก็ในคำว่าปฏิจจสมุปบาทนี้ ได้แก่ เหตุที่ประกอบด้วยความ
สามารถในการให้เกิดผล อันจะรู้ได้ด้วยคำอันมีการเกิดขึ้นพร้อมเป็นเหตุ
ใกล้ ไม่พึงทราบเพียงแต่อาศัยกันเกิดขึ้น.
อีกอย่างหนึ่ง ปัจจัยชื่อว่า ปฏิจจะ เพราะเป็นที่ควรอาศัยเฉพาะ
ของบัณฑิต. ชื่อว่า สมุปบาท เพราะให้เกิดขึ้นโดยชอบ หรือด้วยตนเอง.
ปฏิจจะนั้นด้วยสมุปบาทนั้นด้วย ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาท พึงทราบความ
ในเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ ด้วยประการดังกล่าวมานี้.
บทว่า อนุโลมํ ได้แก่ ปัจจยาการมีอวิชชาเป็นต้น ที่ท่านกล่าวไว้
โดยนัยมีอาทิว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิด
มีสังขาร. ท่านเรียกว่า อนุโลม เพราะกระทำกิจที่ตนควรกระทำ. อีกอย่าง
หนึ่ง ชื่อว่า อนุโลม เพราะท่านกล่าวตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด หรือเพราะ
อนุโลมตามความเป็นไป. ซึ่งอนุโลมนั้น. บทว่า สาธุกํ มนสากาสิ
ได้แก่ กระทำไว้ในใจโดยเคารพ. อธิบายว่า ปัจจัยธรรมใด ๆ เป็นปัจจัย
แก่ปัจจยุปปันนธรรมโด ๆ โดยความเป็นปัจจัยมีเหตุปัจจัยเป็นต้น โดย
ประการใด ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำธรรมทั้งหมดนั้นไว้ในพระ-

ทัยไม่ให้วิปริต ไม่ให้ลดลงโดยทรงพิจารณาหมดไม่ให้เหลือ. ก็เพื่อจะ
แสดงประการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็นอนุโลม
โดยสังเขปก่อน จึงกล่าวคำอาทิว่า อิติ อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ อิมสฺ-
สุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิติ เท่ากับ เอวํ อธิบายว่า โดยประ-
การนี้. บทว่า อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ ความว่า เมื่อปัจจัยมีอวิชชาเป็น-
ต้นนี้มี ผลมีสังขารเป็นต้นนี้ ก็มี. บทว่า อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ
ความว่า เพราะปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้เกิด ผลมีสังขารเป็นต้นนี้ย่อมเกิด.
บทว่า อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ
ความว่า เพราะตรัสความไม่มีสังขารเป็นต้น ในเมื่ออวิชชาเป็นต้น ไม่มี
ไว้ในสูตรที่ 2 และตรัสความดับสังขารเป็นต้น ในเมื่ออวิชชาเป็นต้น
ดับไว้ในสูตรที่ 3 ชื่อว่าเป็นอันทรงแสดงการกำหนดลักษณะแห่งปัจจัย
เบื้องต้นนี้. เมื่อปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้มีอยู่ทีเดียวไม่ใช่ไม่มี. เพราะอวิชชา
เป็นต้นนี้เกิดอยู่ทีเดียว ไม่ใช่ไม่เกิด. เพราะดับนั่นแหละ ไม่ใช่ไม่ดับ
เพราะเหตุดังนี้นั้น พึงเห็นว่าลักษณะนั้นเป็นการกำหนดที่หยั่งลงในภาย
ใน ตรัสไว้ในที่นี้สำหรับปฏิจจสมุปบาท. อนึ่ง บทว่า นิโรโธ ได้แก่
ความไม่เกิดขึ้น คือความไม่เป็นไปต่อไป เพราะบรรลุความสำรอกปัจจัยมี
อวิชชาเป็นต้น. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้มีอาทิว่า อวิชฺชาย เตฺวว อเสส-
วิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ
ก็เพราะดับโดยสำรอกไม่เหลือซึ่งอวิชชา
สังขารจึงดับ.
ด้วยคำว่า อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ นั้น ท่านแสดงความนี้
ไว้ว่า ความไม่ดับ ชื่อว่าความเกิด และความเกิดนั้น ในที่นี้ ท่านเรียกว่า

