เมนู

โน้น พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เหมือนบุรุษผู้มีกำลังพึงเหยียดแขนที่คู้หรือพึง
คู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นมนุษย์เหล่านั้น
บางพวกแสวงหาเรือ บางพวกแสวงหาพ่วง บางพวกผูกแพ ต้องการจะ
ข้ามไปฝั่งโน้น.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ชนเหล่าใดจะข้ามห้วงน้ำคือสงสาร และสระคือ
ตัณหา ชนเหล่านั้นกระทำสะพานคืออริยมรรค ไม่
แตะต้องเปือกตมคือกามทั้งหลาย จึงข้ามสถานที่ลุ่ม
อันเต็มด้วยน้ำได้ ก็ชนแม้ต้องการจะข้ามน้ำมีประ-
มาณน้อย ก็ต้องผูกแพ ส่วนพระพุทธเจ้า และ
พุทธสาวกทั้งหลายเป็นผู้มีปัญญา เว้นจากแพก็ข้าม
ได้.

จบปาฏลิคามิยสูตรที่ 6

อรรถกถาปาฏลิคามิยสูตร



ปาฏลิคามิยสูตรที่ 6

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า มคเธสุ แปลว่า ในแคว้นมคธ. บทว่า มหตา ความว่า แม้
ในที่นี้ ได้แก่ ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เพราะใหญ่โดยคุณบ้าง ใหญ่โดยจำนวน
โดยการกำหนดนับไม่ได้บ้าง. บทว่า ปาฏลิคาโม ได้แก่ บ้านตำบลหนึ่ง
ในแคว้นมคธ อันมีชื่ออย่างนี้. ข่าวว่า ในวันสร้างบ้านนั้น หน่อแคฝอย

2- หน่อ ในที่จับจองสร้างบ้าน ได้แทรกออกมาจากแผ่นดิน. ด้วยเหตุ
นั้น บ้านนั้นชนทั้งหลายจึงพากันกล่าวว่า ปาฏลิคาม. บทว่า ตทวสริ
ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไป คือได้เสด็จไปถึงปาฏลิคามนั้น.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เสด็จไปถึงปาฏลิคามในกาลไร. พระองค์
ทรงให้สร้างเจดีย์เพื่อพระธรรมเสนาบดี ในกรุงสาวัตถี โดยนัยที่กล่าว
ไว้แล้วในหนหลัง เสด็จออกจากกรุงสาวัตถีนั้นประทับอยู่ ณ กรุงราชคฤห์
จึงให้สร้างเจดีย์เพื่อพระมหาโมคคัลลานะ ในกรุงราชคฤห์นั้น เสด็จออก
จากกรุงราชคฤห์นั้นแล้ว ประทับอยู่ที่อัมพลัฏฐิวัน แล้วเสด็จจาริกไปใน
ชนบท โดยการจาริกไม่รีบด่วน จึงประทับแรมราตรีหนึ่งในที่นั้น ๆ
เพื่อทรงอนุเคราะห์สัตวโลก จึงได้เสด็จถึงปาฏลิคามโดยลำดับ.
บทว่า ปาฏลิคามิยา ไค้แก่ อุบาสกชาวปาฏลิคาม. ได้ยินว่า
อุบาสกเหล่านั้นบางพวกตั้งอยู่ในสรณะ บางพวกตั้งอยู่ในศีล บางพวก
ตั้งอยู่ทั้งในสรณะ ตั้งอยู่ทั้งในศีล ด้วยการเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น
ครั้งแรก. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อุบาสกทั้งหลาย เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงที่ประทับ
ดังนี้.
ได้ยินว่า ในปาฏลิคาม พวกคนของพระเจ้าอชาตศัตรู และของ
พระเจ้าลิจฉวีทั้งหลายพากันไปตามกาลอันสมควร ไล่เจ้าของบ้านให้ออก
จากบ้าน แล้วอยู่เดือนหนึ่งบ้าง กึ่งเดือนบ้าง. ด้วยเหตุนั้น พวกคน
ชาวปาฏลิคามถูกรุกรานเป็นประจำ จึงคิดว่า ก็ในเวลาที่พวกคนเหล่านี้มา
จักได้มีที่อยู่ ดังนี้แล้ว จึงได้พากันสร้างศาลาหลังใหญ่กลางเมือง อัน
เพียงพอแก่การอยู่ของคนทั้งหมด โดยไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน คือให้

มีที่เก็บของของอิสรชนในส่วนหนึ่ง ให้เป็นที่อยู่ส่วนหนึ่ง ให้เป็นที่อยู่
ของคนเดินทางผู้เป็นอาคันตุกะไว้ส่วนหนึ่ง ให้เป็นที่อยู่ของคนกำพร้า
เข็ญใจไว้ส่วนหนึ่ง เป็นที่อยู่ของคนไข้ไว้ส่วนหนึ่ง ดังนี้. ศาลาหลังนั้น
ได้มีชื่อว่า อาวสถาคาร (ที่พักแรม) แล. ก็ในวันนั้น การสร้างศาลา
หลังนั้น ก็ได้สำเร็จลง. ก็ชาวปาฏลิคามเหล่านั้น พากันไปในที่นั้น
ตรวจดูศาลานั้นตั้งแต่ซุ้มประตู ซึ่งสำเร็จเรียบร้อย จัดแจงไว้ด้วยดี ด้วย
งานไม้ งานปูน และงานจิตรกรรม เป็นต้น เหมือนเทพวิมาน แล้วพา
กันคิดว่า อาวสถาคารนี้ เป็นที่น่ารื่นรมย์ เป็นมิ่งขวัญยิ่งนัก ใครหนอ
จักได้ใช้สอยก่อน จักพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่พวกเราตลอดกาล
นาน. ก็ในขณะนั้นนั่นเอง พวกเขาได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จ
ถึงบ้านนั้น. ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงเกิดปีติโสมนัส ทำการตกลงกันว่า
พวกเราควรจะนำพระผู้มีพระภาคเจ้ามาบ้าง ด้วยว่าพระองค์เสด็จถึงที่อยู่
ของพวกเราด้วยพระองค์เองแล้ว วันนี้พวกเรา จักให้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับอยู่ในที่นี้ แล้วจักให้พระศาสดาทรงเสวยก่อน ภิกษุสงฆ์ก็เหมือน
กัน เมื่อภิกษุสงฆ์มาถึง พระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎก ก็จักมาถึงเหมือน
กัน เราจักให้พระศาสดาตรัสมงคล แสดงธรรม ดังนั้น เมื่อรัตนะ 3
ใช้สอยแล้ว ภายหลังพวกเรา และคนเหล่าอื่นก็จักใช้สอย เมื่อเป็นเช่นนี้
ก็จักเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่พวกเรา ตลอดกาลนาน ดังนี้แล้ว จึงเข้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อประโยชน์นั้นนั่นแล. เพราะฉะนั้น พวกเขา
จึงกราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จง
ทรงรับอาวสถาคาร ของข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด.

