เมนู

เอาหญ้าและแกลบทั้งหมดนั้นออกไปจากบ่อ เต็มไปด้วยน้ำใสแจ๋ว ไม่
ขุ่นมัว จนถึงปากบ่อ ดุจไหลไปขังอยู่ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดื่มน้ำ
เถิด ขอพระสุคตเจ้าจงทรงดื่มน้ำเถิด.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ถ้าว่าน้ำพึงมีในกาลทุกเมื่อไซร้ บุคคลจะพึงกระ-
ทำประโยชน์อะไรด้วยบ่อน้ำ พระพุทธเจ้าตัดรากแห่ง
ตัณหาได้แล้ว จะพึงเที่ยวแสวงหาน้ำ เพราะเหตุ
อะไร.

จบอุทปานสูตรที่ 9

อรรถกถาอุทปานสูตร



อุทปานสูตรที่ 9

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า มลฺเลสุ ความว่า ชนบทแม้ชนบทหนึ่ง อันเป็นที่อยู่ของ
พระราชกุมารชาวชนบทนามว่า มัลละ เขาเรียกว่า มัลละ โดยดาษดื่น
ในมัลลชนบทซึ่งในทางโลกเขาเรียกกันว่า มัลละ นั้น. แต่อาจารย์บาง
พวกกล่าวว่า มาเลสุ. บทว่า จาริกญฺจรมาโน ได้แก่ เสด็จจาริกไปใน
ชนบทมณฑลใหญ่ โดยเสด็จจาริกไปไม่รีบด่วน. บทว่า มหตา ภิกฺขุ-
สงฺเฆน
ได้แก่ หมู่สมณะหมู่ใหญ่ซึ่งกำหนดจำนวนไม่ได้. จริงอยู่ ในกาล
นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมไปด้วยภิกษุหมู่ใหญ่. บทว่า ถูณํ นาม
มลฺลานํ พฺราหฺมณคาโม
ได้เเก่ บ้านพราหมณ์ เพราะมีพราหมณ์มาก อัน

มีชื่อว่า ถูณะ* ในมัลลประเทศ อันเป็นที่ตั้งแห่งมัชฌิมประเทศ ในทิศ
อาคเนย์. บทว่า ตทวสริ ตัดเป็น ตํ อวสริ เสด็จไปยังบ้านพราหมณ์นั้น.
อธิบายว่า เสด็จไปทางถูณคาม.
บทว่า อสฺโสสุํ แปลว่า ได้นั่งแล้ว อธิบายว่า รู้โดยกระแสเสียง
โฆษณาที่มากระทบโสตทวาร. บทว่า โข เป็นนิบาตใช้ในอรรถว่าทำบท
ให้เต็ม หรือใช้ในอรรถอวธารณะห้ามความอื่น. ใน 2 อย่างนั้น ด้วยโข
ศัพท์อันมีอวธารณะเป็นอรรถ (แปลว่า) ได้ฟังแล้วแล อธิบายว่า พราหมณ์
และคหบดีชาวถูณคามไม่มีอันตรายต่อการไป. ด้วย โข ศัพท์อันมีปทปูรณะ
เป็นอรรถ เป็นแต่เพียงบทและพยัญชนะสละสลวยเท่านั้น. บทว่า ถูเณยฺ-
ยกา
แปลว่า ชนชาวถูณคาม ในบทว่า พฺราหฺมณคหปติกา นี้ มีวินิจฉัย
ดังต่อไปนี้ ชื่อว่าพราหมณ์ เพราะกล่าวคำอันประเสริฐ อธิบายว่าสาธยาย
มนต์. จริงอยู่ บทว่า พฺราหฺมณา นี้ เป็นไวพจน์ของพราหมณ์โดยกำเนิด
ส่วนพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านก็เรียกว่าพราหมณ์ เพราะเป็นผู้ลอยบาป.
ชนผู้ครองเรือนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เว้นกษัตริย์และพราหมณ์ท่านเรียกว่า
คหบดี. แต่เมื่อว่าโดยพิเศษเขาเรียกว่า แพศย์. พราหมณ์และคหบดี
เรียกว่า พราหมณคหบดี.
บัดนี้ เพื่อจะประกาศความที่พราหมณ์และคหบดีเหล่านั้นได้ฟัง
(ข่าว) ท่านจึงกล่าวว่า สมโณ ขลุ โภ โคตโม ดังนี้เป็นต้น. ในคำว่า
สมโณ ขลุ โภ โคตโม นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า บัณฑิตพึงทราบว่า
สมณะ เพราะสงบบาป. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า อกุศลธรรมอันลามก
เป็นอันพระองค์สงบแล้ว ดังนี้เป็นต้น. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้สงบ
* บาลีเป็น ถูนะ.

