เมนู

สารีบุตร ท่านพระมหาโมคัลลานะ ท่านพระมหากัสสปะ ท่านพระ-
มหากัจจานะ ท่านพระมหาโกฏฐิตะ ท่านพระมหากัปปินะ ท่านพระ-
มหาจุนทะ ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระเรวตะและท่านพระนันทะ เข้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระ-
เนตรเห็นท่านเหล่านั้นกำลังมาแต่ไกล ครั้นแล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์เหล่านั้นกำลังมา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พราหมณ์เหล่านั้นกำลังมา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่อย่างนี้แล้ว
ภิกษุผู้มีชาติเป็นพราหมณ์รูปหนึ่ง ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะเหตุเพียงเท่าไรหนอแล
และธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์เป็นไฉน.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ชนเหล่าใดลอยบาปทั้งหลายได้แล้ว มีสติอยู่ทุก
เมื่อ มีสังโยชน์สิ้นแล้ว ตรัสรู้แล้ว ชนเหล่านั้นแล
ชื่อว่าเป็นพราหมณ์ในโลก.

จบเถรสูตรที่ 5

อรรถกถาเถระสูตร



เถรสูตรที่ 5 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สาวตฺถิยํ คือใกล้นครชื่ออย่างนี้. จริงอยู่ นครนั้นท่านเรียกว่า
สาวัตถี เพราะสร้างในที่อยู่อาศัยของฤาษีชื่อสวัตถะ เหมือนเมือง กากนฺทิ
เรียกว่า มากนฺที นักคิดอักษรรู้อย่างนี้เป็นอันดับแรก. ส่วนพระอรรถ-

กถาทั้งหลายกล่าวว่า ชื่อว่าสาวัตถี เพราะเป็นที่มีเครื่องอุปโภคและบริโภค
ทุกชนิดสำหรับมนุษย์ เมื่อถูกถามว่า ในที่นี้มีสิ่งอะไรในการประกอบ
เป็นพวก จึงเรียกว่าสาวัตถี ตอบว่าเพราะอาศัยคำว่า สพฺพมตฺถิ
สิ่งทั้งหมดมีอยู่ดังนี้.
เครื่องอุปกรณ์ทั้งหมดมีพร้อมมูล โดยประการ
ทั้งปวง ในเมืองสาวัตถี เพราะอาศัยความพร้อมมูล
ทั้งปวง จึงเรียกว่า สาวัตถี ดังนี้.

ใกล้เมืองสาวัตถีนั้น. ก็บทว่า สาวตฺถิยํ นี้ เป็นสัตตมีวิภัตติ ใช้ใน
อรรถว่าใกล้.
บทว่า เชตวเน ความว่า ชื่อว่า เชต เพราะชนะข้าศึกของตน.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เชต เพราะประสูติในเมื่อพระราชาชนะเหล่าชนผู้เป็น
ข้าศึก. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เชต เพราะตั้งชื่อท่านอย่างนั้น เพราะต้องการ
ให้เป็นมงคล. ชื่อว่า วนะ เพราะคบหา อธิบายว่า ทำความภักดีในตน
ให้เกิดแก่สัตว์ทั้งหลาย ด้วยคุณสมบัติของตน. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า วนะ
เพราะร้องขอ อธิบายว่า เหมือนร้องขอเหล่าสัตว์ว่า พวกท่านจงใช้สอย
เรา ด้วยการขานเสียงร้องของวิหคมีดุเหว่าเป็นต้น ด้วยความเมาในความ
เพลิดเพลินด้วยดอกไม้และของหอมนานาชนิด และด้วยมือคือใบอ่อนของ
กิ่งไม้ที่ถูกลมอ่อนพัดโชย. สวนของเจ้าเชต ชื่อว่าเชตวัน. จริงอยู่ สวน
นั้นพระราชกุมารพระนามว่าเชต ทรงปลูกสร้างให้เจริญและรักษาไว้ เจ้า
เชตนั่นแหละเป็นเจ้าของสวนนั้น เพราะฉะนั้น สวนนั้นจึงเรียกว่าเชตวัน.
ในสวนชื่อว่าเชตวันนั้น.