บทว่า เยน อาวสถาคารํ เตนุปสงฺกมึสุ ความว่า อาวสถาคารนั้น
เขาจัดแจงปฏิบัติด้วยดี เหมือนเทพวิมาน เพราะสำเร็จเรียบร้อยด้วยดี
ในวันนั้นนั่นเองก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่ได้ตบแต่ง ให้ควรแก่
พระพุทธเจ้า พวกชาวปาฏลิคามเหล่านั้น พากันคิดว่า ธรรมดาพระ-
พุทธเจ้าทั้งหลาย มีอัธยาศัยอยู่ป่า มีป่าเป็นที่มายินดี พึงอยู่ภายในบ้าน
ก็ตาม ไม่อยู่ก็ตาม ฉะนั้น พวกเราพอรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง
พอพระหฤทัย จึงจักตบแต่ง ดังนี้แล้ว จึงพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
บัดนี้ ทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพอพระหฤทัย จึงมีความประสงค์
จะตบแต่งเช่นนั้น จึงเข้าไปถึงอาวสถาคาร.
บทว่า สพฺพสนฺถรึ อาวสถาคารํ สนฺถริตฺวา ความว่า ชาวปาฏ-
ลิคามเหล่านั้นลาดอาวสถาคารนั้น อย่างที่ลาดแล้วทั้งหมดนั่นแล ก่อนอื่น
ทั้งหมด จึงเอาโคมัยสดฉาบทาพื้น แม้ที่ฉาบไว้ด้วยปูนขาว ด้วยคิดว่า
ธรรมดาว่าโคมัย ย่อมใช้ได้ในงานมงคลทั้งหมด รู้ว่าแห้งแล้ว จึงไล้ทา
ด้วยของหอมมีชาติ 4 โดยไม่ปรากฏรอยเท้าในที่ที่เหยียบ ลาดเสื่อลำแพน
ที่มีสีต่างๆ ไว้ข้างบน แล้วลาดผ้าขนสัตว์ผืนใหญ่เป็นต้น ไว้ข้างบนเสื่อ
ลำแพนเหล่านั้นแล้ว ลาดที่ว่างทั้งหมด อันควรจะพึงลาด ด้วยเครื่องลาด
มีสีต่างๆ มีหัตถัตถรณะเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ลาด
อาวสถาคาร ลาดทั้งหมดเป็นต้น.
จริงอยู่ ในท่ามกลางอาสนะทั้งหลาย พวกเขาตบแต่งพุทธอาสน์
มีค่ามาก พิงเสามงคลเป็นอันดับแรก แล้วลาดเครื่องลาดที่อ่อนนุ่ม น่า
รื่นรมย์ใจ ไว้บนพุทธอาสน์นั้นแล้ว จัดแจงเขนยที่มีสีแดงทั้งสองข้าง
เห็นเข้าน่าฟูใจแล้ว ผูกเพดานอันวิจิตรด้วยดาวทองดาวเงินไว้ข้างบน

ประดับด้วยพวงของหอม พวงดอกไม้เเละพวงใบไม้เป็นต้น ให้กั้นข่าย
ดอกไม้ ในที่ 12 ศอก โดยรอบแล้ว ให้เอาม่านผ้าล้อมที่ประมาณ 30
ศอก ให้ลาดแคร่ พนักอิงเตียงและตั่งเป็นต้น เพื่อภิกษุสงฆ์อิงฝาด้าน
หลัง ให้ลาดเครื่องลาดขาวไว้ข้างบน ให้สร้างข้างศาลาด้านทิศตะวันออก
อันเหมาะกับที่นั่งของตน. อย่างที่ท่านหมายกล่าวไว้ว่า ให้ปูอาสนะ
เป็นต้น.
บทว่า อุทกมณิกํ ได้แก่ หม้อน้ำ อันแล้วด้วยทอง และมณีมีค่ามาก
คือ ตุ่มน้ำ. พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ จักล้างมือและเท้า บ้วนปาก
ตามความชอบใจ ด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงบรรจุน้ำ
ที่มีสีดังแก้วมณี ให้เต็มในที่นั้น ๆ แล้ว ใส่ดอกไม้นานาชนิด และจุณ
สำหรับอบน้ำ เพื่อประโยชน์แก่การอบแล้ว ก็ให้เอาใบกล้วยวางปิดไว้.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ให้ตั้งหม้อน้ำไว้.
บทว่า เตลปฺปทีปํ อาโรเปตฺวา ความว่า ให้ตามประทีปน้ำมัน
ที่ตะคันอันสำเร็จด้วยทองและเงินเป็นต้น วางไว้ในมือของรูปทหาร และ
รูปที่สลักอันงดงามเป็นต้น ที่ไฟชนวนอันมีด้ามสำเร็จด้วยทองและเงิน
เป็นต้น. ก็ในคำว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
อุบาสกชาวปาฏลิคามเหล่านั้น มิใช่จัดแจงแต่อาวสถาคารอย่างเดียวเท่านั้น
ก็หามิได้ โดยที่แท้ ยังให้จัดแจงถนนในบ้านแม้ทั้งสิ้นแล้ว ให้ยกธงชัย
ขึ้น วางหม้อน้ำอันเต็มและต้นกล้วยไว้ที่ประตูบ้าน ให้บ้านทั้งหมด
เหมือนดารดาษไปด้วยหมู่ดาว ด้วยระเบียบประทีป ให้ตีกลองร้องประ-
กาศว่า ให้เด็กที่ยังไม่ทิ้งนมให้ดื่มน้ำนม ให้เด็กรุ่น ๆ รีบกินเสียแล้วไป
นอน อย่าส่งเสียงเอ็ดอึง วันนี้ พระศาสดาจักประทับอยู่ภายในบ้านราตรี

หนึ่ง ธรรมดาว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงมีพระประสงค์เสียงที่เบา
ดังนี้แล้ว ถือไฟชนวนเอง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ.
บทว่า อถโข ภควา (ปุพฺพณฺหสมยํ) นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย
สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆน เยน อาวสถาคารํ เตนุปสงฺกมิ
ความว่า ได้ยินว่า
เมื่อพวกชาวปาฏลิคามเหล่านั้น กราบทูลกาลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์
เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า สำคัญเวลาอันสมควร ณ บัดนี้เถิด พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงจัดแจงผ้าที่ย้อมแล้ว 2 ชั้น มีสีดังดอกทองหลางแดงอัน
ชุ่มด้วยน้ำครั่ง นุ่งปกปิดมณฑล 3 เหมือนเอากรรไกรตัดดอกปทุม ทรง
คาดประคดเอว อันงดงามดุจสายฟ้า เหมือนเอาสังวาลทองคำล้อมกำ
ดอกปทุม ทรงห่มผ้าบังสุกุลจีวรอันบวรที่ย้อมดีแล้ว มีสีเสมอด้วยต้นไทร
พระองค์ทรงถือเอา ทำภูเขาจักรวาล สิเนรุ ยุคันธร และมหาปฐพีทั้งสิ้น
ให้หวั่นไหว เหมือนเอาผ้ากัมพลแดงห่อหุ้มตะพองช้าง เหมือนซัดตาข่าย
แก้วประพาฬที่ลิ่มทองคำ สูงประมาณ 100 ศอก เหมือนสวมเสื้อกัมพล
แดงที่สุวรรณเจดีย์ใหญ่ เหมือนเมฆแดงปกปิดพระจันทร์ในวันเพ็ญ ซึ่ง
กำลังโคจร เหมือนลาดน้ำครั่งที่สุกดี บนยอดภูเขาทอง และเหมือนเอา
ตาข่าย สายฟ้า แวดวง ยอดเขาจิตกูฏ เสด็จออกจากมณฑปทองคำที่
พระองค์ประทับนั่ง เหมือนพระจันทร์เพ็ญ และเหมือนพระสุริโยทัย
ทอแสงอ่อน ๆ จากยอดเขา โดยรอบ เหมือนไกรสรราชสีห์ออกจากพงป่า.
ลำดับนั้นแล รัศมีซ่านออกจากพระวรกายของพระองค์ เหมือน
กลุ่มสายฟ้า แลบออกจากหน้าเมฆ แล้วจับรอบต้นไม้ เหมือนสายน้ำ
ทองคำจับที่ใบ ดอก ผล กิ่ง และค่าคบ ซึ่งเหลืองไปด้วยการราดรด.
ในขณะนั้นนั่นเอง ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ถือบาตรและจีวรของตนๆ พากัน

แวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า. ก็ภิกษุเหล่านั้น ผู้ยืนแวดล้อมพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าอยู่ ได้เป็นผู้เช่นนั้นคือ เป็นผู้มักน้อย สันโดษ สงัด ไม่คลุกคลี
ด้วยหมู่ ผู้ปรารภความเพียร ผู้กล่าวสอน ผู้อดทนต่อถ้อยคำ ผู้กล่าว
ตักเตือน ผู้มักตำหนิความชั่ว สมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ
และสมบูรณ์ด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ. พระผู้มีพระภาคเจ้า อันภิกษุเหล่านั้น
แวดล้อมแล้วไพโรจน์ เหมือนแท่งทองคำ ที่แวดวงด้วยผ้ากัมพลแดง
เหมือนพระจันทร์เพ็ญ แวดล้อมไปด้วยหมู่ดาว เหมือนนาวาทองคำ อยู่
ในป่าดอกปทุมแดง และเหมือนปราสาททองคำ ที่แวดล้อมไปด้วยไพที
แก้วประพาฬ.
ฝ่ายพระมหาเถระ มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ผู้มีราคะอันคาย
แล้ว ผู้ทำลายกิเลสแล้ว สางกิเลสดุจรกชัฏ ตัดกิเลสเครื่องผูกได้แล้ว
ไม่ข้องอยู่ในตระกูลหรือคณะ ห่มบังสุกุลจีวรมีสีดังสีเมฆ พากันแวดล้อม
เหมือนพญาช้างหุ้มเกราะแก้วมณีฉะนั้น. ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์เองเป็นผู้ปราศจากราคะ อันผู้ปราศจากราคะแวดล้อม เป็นผู้
ปราศจากโทสะ อันผู้ปราศจากโทสะแวดล้อม เป็นผู้ปราศจากโมหะ อัน
ผู้ปราศจากโมหะแวดล้อม เป็นผู้ปราศจากตัณหา อันผู้ปราศจากตัณหา
แวดล้อม เป็นผู้ปราศจากกิเลส อันผู้ปราศจากกิเลสแวดล้อม พระองค์
เองเป็นผู้ตรัสรู้แล้ว อันผู้ตรัสรู้ตามแวดล้อม เหมือนเกสรแวดล้อมด้วย
กลับ เหมือนช่อดอกไม้แวดล้อมด้วยเกสร เหมือนพญาช้างฉัททันต์ แวด
ล้อมด้วยช้าง 8,000 ตัว เชือก เหมือนพญาหงส์ธตรฐ แวดล้อมด้วยหงส์
90,000 ตัว เหมือนพระเจ้าจักรพรรดิ แวดล้อมด้วยองค์แห่งเสนา เหมือน
ท้าวสักกเทวราช แวดล้อมด้วยเทวดา เหมือนหาริตมหาพรหม แวด

ล้อมด้วยหมู่พรหม เหมือนพระจันทร์เพ็ญ แวดล้อมด้วยหมู่ดาว ทรง
ดำเนินไปตามทาง อันเป็นที่ไปยังปาฏลิคาม ด้วยเพศแห่งพระพุทธเจ้า
อันหาผู้เปรียบมิได้ ด้วยพุทธวิลาส อันหาประมาณมิได้.
ลำดับนั้น พระพุทธรัศมีทึบ มีวรรณะเพียงดังทองคำ พุ่งออก
จากพระวรกายเบื้องหน้าของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ได้จรดที่ประมาณ
80 ศอก อนึ่ง พระพุทธมีรัศมีทึบ มีวรรณะเพียงดังทองคำ พุ่งออก
จากพระวรกายเบื้องหลัง จากพระปรัศว์เบื้องขวา จากพระปรัศว์เบื้อง
ซ้าย จรดที่ประมาณ 80 ศอก. พระพุทธรัศมีทึบสีคราม เหมือนสีที่
ส่องออกจากคอนกยูง พุ่งออกจากมวยผมทั้งหมด ตั้งแต่ที่สุดปลายผม
ข้างบน จรดที่ประมาณ 80 ศอก บนท้องฟ้า. รัศมีมีวรรณะดังแก้ว
ประพาฬ พุ่งออกจากพระยุคลบาทเบื้องต่ำ จรดที่ประมาณ 80 ศอก
ในแผ่นดินทึบ. พระพุทธรัศมีทึบสีขาว พุ่งออกจากพระทนต์ จากที่
ดวงตาขาว จากที่เล็บที่พ้นจากหนังและเนื้อ จรดที่ประมาณ 80 ศอก.
พระรัศมี มีสีหงสบาท พุ่งออกจากที่สีแดงและสีเหลืองคละกัน จรดที่
ประมาณ 80 ศอก. พระรัศมีเลื่อมปภัสสร พุ่งขึ้นมีประโยชน์ดีกว่าเขา
หมดแล. พระพุทธรัศมีมีวรรณะ 6 ประการ ทำสถานที่ประมาณ 80
ศอก โดนรอบอย่างนี้ ให้โชติช่วง แผ่ฉวัดเฉวียงไป แล่นไปสู่ทิศน้อย
ใหญ่ เหมือนเปลวประทีปดวงใหญ่ แลบออกจากไฟชนวนทองค่ำ แล่น
ขึ้นสู่กลางหาว และเหมือนสายฟ้าที่แลบออกจากมหาเมฆในทวีปทั้ง 4.
อันเป็นเหตุให้ส่วนทิศทั้งหมดรุ่งโรจน์โชติช่วง เหมือนโปรยปรายด้วย
ดอกจำปาทองคำ เหมือนเอาสายน้ำทองคำ เทออกจากหม้อทองคำ
เหมือนแวดวงด้วยแผ่นทองคำที่แผ่ออกไป เหมือนเกลื่อนกล่นฟุ้งด้วยจุณ

แห่งดอกทองกวาว ดอกกรรณิกา และดอกทองหลาง ที่ฟุ้งขึ้นด้วยลม
หัวด้วน และเหมือนย้อมด้วยผงชาด. จริงอยู่ พระโฉมของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า อันรุ่งเรืองแวดล้อมด้วยอนุพยัญชนะ 80 และพระรัศมีด้านละ
วา ประดับด้วยพระมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ อันปราศจากเครื่อง
หม่นหมอง มีไฝฝ้า และขี้แมลงวัน เป็นต้น รุ่งโรจน์โชติช่วง เหมือน
ท้องฟ้าสว่างด้วยหมู่ดาวที่สุกปลั่ง เหมือนป่าปทุมที่แย้มบานเต็มที่
เหมือนต้นปาริฉัตตกะ (ต้นแคฝอย) สูง 100 โยชน์ ผลิบานเต็มที่ เหมือน
ครอบงำสิริกับสิริของพระจันทร์ 32 ดวง ของพระอาทิตย์ 32 ดวง
ของพระเจ้าจักรพรรดิ 32 ของพระเทวราช 32 ของมหาพรหม 32
ตั้งเรียงกันตามลำดับ ที่ประดับด้วยความเป็นผู้มีพระบารมี 30 ถ้วน ที่
ทรงบำเพ็ญมาโดยชอบ คือ พระบารมี 10 พระอุปบารมี 10 และพระ-
ปรมัตถบารมี 10 เกิดขึ้นด้วยการบำเพ็ญทาน ด้วยการรักษาศีล ด้วย
การบำเพ็ญกัลยาณธรรมสิ้น 4 อสงไขย กำไรแสนกัลป์ รวมลงใน
อัตภาพหนึ่ง เมื่อไม่ได้โอกาสที่จะให้ผล เป็นเหมือนถึงความคับแคบ
เป็นเหมือนเวลายกสิ่งของในเรือ 1,000 ลำ บรรทุกลงเรือลำเดียว เหมือน
เวลายกสิ่งของในเกวียน 1,000 เล่ม บรรทุกลงเกวียนเล่มเดียว และเป็น
เหมือนเวลาที่แม่น้ำคงคา 25 สาย แยกออกจากกันแล้วรวมเป็นสายเดียว
กันที่ปากน้ำ.
ไฟชนวนหลายพันดวงโผล่ขึ้นเบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค-
เจ้านี้ ผู้สว่างไสวอยู่ด้วยพุทธรังสีนี้ ทั้งเบื้องพระปฤษฎางค์ พระปรัศว์
ซ้าย พระปรัศว์เบื้องขวาก็เหมือนกัน. ดอกมะลิ ดอกจำปา ดอกมะลิ-
ซ้อน อุบลแดง อุบลเขียว ดอกพิกุล และดอกไม้ย่างทราย เป็นต้น