อตฺถิภาโว (ความมี) ดังนี้ก็มี. จริงอยู่ ลักษณะว่า อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ
นี้แหละ เมื่อว่าโดยปริยายอื่น บทแรกเป็นอันแปลกจากบทปลาย ที่กล่าว
ว่า อิมสฺส อุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะฉะนั้น ที่ท่านกล่าวว่า
อิมสฺมึ สติ หมายถึงภาวะที่ทรงอยู่เท่านั้นก็หามิได้. โดยที่แท้ย่อมให้
เข้าใจว่า ไม่ใช่ภาวะที่จะดับด้วยมรรค. ก็เพราะเหตุที่เมื่อกล่าวถึงนิเทศ
แห่งลักษณะที่ยกขึ้นแสดงเป็น 2 อย่างคือ อิมสฺมึ อสฺติ อิทํ น โหติ,
(และ) อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ ดังนี้ จึงกล่าวเฉพาะความดับโดย
นัยมีอาทิว่า อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ ฉะนั้น
จึงเป็นอันแสดงว่า แม้ความไม่มีก็คือความดับ ความมีอันผิดจากความไม่
มีก็คือความไม่ดับ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงแสดงความเกิดให้แปลกกับความมี
กล่าวคือความไม่ดับ. เพราะเหตุนั้น ในที่นี้ท่านจึงไม่ประสงค์เอาความว่า
เพียงแต่ความมี เป็นความเกิดขึ้น โดยที่แท้ ท่านทำให้แจ้งถึงอรรถนี้ว่า
ความมีคือความไม่ดับ. เมื่อเป็นเช่นนั้น การกล่าวถึงลักษณะทั้ง 2 นั้น
พึงทราบว่ามีประโยชน์ เพราะเป็นลักษณะที่จะพึงให้แปลกด้วยความแปลก
แห่งกันและกัน.
ถามว่า ก็ชื่อว่า อนิโรธะ ที่เรียกว่า อัตถิภาวะ และว่า อุปปาทะ นี้
คืออะไร ? ตอบว่า คือ ภาวะที่ยังไม่ละ 1 ภาวะที่ควรเพิ่มผลโดยไม่ละภาวะ
ที่ควรแก่ผลอันยังไม่เกิด 1 ภาวะที่อกุศลธรรมที่จะพึงละนั้นอันอริยมรรค
ยังไม่ได้ถอนขึ้น 1 ภาวะที่สังโยชน์ในกุศลธรรมและอัพยากตธรรมที่ไม่จำ
ต้องละ สำหรับผู้มีอาสวะยังไม่สิ้นไป ยังละไม่ได้ 1. จริงอยู่ ความเป็น
ไปแห่งขันธ์พร้อมทั้งสิ้น ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท เพราะภาวะมีอนุสัยยัง
ถอนขึ้นไม่ได้. สมจริงดังที่ตรัสไว้มีอาทิว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของคนพาล ผู้ถูก
อวิชชาใดหุ้มห่อไว้ ผู้สัมปยุตด้วยตัณหาใดยังเป็น
ไปแล้ว อวิชชานั้น คนพาลยังละไม่ได้ และตัณหา
นั้นก็ยังไม่สิ้นไป. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เพราะคนพาลไม่ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อ
สิ้นทุกข์โดยชอบ เพราะฉะนั้น คนพาลย่อมเข้าถึง
กาย (อีก) เพราะกายแตก คนพาลนั้นเมื่อเข้าถึงกาย
ย่อมไม่พ้นจาก ญาติ ชรา และมรณะ.

ก็เพราะอวิชชาของผู้สิ้นสังโยชน์แล้วไม่มี สังขารจึงไม่มี เพราะ
ตัณหาและอุปาทานไม่มี อุปาทานและภพจึงไม่มี เพราะเหตุนั้น วัฏฏะ
จักปรากฏความขาดสิ้น. ด้วยเหตุนั้นนั่นแลท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า
ดูก่อนผัคคุณะ ก็เพราะดับด้วยการสำรอก
ผัสสายตนะ 6 ได้โดยไม่เหลือ ผัสสะจึงดับ เพราะ
ผัสสะดับ เวทนาจึงดับ.

จริงอยู่ ตั้งแต่บรรลุพระอรหัตมรรคจนถึงปรินิพพาน อายตนะ 6
เป็นต้น จะไม่เป็นไปก็หามิได้. โดยที่แท้ ท่านกล่าวถึงนิโรธ เพราะภาระ
ที่ไม่มี ภาวะที่ควรกล่าวศัพท์นิโรธ ภาวะที่สิ้นสังโยชน์. อีกอย่างหนึ่ง
กรรมแม้ที่ทำไว้นาน จัดว่ามีอยู่ตามควรแก่ผล เพราะผลยังไม่เกิด และ
เพราะยังไม่ละอาหาร คือ ไม่ใช่ผลที่เกิดแล้ว ทั้งก็ไม่ใช่ละอาหารแล้วแล.
ภาวะที่ปัจจัยเป็นเหตุเกิดผลมีอวิชชาและสังขารเป็นต้น เป็นปัจจัยควรแก่
ผลโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล พึงทราบว่า อนิโรธ (ไม่ดับ.) ก็เพราะปัจจัย
ที่ให้เกิดผลอย่างนั้นยังไม่ดับ เว้นเหตุใดเสีย ผลไม่เกิด เหตุนั้น มีอดีตเหตุ