บทว่า อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม ความว่า มหาเศรษฐีนั้น นาม
ว่า สุทัตตะ โดยที่บิดามารดาตั้งชื่อให้ ก็ท่านเศรษฐีนั้นให้ก้อนข้าวแก่
คนอนาถาเป็นนิตยกาล เพราะมีความสำเร็จในสิ่งที่ประสงค์ทุกประการ
เพราะปราศจากมลทินคือความตระหนี่ และเพราะพรั่งพร้อมด้วยคุณ มี
กรุณาเป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า อนาถปิณฑิกะ ชื่อว่า อาราม
เพราะเป็นที่ยินดีของสัตว์ คือนักบวชโดยพิเศษ อธิบายว่า ผู้มาจากที่นั้นๆ
ย่อมยินดี เพลิดเพลินไม่เบื่อหน่ายอยู่ ด้วยความงามของดอกไม้และผลไม้
เป็นต้น และด้วยความสมบูรณ์แห่งองค์ของเสนาสนะ 5 ประการ มีไม่
ไกลนัก ไม่ใกล้นักเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าอาราม เพราะนำคน
แม้ไปในที่นั้น ๆ มายินดีเฉพาะในภายในตน ด้วยสมบัติมีประการดังกล่าว
แล้ว. จริงอยู่ อารามนั้นท่านอนาถปิณฑิกคฤหบดีใช้เงิน 18 โกฏิซื้อจาก
พระหัตถ์ของราชกุมารพระนามว่าเชต โดยการเอาเงินโกฏิปูลาด ใช้เงิน
18 โกฏิ สร้างเสนาสนะ ใช้เงิน 18 โกฏิ ฉลองวิหารให้สำเร็จ แล้ว
มอบถวายสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข โดยบริจาคเงิน 54 โกฏิ ด้วย
ประการอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า อารามของท่านอนาถปิณฑิก-
คฤหบดี. ในอารามของท่านอนาถปิณฑิกคฤหบดีนั้น.
ก็ในบรรดาคำเหล่านั้น คำว่า เชตวเน เป็นคำระบุถึงเจ้าของเดิม.
คำว่า อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม เป็นคำระบุถึงเจ้าของคนหลัง. แม้คำ
ทั้งสองก็มีความมุ่งหมายให้ถือเป็นเยี่ยงอย่างต่อไป ของผู้ต้องการบุญ โดย
การแสดงการบริจาคเป็นพิเศษของท่านทั้งสอง. เมื่อว่าโดยการสร้างซุ้ม
ประตูและปราสาทที่พระเชตวันนั้น เจ้าเชตทรงบริจาคเงิน 18 โกฏิ ซึ่ง
ได้จากการขายที่ และต้นไม้มีค่าหลายโกฏิ และท่านอนาถปิณฑิกคฤหบดี

บริจาค 54 โกฏิ. ดังนั้น พระอานนท์ผู้เป็นธรรมภัณฑาคาริก เมื่อจะ
แสดงว่า ผู้ต้องการบุญย่อมทำบุญอย่างนี้ ด้วยการระบุถึงการบริจาคของ
ท่านทั้งสองนั้น จึงชักชวนผู้ต้องการบุญแม้เหล่าอื่น ด้วยการดำเนินตาม
เยี่ยงอย่างของท่านทั้งสองนั้นแล.
ในข้อนั้น พึงมีคำถามสอดเข้ามาว่า ก่อนอื่น ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับอยู่ในเมืองสาวัตถี ไม่ควรกล่าวว่า ในพระเชตวัน ถ้าประทับอยู่
ในพระเชตวัน ก็ไม่ควรกล่าวว่า ในเมืองสาวัตถี เพราะใคร ๆ ไม่สามารถ
จะอยู่ในที่ 2 แห่ง เวลาเดียวกัน ? ตอบว่า ก็ข้อนั้นไม่ควรเห็นอย่างนั้น
เราได้กล่าวไว้แล้วมิใช่หรือว่า บทว่า สาวตฺถิยํ นี้ เป็นสัตตมีวิภัตติใช้ใน
อรรถว่าใกล้. เพราะฉะนั้น เมื่อพระองค์ประทับอยู่ในพระเชตวัน ใกล้เมือง
สาวัตถี ท่านจึงกล่าวว่า สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน ประทับอยู่ในพระ-
เชตวันใกล้กรุงสาวัตถี. จริงอยู่ คำว่า สาวัตถี มีอันแสดงโคจรคามของ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นอรรถ. คำที่เหลือมีอันแสดงสถานที่อยู่อัน
เหมาะสมแก่บรรพชิตเป็นอรรถแล.
คำว่า อายสฺมา ในคำมีอาทิว่า อายสฺมา จ สาริปุตฺโต เป็นคำ
แสดงถึงความรัก. จ ศัพท์ เป็นสมุจจยัตถะ. ชื่อว่า สารีบุตร เพราะเป็น
บุตรของพราหมณี ชื่อรูปสารี. คำว่า มหาโมคฺคลฺลาโน เป็นคำแสดงถึง
การบูชา.ความจริง ชื่อมหาโมคคัลลานะ เพราะพระโมคคัลลานะเป็นผู้ใหญ่
โดยคุณวิเศษ. บทว่า เรวโต ได้แก่ ท่านพระขทิรเรวตะ ไม่ใช่พระ-
กังขาเรวตะ. จริงอยู่ วันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่
เหมือนพระจันทร์ลอยเด่นท่ามกลางท้องฟ้า ประทับนั่งแสดงธรรมคือ
หมวดสัจจะ 4 ท่ามกลางบริษัท 4 เหมือนปราสาททองที่แวดวงด้วยม่าน