และจุรณะเครื่องหอมมีสีเขียวและสีเหลืองเป็นต้นเรียงราย ดุจเมล็ดฝนที่
ปราศจากมหาเมฆทั้ง 4 ทิศ. เสียงกึกก้องแห่งดนตรีมีองค์ 5 และเสียง
กึกก้องสดุดีที่เกี่ยวด้วยพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ ได้เป็นเสมือน
มีปากพูดเต็มไปทั่วทุกทิศ. ดวงตาของเทพ สุบรรณ นาค ยักษ์ คนธรรพ์
และมนุษย์ ได้เป็นเสมือนได้ดื่มน้ำอมฤต. ก็ในที่นี้ ควรจะกล่าวสรรเสริญ
การเสด็จไป โดยเป็นพัน ๆ บท. แต่ในที่นี้ มีเพียงมุขปาฐะดังต่อไปนี้
พระผู้นำโลกไปให้วิเศษ ผู้สมบูรณ์ด้วยสรรพางค์
กายอย่างนี้ ผู้ทำแผ่นดินให้หวั่นไหว ผู้ไม่เบียดเบียน
เหล่าสัตว์ เสด็จดำเนินไปอยู่. พระผู้องอาจใน
หมู่ชน ทรงยกพระบาทขวาขึ้นก่อน ผู้เพียบพร้อม
พื้นพระบาทเบื้องล่างของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้
พื้นพระบาทเบื้องล่างของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้
เสด็จดำเนินไป อ่อนนุ่มลูกพื้นดินอันสม่ำเสมอ นี้
แปดเปื้อนด้วยธุลี. เมื่อพระโลกนายเสด็จดำเนินไป
สถานที่ลุ่ม ย่อมนูนขึ้น สถานที่นูนขึ้นก็สม่ำเสมอ
ทั้งที่แผ่นดินไม่มีจิตใจ. เมื่อพระผู้นำโลกเสด็จ
ดำเนินไป มรรคาทั้งหมดปราศจากหิน ก้อนกรวด
กระเบื้องถ้วย หลักตอและหนาม. ไม่ยกพระบาท
ในที่ไกลเกินไป ไม่ซอยพระบาทในที่ใกล้เกินไป ไม่
หนีบพระชาณุและข้อพระบาททั้ง 2 เบียดเสียดกัน
เสด็จดำเนินไป. พระมุนีผู้มีการดำเนินเพียบพร้อม
มีพระทัยตั้งมั่น เมื่อเสด็จไปก็ไม่เสด็จเร็วเกินไป ทั้ง

ไม่เสด็จช้าเกินไป. พระองค์เสด็จไปไม่ได้ทอด
พระเนตรดูเบื้องบนเบื้องล่าง เบื้องขวาง ทศน้อย
ทิศใหญ่ก็เหมือนกัน ทรงทอดพระเนตรเพียงชั่วแอก.
พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสด็จเยื้องกรายดุจพญาช้าง
ย่อมงดงามในการเสด็จดำเนินไป พระองค์เป็นผู้เลิศ
ของโลก เสด็จดำเนินไปงดงาม ทำโลกพร้อมทั้ง
เทวโลกให้ร่าเริง. พระองค์งดงามดุจพญาอุสภะ
ดุจไกรสรราชสีห์ มีการเดินอย่างงดงาม ทรงยัง
เหล่าสัตว์เป็นอันมากให้ยินดี เสด็จเข้าถึงบ้านอัน
ประเสริฐ.

นี้ชื่อว่าเป็นเวลาสรรเสริญ กำลังของพระธรรมกถึกเท่านั้น เป็น
ประมาณในการสรรเสริญพระโฉม และสรรเสริญพระคุณของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ในกาลทั้งหลายเช่นอย่างนี้. ด้วยจุรณียบทที่ผูกเป็นคาถา
ควรจะกล่าวเท่าที่สามารถ ไม่ควรจะกล่าวว่า กล่าวได้ยาก หรือว่าแล่น
ไปผิดท่า. จริงอยู่ ถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ย่อมไม่สามารถกล่าวคุณ
ของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้ามีพระคุณหาปริมาณมิได้โดยสิ้นเชิง เพราะ
เมื่อสรรเสริญพระคุณอยู่ตลอดกัป ก็ไม่สามารถจะให้พระคุณสิ้นสุดลงได้
จะป่วยกล่าวไปไยถึงหมู่สัตว์นอกนี้เล่า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตบแต่งประดับด้วยพระสิริวิลาสนี้ เสด็จ
เข้าไปยังปาฏลิคาม อันชนผู้มีจิตเลื่อมใสบูชาด้วยสักการะ มีดอกไม้ ของ
หอม ธูป และจุณสำหรับอบเป็นต้น เสด็จเข้าไปยังอาวสถาคาร. ด้วย
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงครองผ้า

ถือบาตรและจีวร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไปยังอาวสถาคารดังนี้.
บทว่า ปาเท ปกฺขาเลตฺวา ความว่า แม้ถ้าเปือกตมคือธุลี ไม่
เปื้อนพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็จริง ถึงกระนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงหวังความเจริญยิ่งแห่งกุศล ของอุบาสกและอุบาสิกาเหล่านั้น จึงทรง
ให้ล้างพระบาท เพื่อให้ชนเหล่าอื่นถือเอาเป็นตัวอย่าง. อีกอย่างหนึ่ง
ขึ้นชื่อว่า พระสรีระอันมีใจครอง ก็ต้องทำให้เย็น เพราะฉะนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงกระทำการสรงสนาน และทรงล้างพระบาทเป็นต้น
แม้เพื่อประโยชน์นี้ทีเดียว.
บทว่า ภควนฺตญฺเญว ปุรกฺขตฺวา ได้แก่ กระทำพระผู้มีพระภาค-
เจ้าไว้เบื้องหน้า. ในข้อนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับนั่งในท่าม-
กลางของภิกษุทั้งหลาย และของอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ทรงให้สรง
สนานด้วยน้ำหอมแล้ว ทำให้น้ำแห้งไปด้วยเสวียนผ้าแล้ว ทำให้แห้งด้วย
ชาดหิงดุ ย่อมไพโรจน์ยิ่งนัก เหมือนรูปเปรียบที่ทำด้วยแท่งทองสีแดง
ซึ่งประดิษฐานไว้บนตั่ง อันแวดวงด้วยผ้ากัมพลแดง.
ก็ในข้อนี้ เป็นบทประพันธ์ที่ท่านโบราณบัณฑิตประพันธ์ไว้ดัง
ต่อไปนี้
พระโลกนาถเจ้า ผู้เป็นเลิศของชาวโลก ผู้เสด็จ
ไปดุจพญาช้างเยื้องกราย เสด็จไปยังโรงกลมให้
สว่างไสว ประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์.
พระองค์เป็นดุจนายสารถี ผู้ฝึกนรชน เป็นเทพ
ยิ่งกว่าเทพ ผู้มีบุญลักษณะกำหนดด้วยร้อย ประทับ

นั่งบนบวรพุทธอาสน์นั้น ไพโรจน์อยู่ในท่ามกลาง
พุทธอาสน์ เหมือนแท่งทองคำงดงามอยู่ในผ้ากัมพล
สีเหลืองฉะนั้น. พระองค์ผู้ปราศจากมลทินย่อมไพ-
โรจน์ เหมือนแท่งทองชมพูนุท ที่เขาวางไว้บนผ้า
กัมพลเหลือง เหมือนแก้วมณีงดงามฉะนั้น ทรง
ไพโรจน์งามสะพรั่งกว่าสิ่งทั้งปวง เหมือนต้นสาละ
ใหญ่ มีดอกบานสะพรั่ง อันประดับด้วยพระยาไม้
คล้ายปราสาททองคำเหมือนดอกปทุมโกกนุท เหมือน
ต้นไม้ที่ประดับด้วยประทีปโพลงอยู่ เหมือนไฟบน
ยอดเขา เหมือนต้นปาริฉัตรของเทวดาฉะนั้น.

บทว่า ปาฏลิคามิเก อุปาสเก อามนฺเตสิ ความว่า เพราะเหตุที่ใน
อุบาสกอุบาสิกาเหล่านั้น คนเป็นอันมากตั้งอยู่ในศีล ฉะนั้นเพื่อจะประกาศ
โทษแห่งศีลวิบัติ เป็นอันดับแรกก่อนแล้ว ภายหลังจึงแสดงอานิสงส์แห่ง
ศีลสมบัติ จึงตรัสเรียกมาเพื่อแสดงธรรม โดยนัยมีอาทิว่า ปญฺจิเม
คหปตโย
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุสฺสีโล ได้แก่ ผู้ไร้ศีล. บทว่า
สีลวิปนฺโน ได้แก่ ผู้มีศีลวิบัติ คือผู้ทำลายสังวร. ก็ในบทเหล่านี้
ด้วยบทว่า ทุสฺสีโล ตรัสถึงบุคคลผู้ไม่มีศีล. ก็บุคคลผู้ไม่มีศีลนั้น
มี 2 อย่าง คือ เพราะไม่สมาทาน หรือทำลายศีลที่สมาทานแล้ว. ใน
2 อย่างนั้น ข้อต้นไม่มีโทษ เหมือนอย่างข้อที่ 2 ที่มีโทษแรงกว่า.
เพื่อจะแสดงความไม่มีศีล ซึ่งมีโทษตามที่ประสงค์เป็นเหตุ ด้วยเทศนา
เป็นบุคลาธิษฐาน จึงตรัสคำว่า สีลวิปนฺโน ดังนี้. ด้วยเหตุนั้น พระองค์