เป็นต้น ที่ท่านกล่าวด้วยคำว่า อิมสฺมิ สติ นี้. ก็เพราะเหตุนั้นแหละ
การเกิดขึ้นแห่งปัจจัยไม่แตะต้องถึงการไม่ประพฤติของผู้ยังไม่อยู่จบพรหม-
จรรย์ ท่านกล่าวว่า อิมสฺส อุปฺปทา ด้วยการไม่กลับมา โดยไม่พาดพิง
ถึงประเภทของกาล. อีกอย่างหนึ่ง ในความพร้อมเพรียงของปัจจัยที่เหลือ
ภาวะที่ปัจจัยแม้จะไม่มีก็เหมือนมี จะกล่าวไปทำไมถึงปัจจัยที่มี ซึ่งเป็น
ปัจจัยมุ่งให้เกิดผลนั้นท่านเรียกว่า อิมสฺส อุปฺปาทา. จริงอย่างนั้น ผล
ย่อมเกิดแต่เหตุนั้น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ตทวัตถุ ได้แก่ เหตุที่เกิด
ขึ้นโดยภาวะที่ให้เกิดผล เป็นอันชื่อว่าอุบัติขึ้นแล้ว. เหตุแม้ไม่มีอยู่ ก็
ชื่อว่า ตทวัตถุ เพราะฉะนั้น ภาวะที่เป็นตทวัตถุ พึงทราบว่า
อุปปาทะ.
บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า สติ นี้ พระเถระเมื่อจะกล่าวถึง
ภาวะที่เป็นปัจจัยโดยเพียงภาวะที่มีอยู่ จึงแสดงความที่ปฏิจจสมุปบาทไม่
ต้องขวนขวาย. ด้วยบทว่า อุปฺปาทา นี้ พระเถระเมื่อจะแสดงความเกิด
ขึ้นเป็นธรรมดา และภาวะที่ไม่เป็นไปทุกกาลและภาวะที่มุ่งต่อการเกิดผล
จึงแสดงถึงภาวะที่ปฏิจจสมุปบาทเป็นอนิจจตา. ก็พระเถระแสดงถึงปฏิจจ-
สมุปบาทเป็นเหตุ เป็นสมุทัย เป็นชาติ และเป็นแดนเกิด ที่สำเร็จด้วย
สัตตมีวิภัตติและปัญจมีวิภัตติที่ใช้ในอรรถของเหตุด้วยคำว่า สติ น อสติ
อุปฺปาทา น นิโรธา
ในเมื่อสิ่งนี้มี คือ ไม่มีก็หามิได้ เพราะสิ่งนี้เกิด
คือดับก็หามิได้. ท่านกำหนดภาวะแห่งผล ซึ่งมีโดยไม่เว้นจากเหตุ ใน
เพราะภาวะแห่งสัตตมีวิภัตติลงในอรรถแห่งเหตุ พึงทราบความเป็นไปใน
เหตุนั้น เหมือนคำว่าในเมื่อคนไม่มีทรัพย์ไม่ทำทรัพย์ให้เกิดขึ้น ความ
จนก็ยิ่งจนหนักเข้า และคำว่าในเมื่อข้าวกล้าสมบูรณ์ ก็เกิดอาหารดีขึ้น.