แดงเหมือนภูเขาทองแวดล้อมด้วยชลธารน้ำเงิน เหมือนพระยาหงส์ธตรฐ
แวดล้อมด้วยหงส์เก้าหมื่น เหมือนพระเจ้าจักรพรรดิแวดล้อมด้วยจตุรง-
คินีเสนาอันรุ่งโรจน์ด้วยรัตนะ 7. สมัยนั้น พระอัครสาวกและพระ
มหาสาวกเหล่านี้ได้เข้าไปเฝ้าเพื่อถวายบังคมพระยุคลบาทของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า.
บทว่า ภิกฺขู อามนฺเตสิ ความว่า ทรงแสดงพระสาวกเหล่านั้นผู้
กำลังมา ตรัสกะภิกษุผู้นั่งแวดล้อมพระองค์. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงเห็นท่านเหล่านั้นผู้สมบูรณ์ด้วยคุณมีศีล สมาธิและปัญญาเป็นต้น ผู้
ประกอบด้วยความสงบอย่างยิ่ง ประกอบด้วยสมบัติคือมารยาทอย่างยิ่ง
กำลังเข้ามาเฝ้า ทรงมีพระทัยเลื่อมใส เพื่อจะระบุคุณวิเศษของพระสาวก
เหล่านั้น จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์เหล่านั้น
กำลังมา ภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์เหล่านั้นกำลังมา.
คำนั้น พระองค์
ตรัสด้วยความเลื่อมใส จะตรัสว่าด้วยความสรรเสริญ ดังนี้ก็ถูก. บทว่า
เอวํ วุตเต ความว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พราหมณ์ หมายเอา
ท่านเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้. บทว่า อญฺญตโร ได้แก่ ภิกษุรูปหนึ่ง
ผู้ไม่ปรากฏโดยชื่อและโคตร นั่งอยู่ในบริษัทนั้น. บทว่า พฺราหฺมณชาติโก
แปลว่า ผู้เกิดในตระกูลพราหมณ์. จริงอยู่ ภิกษุนั้นบวชจากตระกูล
พราหมณ์มหาศาลผู้มีโภคะมาก. ได้ยินว่า ภิกษุนั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า
ชาวโลกเหล่านี้กล่าวกันว่า บุคคลเป็นพราหมณ์โดยอุภโตสุชาติ และ
สำเร็จการศึกษามาจากลัทธิพราหมณ์ ไม่ใช่เป็นพราหมณ์โดยประการอื่น
แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกท่านเหล่านั้นว่าพราหมณ์ เอาเถอะ เราจะ
ทูลถามถึงลักษณะความเป็นพราหมณ์กะพระผู้มีพระภาคเจ้า. จริงอยู่ ใน

คราวนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถึงพระเถระเหล่านั้นว่าพราหมณ์
หมายเอาความนั้นแหละ จริงอยู่ รูปวิเคราะห์แห่งชาติพราหมณ์ว่า ชื่อว่า
พราหมณ์ เพราะสาธยายมนต์. ส่วนพระอริยะชื่อว่าพราหมณ์ เพราะเป็น
ผู้ลอยบาป. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า เรียกว่าพราหมณ์ เพราะเป็น
ผู้ลอยบาป เรียกว่าสมณะ เพราะเป็นผู้ประพฤติสงบ แต่ท่านจะกล่าวว่า
ลอยปาปธรรม.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ได้แก่ ทราบเนื้อความแห่งพราหมณ-
ศัพท์นี้ อันถึงความเป็นยอดโดยปรมัตถ์. บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า
ทรงเปล่งอุทานนี้อันแสดงความเป็นพราหมณ์โดยปรมัตถ์.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พาหิตฺวา ได้แก่ ทำไว้ภายนอก คือ
นำออกจากสันดานของตน อธิบายว่า ละด้วยสมุจเฉทปหาน. บทว่า
ปาปเก ธมฺเม แปลว่า ธรรมอันลามก. อธิบายว่า ว่าโดยทุจริต ได้แก่
ทุจริต 3. ว่าโดยจิตตุปบาท ได้แก่อกุศลจิตตุปบาท 12, ว่าโดยกรรมบถ
ได้แก่อกุศลกรรมบถ 10. ว่าโดยประเภทแห่งประวัติ ได้แก่อกุศลธรรม
ทั้งหมดแยกเป็นหลายประเภท. บทว่า เย จรนฺติ สทา สตา ความว่า
ชนเหล่าใด มีสติ คือเป็นผู้มีสติ ด้วยธรรมเครื่องอยู่คือสติ 6 ในอารมณ์
6 มีรูปเป็นต้นตลอดกาลทั้งปวง เพราะเป็นผู้ถึงความไพบูลย์ด้วยสติ ย่อม
เที่ยวไปด้วยอิริยาบถทั้ง 4. ก็ในที่นี้ แม้สัมปชัญญะพึงทราบว่า ท่านก็ถือ
เอาด้วยสติศัพท์นั่นแหละ. บทว่า ขีณสํโยชนา ได้แก่ ชื่อว่าสิ้นสังโยชน์
ทั้งปวง เพราะตัดสังโยชน์ 10 ได้เด็ดขาด ด้วยมรรคทั้ง 4. บทว่า พุทฺธา
คือ ชื่อว่าพุทธะ เพราะตรัสรู้สัจจะ 4. ก็แหละพุทธะเหล่านั้น มี 3 ประเภท
คือ สาวกพุทธะ ปัจเจกพุทธะ และสัมมาสัมพุทธะ. ก็บรรดาพุทธะ 3 นั้น

ในที่นี้ประสงค์เอาสาวกพุทธะ. บทว่า เต เว โลกสมึ พฺราหฺมณา ความว่า
พุทธะเหล่านั้นเกิดโดยอริยชาติในธรรมกล่าวคือพราหมณ์ เพราะอรรถว่า
เป็นผู้ประเสริฐ หรือเป็นบุตรคือโอรสของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็น
พราหมณ์ เพราะฉะนั้น เมื่อว่าโดยปรมัตถ์ ก็ชื่อว่าพราหมณ์ในสัตว์โลก
นี้. อธิบายว่า ไม่ใช่เป็นพราหมณ์โดยเหตุเพียงชาติและโคตร หรือไม่ใช่
เป็นพราหมณ์ด้วยเหตุเพียงทรงชฎาเป็นต้น . ในสูตรทั้งสองนี้ ธรรมอัน
ทำความเป็นพราหมณ์ พระองค์ตรัสให้ถึงพระอรหัต ด้วยประการฉะนี้
แต่พึงทราบความต่างกันแห่งเทศนา โดยการตรัสต่าง ๆ กัน ด้วยเทศนา-
วิลาส เพราะเหล่าสัตว์มีอัธยาศัยต่างกัน.
จบอรรถกถาเถรสูตรที่ 5

6. มหากัสสปสูตร



ว่าด้วยพระมหากัสสปะไม่รับบิณฑบาตเทวดารับของคนขัดสน



[43] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลัน-
ทกนิวาปสถาน ใกล้กรุงราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะอยู่
ที่ถ้ำปิปผลิคูหา อาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก สมัยต่อมา ท่านพระ-
มหากัสสปะหายจากอาพาธนั้นแล้วได้คิดว่า ไฉนเราพึงเข้าไปสู่พระนคร-
ราชคฤห์เพื่อบิณฑบาต ก็สมัยนั้น เทวดาประมาณ 500 ถึงความขวนขวาย
เพื่อจะให้ท่านพระมหากัสสปะได้บิณฑบาต ท่านพระมหากัสสปะห้าม
เทวดาประมาณ 500 เหล่านั้นแล้ว เวลาเช้า นุ่งแล้ว ถือเอาบาตรและ
จีวรเข้าไปสู่พระนครราชคฤห์เพื่อบิณฑบาตตามทางที่อยู่แห่งมนุษย์ขัดสน