จึงทรงแสดงอรรถแห่งบทว่า ทุสฺสีโล ดังนี้. บทว่า ปมาทาธิกรณํ
แปลว่า มีความประมาทเป็นเหตุ.
ก็สูตรนี้มาแล้ว ด้วยอำนาจคฤหัสถ์ทั้งหลาย แต่ถึงบรรพชิตก็ใช้ได้
เหมือนกัน. จริงอยู่ คฤหัสถ์เลี้ยงชีพด้วยความหมั่นต่อการศึกษาได้
จะเป็นกสิกรรมก็ดี พาณิชยกรรมก็ดี โครักขกรรมก็ดี เป็นผู้ประมาท
ด้วยปาณาติปาตเป็นต้น ไม่สามารถจะยังความหมั่นในศิลปะนั้น ให้สำเร็จ
ได้ตามกาลอันสมควร เมื่อเป็นเช่นนี้การงานของเขาก็จักพินาศไป แต่
เมื่อเขาทำปาณาติปาตเป็นต้น ในเวลาที่เขาอาฆาต ย่อมถึงความเสื่อม
จากโภคะใหญ่ ด้วยอำนาจอาชญา. บรรพชิตผู้ทุศีล ย่อมถึงความเสื่อม
จากศีล จากพระพุทธพจน์ จากฌาน และจากอริยธรรม 7 ประการ
เพราะความประมาทเป็นเหตุ. บทว่า ปาปโก กิตฺติสทฺโท ความว่า กิตติ-
ศัพท์อันลามกของคฤหัสถ์ ย่อมฟุ้งขจรไปในท่ามกลางบริษัท 4 ว่า
คฤหัสถ์ชื่อโน้น เกิดในสกุลชื่อโน้น เป็นผู้ทุศีล เป็นผู้มีธรรมอันลามก
เป็นผู้สละเสียทั้งโลกนี้และโลกหน้า ย่อมไม่ให้ทาน แม้วัตถุเพียงสลาก-
ภัต. กิตติศัพท์อันลามกของบรรพชิต ย่อมฟุ้งขจรไปอย่างนี้ว่า บรรพ-
ชิตชื่อโน้น บวชในพระศาสนาของพระศาสดา ไม่อาจเพื่อจะรักษาศีล
ไม่อาจเพื่อจะเรียนพระพุทธพจน์ เป็นผู้ประกอบด้วยอคารวะ 6 ประการ
เลี้ยงชีพด้วยอเนสนากรรม มีเวชกรรมเป็นต้น. บทว่า อวิสารโท ความว่า
อันดับแรก คฤหัสถ์ผู้มีภัตหลีกเลี่ยงไม่ได้ เข้าไปในที่ชุมนุมชนเป็นอันมาก
ด้วยคิดว่า ใคร ๆ จักรู้ความชั่วของเรา จักนินทา จักข่มเรา หรือจัก
ชี้แจงแก่ราชสกุล เป็นผู้เก้อเขิน คอตก นั่งก้มหน้า เป็นผู้ไม่กล้า
พูด. ฝ่ายบรรพชิต ผู้มีภัย หลีกเลี่ยงไม่ได้ เข้าไปในเมื่อภิกษุเป็น

อันมากประชุมกัน ด้วยคิดว่าบรรพชิตรูปหนึ่ง จักรู้ความชั่วของเราเป็น
แน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุทั้งหลาย จักเว้นอุโบสถกรรมก็ดี ปวารณา
กรรมก็ดีของเรา จักฉุดคร่าเราให้ออกจากความเป็นสมณะเสีย ย่อมเป็น
ผู้ไม่แกล้วกล้าสามารถจะกล่าวได้. แต่บางคนถึงเป็นคนทุศีล ก็ย่อม
ประพฤติเหมือนผู้มีศีล. แม้คนทุศีลนั้น ก็ย่อมเป็นผู้เก้อเขิน ด้วยอัธยาศัย
เหมือนกัน.
บทว่า สมฺมุฬฺโห กาลํ กโรติ ความว่า จริงอยู่ เมื่อบุคคลผู้ทุศีล
นอนอยู่บนเตียงเป็นที่ตาย ฐานะที่ตนสมาทานกรรม คือความเป็นผู้ทุศีล
ย่อมมาปรากฏ เขาลืมตาเห็นโลกนี้ หลับตาเห็นโลกหน้า อบาย 4 ย่อม
ปรากฏแก่เขาตามสมควรแก่กรรม ย่อมเป็นเหมือนถูกทิ่มแทงด้วยหอก
100 เล่ม และเหมือนถูกลวกด้วยเปลวไฟ เขาพลางร้องครวญครางว่า ขอ
เถอะ ขอทีเถอะ ดังนี้ จนตาย. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า หลงทำกาละ
ดังนี้เป็นต้น. บทว่า กายสฺส เภทา ได้แก่ เพราะสละอุปาทินนกขันธ์.
บทว่า ปรมฺมรณา ได้แก่ หมายเอาขันธ์ที่จะพึงเกิดในภพอันเป็นลำดับ
แห่งอุปาทินนกขันธ์นั้น. อีกอย่างหนึ่ง. บทว่า กายสฺส เภทา ได้แก่
เพราะชีวิตินทรีย์ขาดไป. บทว่า ปรมฺมรณา ได้เเก่ เบื้องหน้าแต่จุติ.
บทว่า อปายํ เป็นต้น เป็นไวพจน์ของนรกทั้งหมด. จริงอยู่ นรกชื่อว่า
อบาย เพราะปราศจากความเจริญ กล่าวคือบุญ อันเป็นเหตุแห่งสวรรค์
และพระนิพพาน และเพราะไม่มีความเจริญ หรือการมาของความสุข.
ชื้อว่า ทุคติ เพราะเป็นภูมิเป็นที่ไป คือ เป็นที่พำนักอาศัยแห่งทุกข์.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ทุคติ เพราะเป็นภูมิเป็นที่ไป อันเกิดด้วยกรรมชั่ว
เหตุมากไปด้วยโทสะ ชื่อว่า วินิบาต เพราะเป็นที่ปราศจากอำนาจตกไป

ของบุคคลผู้กระทำกรรมชั่ว. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า วินิบาต เพราะเป็นที่
พินาศตกไปของบุคคลผู้มีอวัยวะน้อยใหญ่แตกไปอยู่ ชื่อว่า นิรยะ เพราะ
เป็นที่ไม่มีความเจริญ อันเข้าใจกันว่าความยินดี.
อีกอย่างหนึ่ง ด้วยศัพท์ว่า อบาย ทรงแสดงถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน.
จริงอยู่ กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานชื่อว่า อบาย เพราะปราศจากภูมิเป็นที่ไปดี
ไม่จัดเป็นทุคติ เพราะเป็นที่เกิดของพญานาคเป็นต้น ผู้มีศักดาใหญ่.
ด้วยศัพท์ว่า ทุคติ ท่านแสดงถึงวิสัยแห่งเปรต. จริงอยู่ ปิตติวิสัยนั้น
ชื่อว่า อบาย เพราะปราศจากสุคติ และชื่อว่า ทุคติ เพราะเป็นภูมิเป็น
ที่ไปแห่งทุกข์ แต่ไม่ใช่จัดเป็นวินิบาต เพราะไม่ได้ตกไปโดยไร้อำนาจ
เช่นพวกอสูร. จริงอยู่ แม้วิมานก็ย่อมบังเกิดแก่พวกเปรตผู้มีฤทธิ์มาก.
ด้วยศัพท์ว่า วินิปาตะ ทรงแสดงถึงอสุรกาย. ก็อสุรกายนั้น ว่าโดยอรรถ
ตามที่กล่าวแล้ว ท่านเรียกว่า อบาย และทุคติ เรียกว่า วินิบาต
เพราะตกไปโดยไร้อำนาจจากกองสมบัติทั้งหมด. ด้วยศัพท์ว่า นิรยะ ทรง
แสดงเฉพาะนรก ซึ่งมีประการมากมาย มีอเวจีเป็นต้น. บทว่า อุปปชฺชติ
แปลว่า ย่อมบังเกิด.
พึงทราบอานิสงสกถา โดยปริยายตรงกันข้ามดังกล่าวแล้ว. ส่วน
ความแปลกกันมีดังต่อไปนี้. บทว่า สีลวา ได้แก่ ผู้มีศีลโดยการสมาทาน.
บทว่า สีลสมฺปนฺโน ได้เเก่ ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล เพราะยังศีลให้สำเร็จ โดย
ทำให้บริสุทธิ์บริบูรณ์. บทว่า โภคกฺขนฺธํ ได้แก่ กองแห่งโภคะ ด้วย
สุคติศัพท์ ในบทว่า สุคติ สคฺคํ โลกํ นี้ ท่านรวมเอาคติของมนุษย์เข้า
ด้วย. ด้วยศัพท์ว่า สัคคะ ท่านหมายเอาคติของเทวดาเข้าด้วย. ในคติ
เหล่านั้น ชื่อ สุคติ เพราะมีคติดี. ชื่อว่า สัคคะ เพราะมีอารมณ์ด้วยดี