แม้ปัญจมีวิภัตติก็ลงในอรรถแห่งเหตุ ชื่อว่าเป็นไปได้ในแดนเกิดและใน
ความปกติของผล เหมือนคำว่าจากกลละเป็นอัมพุทะ จากอัมพุทะเกิดเป็น
เปสิ และคำว่า แม่น้ำคงคาเกิดจากเขาหิมวันต์ สระเกิดจากแม่น้ำสรภู. ก็
ในเพราะอวิชชาเป็นต้นมี ท่านจึงกำหนดภาวะแห่งผลมีสังขารเป็นต้น
เพราะภาวะที่ไม่เว้นจากอวิชชาเป็นต้นนั้น. และผลมีสังขารเป็นต้นเกิด
จากปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้น และอันปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นก่อขึ้น เพราะ-
ฉะนั้น ปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนั้น จึงเป็นแดนเกิดและเป็นปกติของผลมี
สังขารเป็นต้นนั้น เพราะฉะนั้น เพื่อจะแสดงอรรถนั้น ท่านจึงกระทำ
นิเทศสัตตมีวิภัตติและปัญจมีวิภัตติในอรรถแห่งเหตุว่า อิมสฺมึ สติ อิมสฺส
อุปฺปาทา
ในเพราะสิ่งนี้มี เพราะสิ่งนี้เกิด.
ก็เพราะในข้อนี้ ปฏิจจสมุปบาทที่ยกขึ้นแสดงโดยสังเขปว่า อิมสฺมึ
สติ อิทํ โหติ อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ
มีนิเทศเป็นต้นว่า อวิชฺชา-
ปจฺจยา สงฺขารา
ฉะนั้น ภาวะที่มีอยู่และการเกิดขึ้นตามที่กล่าวแล้วย่อม
ให้รู้ได้ว่า เป็นปัจจัยแห่งปัจจยุปปันนธรรมนั้น ๆ. จริงอยู่ ภาวะที่เป็น
ปัจจัยอย่างอื่นย่อมไม่มี เพราะละอัตถิภาวะและอุปปาทะกล่าวคือความไม่ดับ
ความไม่หวนกลับเป็นสภาพ หรือความตั้งอยู่ของสมุทัย (ความเกิด) ที่ท่าน
กล่าวไว้ด้วยคำ ซึ่งกำหนดแน่นอนอยู่ภายในว่า สติเอว นาสติ อุปฺปาทา
เอว น นิโรธา
ดังนี้ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่าภาวะที่มีอยู่และอุปปาทะการ
เกิดขึ้นดังกล่าวแล้ว เป็นตัวปัจจัย. แม้ปัจจัย 24 มีเหตุปัจจัยเป็นต้นที่
มาในปัฏฐานปกรณ์นั้น พึงทราบว่าปัจจัยพิเศษแห่งปัจจัยนั้นนั่นแล.
ดังนั้น เพื่อจะแสดงประการที่พระองค์ ทรงมนสิการถึงอนุโลม-
ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร จึงตรัสคำมีอาทิว่า ยทิทํ อวิชฺชาปจฺจยา
สงฺขารา
ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยทิทํ เป็นนิบาต บทว่า ยทิทํ นั้น
มีอรรถว่า โย อยํ. ในบทว่า อวิชฺชาปจฺจยา เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อ
ไปนี้ ชื่อว่า อวิชชา เพราะประสบสิ่งที่ไม่ควรประสบมีกายทุจริต
เป็นต้น. ชื่อว่า อวิชชา เพราะไม่ประสบสิ่งที่ควรประสบมีกายสุจริต
เป็นต้น. ชื่อว่า อวิชชา เพราะกระทำสภาวะแห่งธรรมที่ไม่วิปริต ไม่ให้
รู้แจ้ง, ชื่อว่า อวิชชา เพราะยังสัตว์ให้แล่นไปในภพเป็นต้น ในสงสารอัน
เว้นจากที่สุด. ชื่อว่า อวิชชา เพราะแล่นไปในสิ่งที่ไม่มี ไม่แล่นไปในสิ่งที่
มี. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อวิชชา เพราะเป็นปฏิปักษ์ ต่อ วิชชา. อวิชชานั้น
พึงทราบว่ามี 4 อย่าง โดยนัยมีอาทิว่า ทุกฺเข อญาณํ ความไม่รู้ทุกข์.
ชื่อว่า ปัจจัย เพราะอาศัยไป คือเกิดขึ้นและเป็นไปไม่ละเว้นผล. อีก
อย่างหนึ่ง ธรรมที่มีการสนับสนุนเป็นอรรถ ชื่อว่า ปัจจัย. อวิชชานั้นด้วย
เป็นปัจจัยด้วย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า มีอวิชชาเป็นปัจจัย. เพราะมี
อวิชชาเป็นปัจจัยนั้น. ชื่อว่า สังขาร เพราะปรุงแต่ง. ได้แก่กุศลเจตนา
และอกุศลเจตนาฝ่ายโลกิยะ กุศลเจตนาและอกุศลเจตนานั้น พึงทราบว่ามี
3 อย่าง คือ ปุญญาภิสังขาร 1 อปุญญาภิสังขาร 1 อาเนญชาภิสังขาร 1.
ชื่อว่า วิญญาณ เพราะรู้แจ้ง. วิญญาณนั้นมี 32 (หรืออเหตุกวิบาก 15
มหาวิบากจิต 8 มหัคคตวิบาก 9) ด้วยอำนาจวิบากวิญญาณฝ่ายโลกิยะ.
ชื่อว่า นาม เพราะน้อมไป ได้แก่นามขันธ์ 3 มีเวทนาเป็นต้น. ชื่อว่า
รูป เพราะอรรถว่าสลายไป ได้แก่ภูตรูป 4 และอุปาทายรูป 24 มี
จักขุปสาทรูปเป็นต้น. ชื่อว่า อายตนะ เพราะเป็นที่ต่อ และนำสัตว์ไป
สู่ส่งสารทุกข์. ชื่อว่า ผัสสะ เพราะถูกต้อง. ชื่อว่า เวทนา เพราะเสวย
(อารมณ์). แม้ทั้งสองนั้น ว่าโดยทวารมี 6 ว่าโดยวิบากมี 36. ชื่อว่า