บาปแล้วโดยประการทั้งปวง ด้วยพระอริยมรรคอันยอดเยี่ยม เพราะ
พระองค์ทรงบรรลุคุณตามเป็นจริง จึงได้พระนามว่า สมณะ. บทว่า ขลุ
เป็นนิบาตใช้ในอนุสสนัตถะ. บทว่า โภ เป็นเพียงคำเรียกอันเกิดมาแต่
กำเนิดแห่งชนชาติพราหมณ์. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า ถ้าเขายังมี
กิเลส เขาก็ชื่อว่าเป็นโภวาที. บทว่า โคตโม เป็นบทระบุถึงพระผู้มี-
พระภาคเจ้าโดยพระโคตร เพราะฉะนั้น ในคำว่า สมโณ ขลุ โภ
โคตโม
นี้ มีอรรถดังนี้ว่า ได้ยินว่า พระสมณโคดมผู้เจริญ. ก็บทว่า
สกฺยปุตฺโต นี้ เป็นบทแสดงถึงภาวะที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามีตระกูลสูง.
บทว่า สกฺยกุลา ปพฺพชิโต เป็นบทแสดงถึงภาวะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ผนวชด้วยศรัทธา. ท่านอธิบายไว้ว่า พระองค์ไม่มีความเสื่อมอะไร ๆ มา
ครอบงำ ทรงละตระกูลที่ไม่มีความเสื่อมสิ้นนั้นนั่นแหละ ทรงผนวชด้วย
การเชื่อในการบรรลุโดยการออกมหาภิเนษกรมณ์. บทว่า อุทปานํ ติณสฺส
จ ภูสสฺส จ ยาว มุขโต ปูเรสุํ
ความว่า เอาหญ้าและแกลบถมบ่อน้ำดื่ม
ให้เต็มแค่ปาก (บ่อ) อธิบายว่า ใส่หญ้าเป็นต้นเข้าไปแล้วปิดบ่อ.
ได้ยินว่า บ้านนั้นได้มีบ่อน้ำแห่งหนึ่ง เป็นที่ใช้สอยของพวก
พราหมณ์ ใกล้ทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา ณ ภายนอก. สถานที่มีบ่อ
น้ำและบึงเป็นต้นทุกแห่งในที่นั้น เว้นบ่อน้ำนั้น ในคราวนั้น ได้เเห้งขาด
ไม่มีน้ำเลย. ครั้งนั้น ชาวถูณคามยังไม่เลื่อมใสพระรัตนตรัย ถูกความ
ตระหนี่ครอบงำ ทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา พากันคิดว่า ถ้า
พระสมณโคดมพึงเข้าไปยังบ้านนี้ อยู่ 2-3 วัน จะทำให้ชนทั้งหมดนี้ตั้ง
อยู่ในถ้อยคำของตน แต่นั้นธรรมของพราหมณ์ก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ ก็กร-
เสือกกระสนเพื่อจะไม่ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในที่นั้น จึงปรึกษา