ด้วยอารมณ์มีรูปเป็นต้น. ก็สัคคะทั้งหมดนั้น ชื่อว่า โลก เพราะอรรถ
ว่าแตกสลาย.
บทว่า ปาฏลิคามิเย อุปาสเก พหุเทว รตฺตึ ธมฺมิยา กถาย ความ
ว่า ด้วยธรรมกถา และด้วยกถาเป็นเครื่องอนุโมทนาสำหรับที่พักอาศัย
อันพ้นจากบาลีแม้อื่น.
ก็ในคราวนั้น เพราะเหตุที่พระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อจะทรงสร้างนคร
ปาฏลีบุตรในที่นั้น จึงทรงนำเอากุฎุมพีที่สมบูรณ์ด้วยศีลและอาจาระใน
คามนิคมชนบทและราชธานีอื่น ๆ แล้วประทานทรัพย์ธัญญาหารที่บ้านที่
นาเป็นต้น และการปกครองแล้วให้อยู่อาศัย ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นทรงแสดงอานิสงส์แห่งศีลก่อน แก่อุบาสกอุบาสิกา ชาวปาฏลิคาม
ผู้หนักในศีลโดยพิเศษ เพราะเป็นผู้เห็นอานิสงส์ และเพราะศีลเป็นที่ตั้ง
แห่งคุณทั้งปวง ต่อแต่นั้น เมื่อจะแสดงปกิณณกกถา อันนำมาซึ่งประโยชน์
สุข แก่อุบาสกและอุบาสิกาชาวปาฏลิคาม เหมือนยังอากาศคงคาให้
หยั่งลง เหมือนฉุดมาซึ่งง้วนดิน เหมือนจับยอดหว้าใหญ่ให้ไหวอยู่ และ
เหมือนเอาเครื่องยนต์ บีบคั้นรวงผึ้งประมาณโยชน์หนึ่ง ให้สำเร็จเป็นน้ำ
หวานที่ดี จึงทรงแสดงธรรมกถาเป็นอันมากที่วิจิตรด้วยนัยต่าง ๆ อย่างนี้
ว่า ดูก่อนคฤหบดีทั้งหลาย ธรรมดาว่า อาวาสทานนี้ เป็นบุญมาก เรา
และภิกษุสงฆ์ได้ใช้อาวาสของพวกท่าน ก็แล เมื่อเราและภิกษุสงฆ์ใช้แล้ว
ก็เป็นอันชื่อว่า ธรรมรัตนะก็ได้ใช้เหมือนกัน เมื่อรัตนะ 3 ได้ใช้แล้ว
อย่างนี้ ย่อมมีวิบากหาประมาณมิได้ทีเดียว อีกอย่างหนึ่ง เมื่อถวาย
อาวาสทาน ก็เป็นอันชื่อว่าถวายทานทั้งปวงทีเดียว ใคร ๆ ไม่อาจจะ
กำหนดอานิสงส์ของบรรณศาลาที่สร้างไว้บนแผ่นดิน หรือของศาลาราย

ที่สร้างอุทิศสงฆ์ ก็ด้วยอานุภาพแห่งอาวาสทาน แม้สัตว์ผู้จะเกิดในภพ
จะชื่อว่าอยู่ในครรภ์ที่ถูกบีบคั้น หามีไม่ ท้องของมารดาของสัตว์ผู้เกิด
ในครรภ์นั้น จะไม่คับแคบเลย เหมือนห้องประมาณ 12 ศอก ดังนี้แล้ว
จึงตรัสกถาว่าด้วยอานิสงส์แห่งอาวาสทาน เกินยามครึ่งในราตรีเป็นอัน
มาก ว่า
เสนาสนะ ย่อมป้องกันเย็นและร้อน และสัตว์
ร้าย งู ยุง ฝน ที่ตั้งขึ้นในฤดูหนาว ลมและแดด
อันกล้าเกิดขึ้นแล้ว ย่อมบรรเทาได้ การถวายวิหาร
แก่สงฆ์ เพื่อเร้นอยู่ เพื่อความสุข เพื่อเพ่งพิจารณา
และเพื่อเห็นแจ้ง พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า เป็น
ทานอันเลิศ เพราะเหตุนั้นแล บุรุษบัณฑิตเมื่อเล็ง
เห็นประโยชน์ตน พึงสร้างวิหารอันน่ารื่นรมย์ ให้
ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพหูสูตอยู่เถิด อนึ่ง พึงถวาย ข้าว
น้ำ ผ้า และเสนาสนะ แก่ท่านเหล่านั้น ด้วยน้ำใจ
อันเลื่อมใสในท่านผู้ซื่อตรง เขารู้ธรรมอันใดในโลก
นี้แล้ว จะเป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปรินิพพาน ท่านย่อม
แสดงธรรมนั้น อันเป็นเครื่องบรรเทาทุกข์ทั้งปวงแก่
เขา ดังนี้.

รวมความว่า ทั้งนี้ เป็นอานิสงส์ของอาวาสทาน ด้วยประการฉะนี้.
แต่ในอานิสงส์อาวาสทานนี้ ท่านยกคาถานี้แหละขึ้นสู่สังคายนา ส่วน
ปกิณณธรรมเทศนา หาได้ยกขึ้นสู่สังคายนาไม่.

บทว่า สนฺทสฺเสตฺวา ดังนี้เป็นต้น มีอรรถดังกล่าวแล้วนั่นแล.
บทว่า อภิกฺกนฺตา ได้แก่ ผ่านไป 2 ยาม. บทว่า ยสฺสทานิ กาลํ มญฺญถ
ได้แก่ ท่านจงสำคัญกาลที่ท่านจะไปเถิด อธิบายว่า นี้เป็นเวลาไปของท่าน
ท่านจงไปเถิด.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงส่งภิกษุเหล่านั้น
ไป ? ตอบว่า เพื่ออนุเคราะห์. อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงส่ง
ไปด้วยความอนุเคราะห์ 2 อย่างคือ ก็เมื่อภิกษุเหล่านั้น นั่งในที่นั้น ให้
3 ยาม แห่งราตรีผ่านไป อาพาธพึงเกิดขึ้นในร่างกายของพวกเธอ และ
แม้ภิกษุสงฆ์ควรจะได้โอกาสในการนอนและการนั่ง อันปราศจากกลาง
แจ้ง.
บทว่า สุญฺญาคารํ ได้แก่ ชื่อว่าสุญญาคาร โดยเฉพาะ ย่อมไม่มี
ในที่นั้น. ได้ยินว่า คฤหบดีเหล่านั้น ได้ให้เอาผ้าม่านแวดวง ณ ข้างหนึ่ง
ของอาวสถาคารนั้นนั่นแลแล้ว ให้จัดแจงเตียงที่สมควร ลาดเครื่องลาด
ที่สมควรในที่นั้น ผูกเพดานอันประดับด้วยดาวทองคำ เงิน ของหอม
และมาลาเป็นต้นแล้ว ยกประทีปน้ำมันหอมไว้เบื้องบน ด้วยคิดว่า ไฉน
หนอ พระศาสดาจักพึงเสด็จลุกจากธรรมาสน์ ประสงค์จะพักผ่อน
หน่อยหนึ่ง พึงบรรทมในที่นี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงใช้
อาวสถาคารนี้ของพวกเรา ด้วยอิริยาบถ 4 จักพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์
สุขตลอดกาลนาน. แม้พระศาสดา ทรงหมายถึงข้อนั้นนั่นแล จึงทรงให้
จัดแจงลาดผ้าสังฆาฏิในที่นั้นแล้ว จึงสำเร็จสีหไสยาสน์ ซึ่งท่านหมาย
กล่าวไว้ว่า พระองค์เสด็จเข้าไปสู่สุญญาคาร. ในสุญญาคารนั้น พระองค์
ได้เสด็จไปจำเดิมตั้งแต่ที่เป็นที่ล้างพระบาท จนถึงธรรมาสน์ การเสด็จ