ตัณหา เพราะสะดุ้ง. ตัณหานั้นโดยสังเขปมี 3 มีกามตัณหาเป็นต้น และ
โดยพิสดารมี 108 ชื่อว่า อุปาทาน เพราะถือมั่น อุปาทานนั้นมี 4 อย่าง
มีกามุปาทานเป็นต้น. ชื่อว่า ภพ เพราะมีอยู่และจักมี. ภพนั้นมี 2 อย่าง
โดยแยกเป็นกรรมภพ และอุปัตติภพ. ความเกิด ชื่อว่า ชาติ ความ
คร่ำคร่า ชื่อว่า ชรา. ชื่อว่า มรณะ เพราะเป็นเหตุตายแห่งสัตว์. ความ
เศร้าโศก ชื่อว่า โสกะ. ความรำพัน ชื่อว่า ปริเทวะ. ชื่อว่า ทุกข์ พราะ
ทนได้ยาก, อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ทุกข์ เพราะมี 2 ขณะ คือ ทุกข์ใน
ขณะเกิดและทุกข์ในขณะตั้งอยู่. ภาวะแห่งความเสียใจ ชื่อว่า โทมนัส.
ความคับแค้นอันเหลือทน ชื่อว่า อุปายาส. บทว่า สมฺภวนฺติ แปลว่า
ย่อมบังเกิด. ความจริง ไม่ใช่ประกอบด้วยบทมีโสกะเป็นต้นอย่างเดียวเท่า
นั้น โดยที่แท้พึงประกอบบทว่า สมฺภวนฺติ กับทุก ๆ บท. ก็เมื่อเป็นเช่น
นี้ ย่อมเป็นอันแสดงการกำหนดปัจจัยธรรมและปัจจยุปปันนธรรม ด้วย
คำว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สมฺภวนฺติ. ในบททั้งปวงก็นัยนี้.
ในธรรมเหล่านั้น อวิชชา มีความไม่รู้เป็นลักษณะ มีความหลง
ลืมเป็นกิจ มีการปกปิดเป็นอาการปรากฏ มีอาสวะเป็นเหตุใกล้. สังขาร
มีความปรุงแต่งเป็นลักษณะ มีการประมวลมาเป็นกิจ มีการจัดแจงเป็น
อาการปรากฏ มีอวิชชาเป็นเหตุใกล้. วิญญาณ มีการรู้แจ้งเป็นลักษณะ มี
การเป็นหัวหน้าเป็นกิจ มีปฏิสนธิเป็นอาการปรากฏ มีสังขารเป็นเหตุใกล้
หรือมีวัตถุและอารมณ์เป็นเหตุใกล้. นาม มีการน้อมไปเป็นลักษณะ มีสัม-
ปโยคะเป็นกิจ มีไม่แยกจากกันเป็นอาการปรากฏ มีวิญญาณเป็นเหตุใกล้.
รูป มีการสลายไปเป็นลักษณะ มีการไม่รู้อารมณ์เป็นกิจ มีภาวะเป็น
สัมปโยคะเป็นอาการปรากฏ มีวิญญาณเป็นเหตุใกล้. สฬายตนะ มีการต่อ

เป็นลักษณะ มีการเห็นเป็นต้นเป็นกิจ มีภาวะเป็นวัตถุและทวารเป็นอาการ
ปรากฏ มีนามรูปเป็นเหตุใกล้. ผัสสะ มีการถูกต้องเป็นลักษณะ มีการ
กระทบเป็นกิจ มีการประจวบเป็นอาการปรากฏ มีสฬายตนะเป็นเหตุใกล้.
เวทนา มีการเสวยเป็นลักษณะ มีการบริโภครสแห่งอารมณ์เป็นกิจ มีสุข
และทุกข์เป็นอาการปรากฏ มีผัสสะเป็นเหตุใกล้. ตัณหา มีความเป็นตัวเหตุ
เป็นลักษณะ มีความเพลิดเพลินเป็นกิจ มีความไม่อิ่มเป็นอาการปรากฏ มี
เวทนาเป็นเหตุใกล้. อุปาทาน มีการยึดมั่นเป็นลักษณะ มีการไม่ปล่อย
วางเป็นกิจ มีทิฏฐิคือความถือมั่นด้วยอำนาจตัณหาเป็นอาการปรากฏ มี
ตัณหาเป็นเหตุใกล้. ภพ มีกรรมและผลแห่งกรรมเป็นลักษณะ มีการเกิด
และการให้เกิดเป็นกิจ มีกุศล อกุศล และอัพยากฤตเป็นอาการปรากฏ มี
อุปาทานเป็นเหตุใกล้. ชาติ มีการเกิดก่อนในภพนั้น ๆ เป็นลักษณะ มี
การขยายออกไปเป็นกิจ มีการเกิดในภพนี้จากอดีตภพเป็นอาการปรากฏ มี
ความวิจิตรแห่งทุกข์เป็นเหตุใกล้. ชรา ความแก่หง่อมแห่งขันธ์เป็น
ลักษณะ มีการนำเข้าหาความตายเป็นกิจ มีการทำความเป็นหนุ่มสาวให้
พินาศเป็นอาการปรากฏ. มรณะ มีจุติเป็นลักษณะ มีการพลัดพรากเป็นกิจ
มีการอยู่ปราศจากคติเป็นอาการปรากฏ. โสกะ มีความหม่นไหม้ในภายใน
เป็นลักษณะ มีความตรมตรอมใจเป็นกิจ มีความเศร้าโศกถึงเป็นอาการ
ปรากฏ. ปริเทวะ มีความบ่นเพ้อเป็นลักษณะ. มีระบุถึงคุณและโทษเป็น
กิจ มีความสลดใจเป็นอาการปรากฏ. ทุกข์ มีการบีบคั้นกายเป็นลักษณะ
มีความทุรพลทางกายและรั้งเอาโทมนัสมาเป็นกิจ มีอาพาธทางกายเป็น
อาการปรากฏ. โทมนัส มีการบีบคั้นจิตเป็นลักษณะ มีความคับแค้นใจเป็น
กิจ มีพยาธิทางใจเป็นอาการปรากฏ. อุปายาส มีความตรมตรอมใจเป็น

