เมนู

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงได้
ทรงอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
พระอริยบุคคลใดไม่มีอวิชชาอันเป็นมูลราก ไม่มี
แผ่นดิน คืออาสวะ นิวรณ์ และอโยนิโสมนสิการ
ไม่มีเถาวัลย์ คือมานะและอติมานะเป็นต้น ใบ คือ
ความมัวเมา ประมาท มายา และสาเถยยะเป็นต้น
จะมีแต่ที่ไหน ใครเล่าจะควรนินทาพระอริยบุคคลนั้น
ผู้เป็นนักปราชญ์ ผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูก แม้เทวดา
ก็ชม ถึงพรหมก็ย่อมสรรเสริญพระอริยบุคคลนั้น.

จบตัณหักขยสูตรที่ 6

อรรถกถาตัณหักขยสูตร



ตัณหักขยสูตรที่ 6

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า โกณฺฑญฺโญ ในบทว่า อญฺญาโกณฺฑญฺโญ นี้ เป็นชื่อของ
ท่านที่มาโดยโคตร. ก็ในบรรดาสาวกทั้งหลาย พระเถระปรากฏในพระ-
ศาสนาว่า อัญญาโกณฑัญญะนั่นแล โดยคำอุทานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ไว้ว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ เพราะตรัสรู้อริยสัจ 4 ก่อนพระ-
สาวกทั้งหมด.
บทว่า ตณฺหาสงฺขยวิมุตฺตึ ชื่อว่า ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
เพราะเป็นที่สิ้นตัณหา คือเป็นที่ละตัณหา ได้แก่ พระนิพพาน ความ
หลุดพ้นในเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหานั้น. อีกอย่างหนึ่ง อริยมรรค

ชื่อว่าธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เพราะเป็นเหตุสิ้นคือเป็นเหตุละตัณหา.
ชื่อว่าตัณหาสังขยวิมุตติ เพราะวิมุตติเป็นผลหรือเป็นที่สุด แห่งอริยมรรค
โดยนิปปริยาย ได้แก่สมาบัติอันสัมปยุตด้วยอรหัตผล. เป็นผู้นั่งพิจารณา
สมาบัติอันสัมปยุตด้วยอรหัตนั้น. จริงอยู่ ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะนี้
เข้าผลสมาบัติมาก. เพราะฉะนั้น แม้ในที่นี้ท่านก็ได้ทำอย่างนี้.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ครั้นทรงทราบ การ
พิจารณาอรหัตผล ของพระอัญญาโกณฑัญญะนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้
อันแสดงถึงความนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส มูลํ ฉมา นตฺถิ ความว่า พระ-
อริยบุคคลใด ไม่มีอวิชชาอันเป็นดุจรากของต้นไม้คืออัตภาพ และไม่มี
แผ่นดิน กล่าวคือ อาสวะ นีวรณ์ และอโยนิโสมนสิการ อันเป็นที่ตั้ง
อาศัยของอวิชชานั่นเอง เพราะถอนขึ้นได้ด้วยอรหัตมรรค. พึงทราบ
สัมพันธ์บท ในบทว่า ปณฺณา นตฺถิ กุโต ลตา นี้ว่า เครือเถาไม่มี ใบ-
ไม้จะมีแต่ที่ไหน. อธิบายว่า แม้เครือเถา กล่าวคือกิ่งใหญ่กิ่งน้อยเป็นต้น
อันต่างด้วยมานะและอติมานะเป็นต้น ย่อมไม่มี ใบไม้คือ มทะ ปมาทะ
มายา และสาไถยเป็นต้น จักมีแต่ที่ไหนเล่า. อีกอย่างหนึ่ง. บทว่า
ปณฺณา นตฺถิ กุโต ลตา ความว่า เมื่อหน่อไม้งอกงามขึ้น ใบไม้ก็
บังเกิดขึ้นก่อน ภายหลัง ท่านกล่าวตั้งชื่อว่า ลตา คือ กิ่งใหญ่ กิ่งน้อย.
ในคำนั้น มูลคืออวิชชา และกิเลสมีอาสวะเป็นต้น อันเป็นที่ตั้งอาศัยของ
มูลคืออวิชชานั้น ย่อมไม่มีแก่ต้นไม้ คืออัตภาพใด อันควรแก่การเกิด
ขึ้น ในเมื่อไม่มีการเจริญอริยมรรค เพราะเจริญอริยมรรคแล้ว. ก็ในที่นี้