ไปในที่ประมาณเท่านี้ สำเร็จแล้ว เสด็จถึงธรรมาสน์แล้ว ประทับยืน
หน่อยหนึ่ง นี้เป็นอิริยาบถยืนในที่นั้น พระองค์ประทับนั่งบนธรรมาสน์
ตลอดสองยาม อิริยาบถนั่งในที่มีประมาณเท่านี้ สำเร็จแล้ว พระองค์
ทรงส่งอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายไปแล้ว เสด็จลงจากธรรมาสน์ ทรงสำเร็จ
สีหไสยาสน์ในที่ดังกล่าวแล้ว. ที่นั้นได้เป็นสถานที่ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงใช้สอยแล้วด้วยอิริยาบถ 4 ด้วยประการฉะนี้แล.
บทว่า สุนีธวสฺสการา ได้แก่ พราหมณ์ 2 คนคือ สุนีธพราหมณ์
และวัสสการพราหมณ์. บทว่า มคธมหามตฺตา ได้แก่ มหาอำมาตย์ของ
พระเจ้ามคธ หรือมหาอำมาตย์ในแคว้นมคธ. ชื่อว่า มหาอำมาตย์ เพราะ
ประกอบด้วยเหตุอันสักว่าความเป็นอิสระอย่างใหญ่. บทว่า ปาฏิลิคาเม
นครํ มาเปนฺติ
ได้แก่ ให้สร้างพระนคร ณ ภูมิประเทศ คือปาฏลิคาม.
บทว่า วชฺชีนํ ปฏิพาหาย ได้แก่ เพื่อป้องกันทางเจริญของพวกเจ้าลิจฉวี.
บทว่า สหสฺเสว ได้แก่ แบ่งออกเป็นพวกละพัน ๆ. บทว่า วตฺถูนิ
ได้แก่ ที่สร้างเรือน. บทว่า จิตฺตานิ มนนฺติ นิเวสนานิ มาเปตุํ ความว่า
จิตของบุคคลผู้รู้พื้นที่ ย่อมน้อมไป เพื่อจะสร้างพระราชนิเวศน์ และ
ที่อยู่อาศัยของราชอำมาตย์.
เล่ากันมาว่า พวกเหล่านั้นรู้พื้นที่ประมาณ 30 ศอก ในภายใต้
แผ่นดินด้วยอานุภาพแห่งศิลปะของตนว่า ในที่นี้นาคยึดครอง ในที่นี้
ยักษ์ยึดครอง ในที่นี้ภูตยึดครอง ในที่นี้มีแผ่นหินหรือตอไม้. ใน
กาลนั้น พวกเขากล่าวถึงศิลปะแล้ว เป็นเหมือนปรึกษากับพวกเทวดา
จึงสร้างขึ้น. อีกอย่างหนึ่ง พวกเทวดา สิงในร่างกายของพวกเขาแล้ว
น้อมจิตไปเพื่อสร้างนิเวศน์ในที่นั้น ๆ. เทวดาเหล่านั้นกลับหายไป ใน

ขณะที่พวกเขาตอกหลักที่มุมทั้ง 4 แล้วจับจองพื้นที่. พวกเทวดาผู้มี
ศรัทธาของตระกูลที่มีศรัทธา ก็ย่อมกระทำอย่างนั้น. เทวดาผู้ไม่มี
ศรัทธาของตระกูลที่ไม่มีศรัทธา ก็ย่อมกระทำอย่างนั้น. เพราะเหตุไร ?
เพราะเทวดาผู้มีศรัทธาย่อมคิดอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ย่อมสร้างนิเวศน์
ในที่นี้ จักนิมนต์ให้ภิกษุสงฆ์นั่งก่อนแล้ว จึงให้กล่าวมงคล เมื่อเป็น
เช่นนี้ พวกเราก็จักได้เห็นท่านผู้มีศีล ฟังธรรมกถา ฟังการแก้ปัญหา
และจักได้ฟังอนุโมทนา อนึ่ง พวกมนุษย์ถวายทานแล้ว จักให้ส่วนบุญ
แก่พวกเรา. ฝ่ายเทวดาผู้ไม่มีศรัทธา ย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า เราจัก
ได้เห็นการปฏิบัติของภิกษุเหล่านั้น และได้ฟังกถาตามเหมาะแก่ความต้อง
การของ่ตน พวกมนุษย์ก็กระทำอย่างนั้นเหมือนกัน.
บทว่า ตาวตึเสหิ ความว่า เหมือนอย่างว่า เพราะอาศัยมนุษย์ผู้
เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง ในตระกูลหนึ่ง และภิกษุผู้เป็นพหูสูตรูปหนึ่ง ใน
วิหารหนึ่ง เสียงย่อมขจรไปว่า พวกมนุษย์ในตระกูลโน้นเป็นบัณฑิต
พวกภิกษุในวิหารโน้นเป็นพหูสูต ฉันใด เพราะอาศัยท้าวสักกเทวราช
และวิสสุกรรมเทวบุตร เสียงจึงขจรไปว่า พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์เป็น
บัณฑิต ฉันนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ดาวตึเสหิ ดังนี้
เป็นต้น. ด้วยคำว่า เสยฺยถาปิ เป็นต้น พระองค์ทรงแสดงว่า สุนีธ-
พราหมณ์ และวัสสการพราหมณ์ พากันสร้างพระนคร เหมือนปรึกษากับ
พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์.
บทว่า ยาวตา อริยํ อายตนํ ความว่า ชื่อว่า สถานที่เป็นที่ประชุม
แห่งพวกมนุษย์ผู้เป็นอริยะ มีประมาณเท่าใด มีอยู่. บทว่า ยาวตา
วณิปฺปโถ
ได้แก่ ชื่อว่า สถานที่ซื้อและขาย โดยกองสิ่งของที่พวกพ่อค้า

นำมา มีประมาณเท่าใด มีอยู่ หรือสถานที่ที่อยู่ของพวกพ่อค้า มี
ประมาณเท่าใด มีอยู่. บทว่า อิทํ อคฺคนครํ ได้แก่ นครนี้จักเป็นนคร
อันเลิศ ประเสริฐ เป็นประธานแห่งพวกมนุษย์ผู้เป็นอริยะ และพวก
พ่อค้าเหล่านั้น. บทว่า ปูฏเภทนํ ได้แก่ เป็นที่แก้ห่อสิ่งของ อธิบายว่า
เป็นที่เปลื้องห่อสิ่งของทั้งหลาย. อธิบายว่า ก็ในที่นี้เอง พวกเขา
จักได้ แม้สิ่งของที่ยังไม่ได้ในชมพูทวีปทั้งสิ้น แม้จะไม่ไปขายในที่อื่น
ก็จักไปขายในที่นี้นั่นแหละ เพราะฉะนั้น พวกเขาจักแบ่งห่อสิ่งของใน
ที่นี้แล. ก็สถานที่ 500,000 ที่ ได้ปรากฏขึ้นเพื่อความเห็นเจริญในที่นั้น
ทุก ๆ วัน อย่างนี้คือ ที่ประตูทั้ง 4 ด้าน มี 400,000 ที่ สภา 100,000 ที่
สภาวะเหล่านั้น ท่านแสดงว่า เป็นความเจริญ.
วา ศัพท์ ในบทว่า อคฺคิโต วา เป็นต้น เป็นสมุจจยัตถะ. อธิบาย
ว่า จักพินาศไปด้วยไฟ ด้วยน้ำ และด้วยการแตกมิตรสัมพันธ์. ก็เมือง
ปาฏลิคามนั้น ส่วนหนึ่ง จักพินาศไปด้วยไฟ แม้พวกคนก็ไม่สามารถ
จะดับไฟได้. ส่วนหนึ่ง แม่น้ำคงคาพัดพาไป. ส่วนหนึ่ง จักพินาศไป
โดยการแตกแยกแห่งกันและกันของพวกมนุษย์ ผู้พูดถึงเรื่องที่คนนี้ไม่ได้
กล่าวแก่คนโน้น (และ) พูดถึงเรื่องที่คนโน้นไม่ได้กล่าวแก่คนนี้ แตก
แยกกันไป ด้วยปิสุณวาจา วาจาส่อเสียด.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว จึงเสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำ
คงคา ชำระพระพักตร์เสร็จแล้ว ประทับนั่งรอเวลาภิกขาจาร. ฝ่าย
สุนีธพราหมณ์ และวัสสการพราหมณ์ พากันคิดว่า พระราชาของพวก
เรา เป็นอุปัฏฐากของพระสมณโคดม พระองค์ตรัสถามพวกเราผู้เข้าไป