ลักษณะ มีความทอดถอนถึงเป็นกิจ มีปราศจากความแช่มชื่นใจเป็นอาการ
ปรากฏ. ปัจจัยธรรมมีอวิชชาเป็นต้นเหล่านั้น พึงทราบแม้โดยลักษณะ
เป็นต้นด้วยประการอย่างนี้แล. ในที่นี้ มีความสังเขปเพียงเท่านี้ ส่วน
ความพิสดาร ผู้ปรารถนาวินิจฉัยที่สมบูรณ์ด้วยประการทั้งปวง พึงค้นดู
ในอรรถกถาวิภังค์ ชื่อสัมโมหวิโนทนี.
บทว่า เอวํ เป็นบทแสดงไขถึงนัยที่ได้แสดงมาแล้ว. ด้วยบทว่า
เอวํ นั้น ท่านแสดงว่าด้วยเหตุมีอวิชชาเป็นต้นนั้นแหละ มิใช่ด้วยเหตุ
มีการเนรมิตของท่านผู้เป็นใหญ่เป็นต้น. บทว่า เอตสฺส ได้แก่ ตามที่
กล่าวแล้ว. บทว่า เกวลสฺส ได้แก่ ไม่ปะปนหรือล้วน ๆ. บทว่า
ทุกฺขกฺขนฺธสฺส ได้แก่ประชุมทุกข์ ไม่ใช่ของสัตว์ทั้งไม่ใช่ของชีวะและ
ของสุขเป็นต้น . บทว่า สมุทโย โหติ ได้แก่ บังเกิด คือเกิดพร้อม.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า รู้แจ้งเนื้อความที่กล่าวไว้ว่า
กองทุกข์มีสังขารเป็นต้น ย่อมเกิดด้วยอวิชชาเป็นต้น โดยอาการทั้งปวง.
บทว่า ตายํ เวลายํ ได้แก่ ในเวลาที่รู้แจ้งอรรถนั้น. บทว่า อิมํ อุทานํ
อุทาเนสิ ความว่า เปล่งอุทานนี้อันแสดงอานุภาพการรู้เหตุและธรรมอัน
เกิดจากเหตุในเมื่อรู้จักผลนั้น อันเป็นสมุฏฐานแห่งญาณอันสัมปยุตด้วย
โสมนัสมีอาทิว่า ยทา หเว ปาตุภวนฺติ อธิบายว่า เปล่งพระวาจาเป็นที่
พอพระทัย.
อุทานนั้นมีอธิบายดังนี้ บทว่า ยทา แปลว่า ในกาลใด. ศัพท์ว่า
หเว เป็นนิบาต ลงในอรรถนี้ว่า พยตฺตํ แจ่มแจ้ง. แต่อาจารย์บทพวก
กล่าวอธิบายว่า ศัพท์ว่า หเว แปลว่า ในการสงครามคือในการต่อยุทธ์.
ก็ท่านอาจารย์เหล่านั้นมีความมุ่งหมายว่า ในสมัยรบกับกิเลสมาร โดย