พร้อมกันว่า ในบ้านนี้ไม่มีน้ำในที่อื่น พวกเราจะกระทำบ่อน้ำโน้นไม่ให้
เป็นที่สำหรับใช้สอย เมื่อเป็นเช่นนี้ พระสมณโคดมพร้อมด้วยสาวกสงฆ์
จักไม่เข้าบ้านนี้ ดังนี้แล้ว จึงให้พวกชาวบ้านทั้งหมดตักน้ำตลอด 7 วัน
ให้เต็มตุ่มเป็นต้น แล้วเอาหญ้าและแกลบถมบ่อน้ำนั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า เอาหญ้าและแกลบถมบ่อน้ำเต็มจนถึงปากบ่อ ด้วยหวัง
ใจว่า สมณะหัวโล้นเหล่านั้นอย่าได้ดื่มน้ำ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มุณฺฑกา สมณา ความว่า ควรจะกล่าว
คนโล้นว่า คนโล้น และกล่าวสมถะว่า สมณะ แต่ชนเหล่านั้นพากันดูหมิ่น
โดยความประสงค์ข่มขู่ จึงได้กล่าวอย่างนั้น. บทว่า มา ใช้ในอรรถ
ปฏิเสธ. อธิบายว่า อย่าอาบ อย่าดื่ม. บทว่า มคฺคา โอกฺกมฺม แปลว่า
หลีกออกจากหนทาง. บทว่า เอตมฺห ได้แก่ กล่าวแสดงออก เฉพาะบ่อน้ำ
ที่ชนพวกนั้นกระทำอย่างนั้นเท่านั้น.
ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงคำนึงถึงประการอันแปลกของ
พวกพราหมณ์เหล่านั้นจึงตรัสอย่างนี้ว่า เธอจงนำน้ำดื่มจากบ่อน้ำนี้มา
หรือว่าทรงคำนึงถึงแล้วจึงรู้ ? ตอบว่า ทั้งๆ ที่ทรงทราบนั่นแหละ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงประกาศพุทธานุภาพของพระองค์ ทรมานพราหมณ์
เหล่านั้น เพื่อจะทำพวกเขาให้หมดพยศ จึงตรัสอย่างนั้น ไม่มีพระประสงค์
จะดื่มน้ำ ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ ในที่นี้พระองค์ไม่ตรัสว่า เราหิวระหาย
เหมือนในมหาปรินิพพานสูตร. ก็พระธรรมภัณฑาคาริก เมื่อไม่รู้พระ-
อัธยาศัยของพระศาสดา เมื่อจะกราบทูลประการอันแปลกที่ชาวถูณคาม
กระทำ จึงกราบทูลว่า อิทานิ โส ภนฺเต ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทานิ แปลว่า ในบัดนี้ อธิบายว่า