เฝ้าว่า ได้ยินว่า พระศาสดา ได้เสด็จไปยังปาฏลิคาม พวกท่าน เข้าไป
เฝ้าพระองค์หรือยัง หรือว่ายังไม่เข้าไปเฝ้า เมื่อพวกเราตอบว่า ได้เข้า
ไปเฝ้าแล้ว ก็จักตรัสถามว่า พวกท่านนิมนต์หรือไม่ได้นิมนต์ และเมื่อ
พวกเราตอบว่า ไม่ได้นิมนต์ ดังนี้ ก็จักยกโทษข่มพวกเรา ถึงแม้พวก
เราจะสร้างพระนครนี้ ในสถานที่ที่ไม่เคยสร้างก็จริง ถึงกระนั้นพวกสัตว์
กาลกรณี ก็จะอพยพไปในที่ที่พระสมณโคดมเสด็จไปถึงแล้ว ๆ พวก
เราจักให้พระสมณโคดมนั้น ตรัสความเป็นมงคลแก่พระนคร ดังนี้ จึง
พากันเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้ว ทูลนิมนต์. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
อถ โข สุนีธวสฺสการา ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า ปุพฺพณฺหสมยํ แปลว่า ในเวลาเช้า. บทว่า นิวาเสตฺวา
ได้แก่ ทรงครองผ้าโดยทำนองเสด็จเข้าบ้าน แล้วคาดประคดเอว. บทว่า
ปตฺตจีวรมาทาย ได้แก่ ทรงห่มจีวรพระหัตถ์ถือบาตร.
บทว่า สีลวนฺเตตฺถ ได้แก่ เชิญผู้มีศีลให้บริโภคในประเทศนั้น
คือในที่อยู่ของตน. บทว่า สญฺญเต ได้แก่ สำรวมด้วยกาย วาจา และ
จิต. บทว่า ตาสํ ทกฺขิณมาทิเส ความว่า พึงอุทิศปัจจัย 4 ที่ถวายแก่
สงฆ์ คือ พึงให้ส่วนบุญแก่เทวดาผู้สิงอยู่ในเรือนเหล่านั้น. บทว่า ปูชิตา
ปูชยนฺติ ความว่า กระทำอารักขาให้เป็นอันจัดแจงด้วยดี คือ กระทำการ
รักษาด้วยดี ด้วยคิดว่ามนุษย์เหล่านี้ไม่ได้เป็นญาติของพวกเรา แม้อย่าง
นั้น ก็ยังให้ส่วนบุญแก่พวกเรา. บทว่า มานิตา มานยนฺติ ความว่า
เทวดาผู้อันเขานับถือด้วยการทำพลีกรรมตามกาลอันควร ย่อมนับถือ คือ
ย่อมขจัดอันตรายที่เกิดขึ้น ด้วยคิดว่ามนุษย์เหล่านี้ แม้ไม่เป็นญาติของ
พวกเรา ถึงอย่างนั้น ก็ยังทำพลีกรรมแก่พวกเรา เป็นระยะเวลาถึง 4

เดือน 5 เดือน และ 6 เดือน. บทว่า ตโต นํ ความว่า แต่นั้น ย่อม
อนุเคราะห์บุรุษผู้มีชาติเป็นบัณฑิตนั้น. บทว่า โอรสํ ได้แก่ ให้เติบโต
ไว้ที่อก เหมือนมารดาอนุเคราะห์บุตรผู้เถิดแต่อก. อธิบายว่า ย่อม
อนุเคราะห์ โดยพยายามเพื่อกำจัดอันตรายที่เกิดขึ้นนั่นแหละ. บทว่า
ภทฺรานิ ปสฺสติ ได้แก่ ย่อมเห็นว่าเป็นดี.
บทว่า อนุโมทิตฺวา ความว่า ทรงแสดงธรรมกถาแก่มหาอำมาตย์
ชื่อสุนีธะและวัสสการะ โดยอนุโมทนาส่วนบุญที่พวกเขาพากันขวนขวาย
ในกาลนั้น. ฝ่ายมหาอำมาตย์ชื่อสุนีธะและวัสสะการะได้ฟังพระดำรัสของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ควรอุทิศทักษิณาแก่เทวดาผู้สิงสถิตอยู่ในที่นั้น ๆ
จึงได้ให้ส่วนบุญแก่เทวดาเหล่านั้น.
บทว่า ตํ โคตมทฺวารํ นาม อโหสิ ความว่า ประตุของพระนคร
นั้น อันได้นามว่า โคตมทวาร เพราะเป็นเหตุเสด็จออกของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า อนึ่ง ไม่ได้ชื่อว่าโคตมติฏฐะ เพราะไม่ได้หยั่งลงสู่ท่า เพื่อ
ข้ามแม่น้ำคงคา.
บทว่า ปูรา แปลว่า เต็ม. บทว่า สมติตฺติกา ได้แก่ เต็ม คือ
เปี่ยมด้วยน้ำ เสมอตลิ่ง. บทว่า กากเปยฺยา ได้แก่ มีน้ำที่กาซึ่งจับอยู่
ที่ฝั่ง สามารถจะดื่มได้. ด้วยบททั้งสอง ท่านแสดงเฉพาะที่เต็มเปี่ยม
ทั้งสองฝั่ง. บทว่า อุฬุมฺปํ ได้แก่ พ่วงที่เขาเอาไม้ขนานแล้วตอกลิ่ม
ทำไว้ เพื่อข้ามฝั่ง. บทว่า กุลฺลํ ได้แก่ แพที่เขาเอาเถาวัลย์ผูกไม้ไผ่
และไม้อ้อทำไว้.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ทรงทราบโดยอาการ
ทั้งปวง ถึงความที่มหาชน ไม่สามารถจะข้าม แม้แต่น้ำในแม่น้ำคงคา

เท่านั้น แต่พระองค์และภิกษุสงฆ์ ข้ามห้วงน้ำคือสงสาร ทั้งลึกทั้งกว้าง
ยิ่งนักได้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงถึงความนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อณฺณวํ นี้ เป็นชื่อของน้ำ ที่ลึกและ
กว้างประมาณ 1 โยชน์ โดยกำหนดอย่างต่ำ. บทว่า สรํ ท่านประสงค์
ถึงน้ำในที่นี้ เพราะไหลไป. ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า เหล่าชนผู้ข้าม
ห้วงน้ำคือสงสาร และแม่น้ำคือตัณหาทั้งลึกทั้งกว้าง สร้างสะพานคือ
อริยมรรค ไม่แตะต้อง คือไม่จับต้อง เปือกตม คือที่ลุ่มอันเต็มเปี่ยม
ด้วยน้ำ ฝ่ายชนนี้ประสงค์จะข้ามน้ำ มีประมาณน้อยนี้ จึงผูกแพ คือถึง
ความยากยิ่งเพื่อจะผูกแพ. บทว่า ติณฺณา เมธาวิโน ชนา ความว่า
พระพุทธเจ้า และพุทธสาวก ชื่อว่าผู้มีเมธา เพราะประกอบด้วยเมธา
กล่าวคืออริยมรรคญาณ ถึงจะเว้นแพเสีย ก็ข้ามได้คือดำรงอยู่ที่ฝั่งโน้นแล.
จบอรรถกถาปาฏลิคามิยสูตรที่ 6

7. ทวิธาปถสูตร



ว่าด้วยการชี้ไปคนละทาง



[175] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินทางไกลไปในโกศลชนบท
มีท่านพระนาคสมาละเป็นปัจฉาสมณะ ท่านพระนาคสมาละได้เห็นทาง 2
แพร่งในระหว่างทาง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ นี้ทาง ไปตามทางนี้เถิดพระเจ้าข้า เมื่อท่าน
พระนาคสมาละกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่าน
พระนาคสมาละว่า ดูก่อนนาคสมาละ นี้ทาง ไปตามทางนี้เถิด แม้ครั้งที่