พระบาลีว่า พวกเธอจงใช้อาวุธคือปัญญารบมาร. บทว่า ปาตุภวนฺติ
แปลว่า เกิดขึ้น. บทว่า ธมฺมา ได้แก่ โพธิปักขิยธรรม อันให้สำเร็จ
การแทงตลอดปัจจยาการโดยอนุโลม. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปาตุภวนฺติ
ได้แก่ ประกาศ คือ แจ่มชัด ปรากฏโดยการตรัสรู้. บทว่า ธมฺมา ได้แก่
ธรรมคืออริยสัจ 4. อาตาปะ เรียกว่าความเพียร เพราะอรรถว่า ทำกิเลส
ให้เร่าร้อน. บทว่า อาตาปิโน ได้แก่ มีความเพียรคือสัมมัปปธาน.
บทว่า ณายโต ได้แก่ เพ่งด้วยอารัมณูปนิชฌานและลักขณูปนิชฌาน.
บทว่า พฺราหฺมณสฺส ได้แก่ พระขีณาสพผู้ลอยบาป. บทว่า อถสฺส กงฺขา
วปยนฺติ สพฺพา
ความว่า ครั้นพราหมณ์นั้นมีธรรมปรากฏอย่างนี้แล้ว
ความสงสัยในปัจจยาการที่ตรัสไว้โดยนัยมีอาทิว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสว่า โน กลฺโล ปญฺโห ปัญหาไม่สมควร เพื่อเฉลยคำถามว่า โก นุโข
ภนฺเต ผุสติ
ใครหนอถูกต้อง พระเจ้าข้า โดยนัยมีอาทิว่า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าได้ตรัสว่า โน กลฺโล ปญฺโห เพื่อเฉลยคำถามว่า กตมํ นุโข
ภนฺเต ชรามรณํ กสฺส จ ปนิทํ ชรามรณํ
ชราและมรณะเป็นไฉน พระ-
เจ้าข้า ก็แลชราและมรณะนี้เป็นของใคร และความสงสัย 16 ข้อ ที่มา
โดยนัยมีอาทิว่า อโหสึ นุโข อหํ อตึตมทฺธานํ ในอดีตกาล เราได้มีแล้ว
หรือหนอ เพราะยังไม่แทงตลอดปัจจยาการนั่นเอง ความสงสัยทั้งหมด
นั้น ย่อมหายไป ปราศไป ดับไป. เพราะเหตุไร ? เพราะรู้ทั่วถึงธรรม
พร้อมเหตุ อธิบายว่า เพราะรู้ชัด รู้ทั่วถึงแทงตลอด ธรรมคือกองทุกข์
ทั้งสิ้นมีสังขารเป็นต้นนี้ พร้อมเหตุ ด้วยเหตุมีอวิชชาเป็นต้น.
ก็เมื่อไร โพธิปักขิยธรรมหรือจตุสัจธรรม ปรากฏเกิดขึ้นหรือ
แจ่มแจ้งแก่พราหมณ์นั้น. ในวิปัสสนาญาณและมรรคญาณ. ใน 2 อย่าง

นั้น พึงทราบวิปัสสนาญาณก่อน. ธรรมทั้งหลายมีสติเป็นต้นที่สัมปยุต
ด้วยวิปัสสนาญาณ และวิปัสสนาญาณ เมื่อละสุภสัญญาเป็นต้นด้วยอำนาจ
ตทังคปหานในอารมณ์ของตน จึงเกิดขึ้นเป็นส่วน ๆ โดยอนุปัสสนามี
กายานุปัสสนาเป็นต้น. แต่ในขณะมรรค ธรรมเหล่านั้น เมื่อหน่วงเอา
พระนิพพานละธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ด้วยสมุจเฉทปหาน เกิดขึ้นคราวเดียว
เท่านั้น สำเร็จการแทงตลอดไม่งมงายในอริยสัจทั้ง 4. ในข้อนี้ พึง
ทราบว่า โพธิปักขิยธรรมปรากฏ ด้วยอรรถว่า เกิดขึ้น ด้วยประการฉะนี้
ก่อน. ก็พึงทราบว่า อริยสัธรรมฝ่ายโลกิยะปรากฏ ด้วยการทำวิปัสสนา
ให้เป็นอารมณ์ในขณะวิปัสสนา พึงทราบว่า อริยสัจธรรมฝ่ายโลกุตระ
ปรากฏ ด้วยภาวะที่นี้อมไปในโลกุตรธรรมนั้น พึงทราบว่า นิโรธสัจ
ปรากฏ ด้วยการตรัสรู้อารมณ์ในขณะมรรค และพึงทราบว่า ทั้งหมด
ปรากฏ ด้วยอรรถว่าแจ่มแจ้งปรากฏชัดโดยการตรัสรู้กิจ.
ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เมื่อธรรมทั้งหมดปรากฏแก่พระ-
ญาณของพระองค์โดยอาการทั้งปวง ทรงพิจารณาปัจจยาการนั้น เพราะ
ปัจจยาการเป็นสภาพละเอียดลึกซึ้งและเห็นได้แสนยาก เหตุทรงทำความ
มั่นใจวิปัสสนาโดยมุข คือปฏิจจสมุปบาท ทรงเกิดโสมนัสอย่างรุนแรง จึง
ทรงเปล่งทานในข้อนี้ อันแสดงถึงอานุภาพแห่งการตรัสรู้ปัจจยาการนั้น
ของพระองค์พร้อม โดยเป็นปัจจัยตัดปฏิปักขธรรมได้เด็ดขาดแล.
พระบาลีว่า อยมฺปิ อุทาโน วุตฺโต ภควตา อิติ เม สุตํ นี้ ปรากฏ
ในคัมภีร์เฉพาะบางแห่ง. บรรดาบทเหล่านั้น ปิ ศัพท์ ในบทว่า อยมฺปิ
เป็นสัมปิณฑนัตถะเหมือนในประโยคว่า อิทมฺปิ พุทฺเธ รตนํ ปณีตํ อยมฺปิ
ปาราชิโก โหติ
แม้นี้เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธเจ้า ภิกษุแม้นี้