ในเวลาที่พวกข้าพระองค์มาถึงนั่นเอง. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เอโส
ภนฺเต อุทปาโน
บ่อน้ำนั้นพระเจ้าข้า.
พระเถระทูลห้ามถึง 2 ครั้ง ในครั้งที่ 3 จึงคิดว่า พระตถาคตทั้ง-
หลายหาได้ทรงกระทำการโต้ตอบถึง 3 ครั้งไม่ พระองค์ผู้ทรงเห็นกาลยาว
จักเป็นอันทรงเห็นเหตุ ดังนี้แล้ว จึงถือบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ท้าว
มหาราชถวายแล้วได้ไปยังบ่อน้ำ. เมื่อพระเถระกำลังเดินไป น้ำในบ่อก็
บริบูรณ์ ล้นขึ้น ไหลไปรอบๆ. หญ้าและแกลบหมดลอยไปเองทีเดียว.
ก็เมื่อน้ำที่ไหลไปนั้นล้นขึ้นข้างบน ชลาลัยมีสระโบกขรณีเป็นต้นทั้งหมด
ในบ้านนั้น ที่แห้งขาดกลับบริบูรณ์ คู บึง และที่ลุ่มเป็นต้นเหมือนกัน.
ท้องถิ่นของบ้านนั้นทั้งหมด ถูกห้วงน้ำใหญ่ท่วมทับ ได้มีเสมือนในเวลา
ฝนตกหนัก. ดอกไม้ที่เกิดในน้ำ มีดอกโกมุท อุบล ปทุม และดอก
ปุณฑริก เป็นต้น ผุดขึ้นในชลาลัยนั้นๆ แย้มบานบังน้ำ. นกที่อาศัยน่าอยู่
มีหงส์ นกกะเรียน นกจักพราก นกกะลิง และนกยางเป็นต้น เมื่อฝนตก
ก็พากันร้องเสียงขรมในที่นั้น ๆ. ชาวถูณคามเห็นห้วงน้ำใหญ่นั้น ล้นขึ้น
อย่างนั้น สับสนไปด้วยคลื่นและระลอกโดยรอบ ผุดขึ้นเป็นฟองงดงาม
ตั้งอยู่โดยรอบ ต่างพากันเกิดอัศจรรย์จิตไม่เคยมี จึงปรึกษาพร้อมกัน
อย่างนี้ว่า พวกเราพยายามเพื่อจะให้พระสมณโคดมขาดน้ำ ก็ตั้งแต่เวลา
ที่พระสมณโคดมนั้นเสด็จมา ห้วงน้ำใหญ่นี้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นถึงอย่างนี้
พระสมณโคดมมีอิทธานุภาพถึงอย่างนี้ โดยไม่ต้องสงสัยเลย เพราะพระ-
สมณโคดมนั้นมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก. ก็ข้อที่ห้วงน้ำใหญ่ล้นขึ้นท่วม
บ้านของเรา เป็นฐานะที่มีได้แล เอาเถอะ พวกเราจะเข้าไปหา เข้าไป
นั่งใกล้พระสมณโคดม แสดงโทษที่ล่วงเกินแล้วขอขมาพระองค์.

ชาวถูณคามทั้งหมดต่างมีอัธยาศัยเป็นอันเดียวกัน เป็นหมู่คณะเดียว
กัน ออกจากบ้านเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว บาง
พวกถวายบังคมพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า บาง
พวกประคองอัญชลี บางพวกกล่าวคำปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า บาง
พวกประกาศชื่อและโคตร บางพวกก็นั่งนิ่ง ก็แล ครั้นกระทำอย่างนี้แล้ว
จึงนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ทั้งหมดพากันแสดงโทษว่า ข้าแต่พระโคดม
ผู้เจริญ ดังข้าพระองค์ขอประทานวโรกาส พวกข้าพระองค์ก่อความเกียด
กันน้ำแก่พระสมณโคดมผู้เจริญและสาวก ได้เอาหญ้าและแกลบทิ้งลงใน
บ่อน้ำโน้น ก็บ่อน้ำนั้นถึงจะไม่มีเจตนาก็เป็นเหมือนมีเจตนา เป็นเหมือน
รู้คุณของพระโคดมผู้เจริญ ทำหญ้าและแกลบทั้งหมดให้ออกไปเสียเอง
เกิดเป็นบ่อน้ำบริสุทธิ์ด้วยดี ก็ในที่นี้สถานที่ลุ่มทั้งหมดเต็มไปด้วยน้ำเป็น
อันมาก น่ารื่นรมย์ใจ สัตว์ทั้งหลายพากันอาศัยน้ำนั้นเลี้ยงชีพ พากันยินดี
แต่พวกข้าพระองค์ แม้จะเป็นมนุษย์ก็ยังไม่รู้คุณของพระสมณโคดม จึงได้
ก่อกรรมทำเข็ญถึงอย่างนี้ ดังข้าพระองค์ขอวโรกาส ขอพระสมณโคดมผู้-
เจริญ จงกระทำโดยที่ห้วงน้ำใหญ่นี้จะไม่ท่วมบ้านนี้ แก่พวกข้าพระองค์เถิด
ขอพระโคดมผู้เจริญจงรับโทษที่ล่วงเกิน ตามที่พวกข้าพระองค์ล่วงเกิน
ตามความโง่เขลา ด้วยทรงอาศัยความอนุเคราะห์. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า เอาเถิด เราจะรับโทษที่ล่วงเกินที่พวกเธอล่วงเกินตามความโง่เขลา
เพื่อสังวรต่อไป ดังนี้แล้ว จึงทรงรับโทษที่ล่วงเกินของชนเหล่านั้น ทรง
ทราบว่า พวกเหล่านั้นมีจิตเลื่อมใส จึงทรงแสดงธรรมตามความเหมาะสม
แก่อัธยาศัยให้ยิ่งขึ้น. พวกเหล่านั้นฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้ว มีจิตเลื่อมใสตั้งอยู่ในคุณธรรม มีสรณะเป็นต้น ถวายบังคม

พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วทำประทักษิณ พากันหลีกไป. ก็ก่อนแต่ที่พวก
เหล่านั้นจะมา ท่านพระอานนท์เห็นปาฏิหาริย์นั้น ซึ่งเกิดอัศจรรย์จิตไม่
เคยมี เอาบาตรตักน้ำดื่มน้อมเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูล
เรื่องนั้น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า เอวํ ภนฺเตติ โข
อายสฺมา อานนฺโท
ท่านพระอานนท์ทูลรับว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มุขโต โอวมิตฺวา ความว่า พาเอาหญ้า
เป็นต้นทั้งหมดนั้นออกไปทางปากบ่อ. บทว่า วิสฺสนฺทนฺโต มญฺเญ
ความว่า เมื่อก่อนคนต้องใช้เชือกยาวตักน้ำเอาจากบ่อน้ำ ในเวลาที่พระ-
เถระรับบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเดินไป เป็นเหมือนไหลออกจาก
ปากบ่อตั้งอยู่เสมอขอบบ่อ พอกาดื่มได้. ก็คำนี้ ท่านกล่าวหมายเอาการ
เกิดขึ้นแห่งน้ำ ในเวลาที่พระเถระเดินไป. ก็หลังจากนั้น ที่ลุ่มทั้งสิ้นใน
บ้านนั้น ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำ โดยนัยดังกล่าวแล้วในกาลก่อน. ก็นี้
เป็นความสำเร็จไม่ใช่เพราะการอธิษฐานของพระพุทธเจ้า ทั้งไม่ใช่เพราะ
อานุภาพของเทวดาทั้งหลาย โดยที่แท้ เป็นเพราะบุญญานุภาพของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า เหมือนในคราวเสด็จจากกรุงราชคฤห์ไปยังกรุงไพสาลี เพื่อ
ทรงแสดงพระปริต. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เพื่อให้ชาวถูณคามเกิด
ความเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า เทวดาทั้งหลายผู้ใคร่ประโยชน์แก่คน
เหล่านั้นกระทำ. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า พญานาคผู้อยู่ภายใต้บ่อน้ำ
ได้กระทำอย่างนั้น. ทั้งหมดนั้น ไม่ใช่เหตุอันสมควร เพราะท่านแสดง
การเกิดขึ้นแห่งน้ำ โดยบุญญานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเท่านั้น.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบโดยอาการทั้งปวงซึ่ง