ด้วยมูลศัพท์นั่นเอง พึงทราบว่าท่านถือเอา แม้ภาวะที่กรรมอันเป็นที่ตั้ง
แห่งพืช เพราะเป็นเหตุแห่งมูลนั่นเอง. ก็เมื่อพืชคือกรรมไม่มี หน่อคือ
วิญญาณ ซึ่งมีพืช คือกรรมเป็นเครื่องหมาย และ ใบ กิ่ง มี นามรูป
สฬายตนะเป็นต้น เป็นอาทิ อันมีหน่อคือวิญญาณเป็นเครื่องหมาย จักไม่
บังเกิดขึ้นเลย. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระอริยบุคคลใดไม่มี
อวิชชาเป็นมูลราก ไม่มีเครือเถาคือมานะเป็นต้น ใบคือความมัวเมาเป็นต้น
จักมีแต่ที่ไหน. บทว่า ตํ ธีรํ พนฺธนา มุตฺตํ ความว่า ซึ่งพระอริยบุคคล
นั้น ผู้ชื่อว่า ธีระ เพราะชำนะมาร ด้วยการประกอบความเพียรคือสัม-
มัปปธาน 4 ผู้พ้นจากเครื่องผูก คืออภิสังขารอันเป็นตัวกิเลสทั้งหมดนั้น
นั่นแล. บทว่า ตํ ในบทว่า โก ตํ นินฺทิตุมรหติ นี้ เป็นนิบาต. ใคร
เล่า ผู้มีชาติแห่งวิญญูชน ควรเพื่อจะนินทา ครหา ผู้พ้นจากสัพพกิเลส
ผู้ประกอบด้วยคุณอันยอดเยี่ยมมีศีลคุณเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้ เพราะ
ไม่มีการนินทาเป็นเครื่องหมายนั่นเอง. บทว่า เทวาปิ นํ ปสํสนฺติ ความว่า
โดยที่แท้ ทวยเทพผู้รู้คุณวิเศษ มีท้าวสักกะเป็นต้น ก็ย่อมสรรเสริญด้วย
อปิศัพท์ แม้มนุษย์มีกษัตริย์ผู้เป็นบัณฑิตเป็นต้น ก็ย่อมทรงสรรเสริญ.
ยิ่งขึ้นไปอีกเล็กน้อย แม้พรหมก็สรรเสริญ คือมหาพรหมก็ดี พรหม
นาค ยักษ์ และคนธรรพ์เป็นต้น แม้เหล่าอื่นก็ดี ก็ย่อมสรรเสริญ คือ
ย่อมชมเชยเหมือนกันแล.
จบอรรถกถาตัณหักขยสูตรที่ 6

7. ปปัญจชยสูตร



ว่าด้วยผู้ไม่มีกิเลสเครื่องเนิ่นช้า



[153] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งพิจารณาการละส่วนสัญญา อันสหรคตด้วยธรรม
เครื่องเนิ่นช้าของพระองค์อยู่.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบการละส่วนสัญญาอัน
สหรคตด้วยธรรมเครื่องเนิ่นช้าชองพระองค์แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ใน
เวลานั้นว่า
ผู้ใดมีกิเลสเครื่องให้เนิ่นช้าและความตั้งอยู่ (ใน
สงสาร) ก้าวล่วงซึ่งที่ต่อคือตัณหาทิฏฐิ และลิ่มคือ
อวิชชาได้ แม้โลกคือหมู่สัตว์พร้อมทั้งเทวโลก ย่อม
ไม่ดีหมิ่นผู้นั้น ผู้ไม่มีตัณหา เป็นมุนี เที่ยวไปอยู่.

จบปปัญจขยสูตรที่ 7

อรรถกถาปปัญจขยสูตร



ปปัญจขยสูตรที่ 7

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปปญฺจสญฺญาสงฺขาปหานํ ความว่า กิเลสชื่อว่าธรรมเป็น
เครื่องเนิ่นช้า เพราะเป็นที่เกิดขึ้นเอง ทำให้เนิ่นช้า คือขยายความสืบต่อ
นั้นให้กว้างขวาง ได้แก่ ให้ตั้งอยู่นาน โดยพิเศษ ได้แก่ ราคะ โทสะ