เป็นปาราชิก. เพราะเหตุนั้น ปิศัพท์นั้น ย่อมประมวลคำก่อน ๆ มา.
วุตฺต ศัพท์ว่า วุฑฺโต นี้ ปรากฏในคำมีอาทิว่า เกโสหารณะ วปนะ
วาปสมีกรณะ ชีวิตวุตติ ปมุตตภาวะ ปาวจนภาเวนปวัตติตะ อัชเฌสนะ
และกถนะ. จริงอย่างนั้น วุตฺต ศัพท์นั้น มาในเกโสหารณะ (การปลงผม)
ในประโยคมีอาทิว่า กาปฏิกมาณพ เป็นคนหนุ่มโกนผม. มาใน วปนะ
(การหว่านพืช) ในประโยคมีอาทิว่า
คาโว ตสฺส ปชายนฺติ เขตฺเต วุตฺตํ วิรูหติ
วุตฺตานํ ผลมสฺนาติ โย มิตฺตานํ น ทุพฺภติ.

โคของคนผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ย่อมตกลูก พืชที่
หว่านไว้ในนาย่อมงอกงาม เขาย่อมบริโภคพืชผลที่
หว่านแล้ว.

มาในวาปสมีกรณะ (การทำพืชที่หว่านให้เสมอกัน) ด้วยใช้ไม้คราคเป็นต้น
ในประโยคมีอาทิว่า โน จ โข ปฏิวุตฺตํ พืชที่หว่านไม่เท่ากันแล. มาในชีวิต-
วุตติ (การเลี้ยงชีพ) ในประโยคมีอาทิว่า ปนฺนโลโม ปรทวุตฺโต มิคภูเตน
เจตสา วิหรติ
ผู้ไม่ลำพองเลี้ยงชีพด้วยสิ่งของที่คนอื่นให้ มีใจเหมือน
เนื้ออยู่. มาในปมุตตภาวะ (ความหลุดจากขั้ว) ในประโยคมีอาทิว่า
ปณฺฑุปลาโส พนฺธนา ปวุตฺโต อภพฺโพ หริตตาย ใบไม้เหลืองหลุด
จากขั้วไม่พึงเป็นของเขียวสด. มาในปาวจนภาเวนปวัตติตะ (ความเป็น
ไปโดยบอกกล่าวกันมา) ในประโยคมีอาทิว่า คีตํ ปวุตฺตํ สมิหิตํ เพลง
ขับที่บอกกล่าวกันมา. มาในอัชเฌสนะ. (ความเชื้อเชิญ) ในประโยคมี
อาทิว่า วุตฺโต คุโณ วุตฺโต ปรายโน ความเชื้อเชิญเป็นคุณ ความเชื้อ
เชิญเป็นความเสื่อม. มาในกถนะ (การกล่าว) ในประโยคมีอาทิว่า ก็พระ-

ดำรัสนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเป็นธรรม-
ทายาทของเรา อย่าเป็นอามิสทายาท. แม้ในที่นี้ พึงเห็นว่า วุตฺต ศัพท์
ใช้ในการกล่าวเท่านั้น. อธิบายว่า ตรัสอุทานแม้นี้ ด้วยพระดำรัสนั้น.
ศัพท์ อิติ เท่ากับ เอวํ. ความของบททั้งสองว่า เม สุตํ ได้กล่าวไว้ใน
อรรถกถานิทานโดยอาการทั้งปวงนั่นแหละ. จริงอยู่ ในกาลก่อน ความ
ของทั้งสองบทว่า เอวมฺเม สุตํ ได้กล่าวไว้ด้วยอำนาจคำเริ่มต้น ในที่นี้
กล่าวอีกว่า อิติ เม สุตํ ด้วยอำนาจคำลงท้าย. ก็กล่าวซ้ำถึงอรรถที่กล่าว
แล้วนั่นแล ชื่อว่า นิคม คำลงท้ายแล. การยกเนื้อความแห่ง อิติ ศัพท์
เหมือนในคำว่า เอวมฺเม สุตํ นี้ เพราะ อิติ ศัพท์มีอรรถเสมอด้วย เอวํ
ศัพท์ และการประกอบความของ อิติ ศัพท์ ข้าพเจ้าประกาศไว้แล้วใน
อิติวุตตกวรรณนานั้นแล เพราะเหตุนั้น พึงทราบโดยนัยตามที่กล่าวแล้ว
ในอรรถกถานั้น ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาปฐมโพธิสูตร แห่งอุทานสังวรรณนา
อรรถกถาขุททกนิกาย ชื่อว่า ปรมัตถทีปนี

2. ทุติยโพธิสูตร



ว่าด้วยปฏิจจสมุปบาทเป็นปฏิโลม



[39] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ ประทับอยู่ที่โคนไม้โพธิ
ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่ตำบลอุรุเวลา ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค-
เจ้าประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขด้วยบัลลังก์อันเดียว ตลอด 7 วัน พอล่วง
สัปดาห์นั้นไป พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากสมาธินั้นแล้ว ทรง