อรรถนี้ กล่าวคือความสำเร็จที่ตนประสงค์โดยเว้นจากการอธิษฐานนั้น
จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงเนื้อความนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กึ กยิรา อุทปาเนน อาปา เจ ยทิ
สพฺพทา สิยุํ
ความว่า ก็หากว่าน้ำในที่ทุกแห่งพึงมี คือพึงเกิดแก่บ่อน้ำ
ใด ตลอดกาลทั้งปวง คือถ้าบ่อน้ำพึงเนื่องด้วยเหตุเพียงความหวัง คือบ่อ
น้ำนั้นก็จะได้น้ำเหล่านั้น บุคคลพึงทำอะไร คือควรทำอะไรด้วยบ่อน้ำนั้น
อธิบายว่า บ่อน้ำจะมีประโยชน์อะไร. บทว่า ตณฺหาย มูลโต เฉตฺวา
กิสฺส ปริเยสนญฺจเร
ความว่า สัตว์ทั้งหลายผู้ไม่ได้ทำบุญไว้ ถูกตัณหา
ใดรัดรึง ย่อมเดือดร้อน เพราะทุกข์ในการไม่ได้สิ่งที่ตนปรารถนา พระ-
สัพพัญญูพุทธเจ้าผู้เช่นเรา ตัดรากหรือที่โคนของตัณหานั้นดำรงอยู่ พึง
เที่ยวแสวงหาน้ำ หรือแสวงหาปัจจัยอื่น เพื่อเหตุอะไร คือเพราะเหตุ
อะไร. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า มูลโต เฉตฺตา ดังนี้ก็มี. อธิบายว่า
ตัดรากหรือที่โคนของตัณหานั่นเอง. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า มูลโต เฉตฺตา
ความว่า ตัดตัณหาตั้งแต่ราก. ท่านอธิบายไว้ว่า พระองค์มิได้ทรงพระ-
ดำริถึงบุญสมภารทั้งสิ้นอันหาประมาณมิได้เพื่อพระองค์ จำเดิมแต่ตั้งความ
ปรารถนาใหญ่อันเป็นมูลเหตุแห่งพระโพธิญาณ ทรงบำเพ็ญโดยน้อมไป
เพื่อประโยชน์แก่สัตวโลกอย่างแท้จริง จึงทรงตัดตัณหาตั้งแต่ราก จะทรง
เที่ยวแสวงหาน้ำเพื่ออะไร คือเพราะเหตุไร เพราะผู้มีตัณหาเป็นตัวเหตุ
ไม่มีการได้สิ่งที่ตนปรารถนา แต่ชาวถูณคามเหล่านี้เป็นผู้บอดเขลาไม่รู้
เหตุนี้ จึงได้ทำอย่างนี้แล.
จบอรรถกถาอุทปานสูตรที่ 9

10. อุเทนสูตร



ว่าด้วยหญิง 500 ถูกเผา



[157] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้พระนคร
โกสัมพี ก็สมัยนั้นแล เมื่อพระเจ้าอุเทนเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ภาย
ในพระราชวังถูกไฟไหม้ หญิง 500 มีพระนางสามาวดีเป็นประมุขทำกาละ
ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า ภิกษุมากด้วยกันนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้า
ไปบิณฑบาตยังพระนครโกสัมพี ครั้นเที่ยวบิณฑบาตในพระนครโกสัมพี
กลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เมื่อพระเจ้า
อุเทนเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ภายในพระราชวังถูกไฟไหม้ หญิง
500 มีพระนางสามาวดีเป็นประมุขทำกาละ คติแห่งอุบาสิกาเหล่านั้นเป็น
อย่างไร ภพหน้าเป็นอย่างไร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย บรรดาอุบาสิกาเหล่านั้น อุบาสิกาที่เป็นพระโสดาบันมีอยู่ เป็น
พระสกทาคามินีมีอยู่ เป็นพระอนาคามินีมีอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกา
ทั้งหมดนั้นเป็นผู้ไม่ไร้ผลทำกาละ.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
สัตวโลกมีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน ย่อมปรากฏ
เหมือนสมบูรณ์ด้วยเหตุ คนพาลมีอุปธิเป็นเครื่อง
ผูกพัน ถูกความมืดหุ้มห่อไว้ ย่อมปรากฏเหมือนว่า