เมนู

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
รถคืออัตภาพ มีศีลอันหาโทษมิได้เป็นองค์ประ-
ธาน มีหลังคาคือบริขารขาว มีกำคือสติอันเดียว
แล่นไปอยู่ เช้าดูรถคืออัตภาพนั้นอันหาทุกข์มิได้
มีกระแสตัณหาอันตัดขาดแล้ว หาเครื่องผูกมิได้
แล่นไปอยู่.

จบลกุณฐกภัททิยสูตรที่ 5

อรรถกถาลกุณฐกภัททิยสูตร



ลกุณฐกภัททิยสูตรที่ 5

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สมฺพหุลานํ ภิกฺขูนํ ปิฏฺฐิโต ปิฏฺฐิโต ความว่า วันหนึ่ง
ท่านพระลกุณฐกภัททิยะ พร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมากเที่ยวบิณฑบาตใน
ละแวกบ้าน ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ล้างบาตรใส่ถลก คล้องไว้ที่บ่า จีบ
จีวร พาดจีวรแม้นั้นไว้บ่าซ้าย มีการก้าวไป ถอยกลับ แลดู เหลียวดู
คู้ เหยียด น่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง สมบูรณ์ด้วยอิริยาบถ เป็นเหมือน
ประกาศความไพบูลย์ด้วยสติและปัญญาของตน ตั้งสติสัมปชัญญะไว้มั่น
มีจิตเป็นสมาธิ ทอดเท้าก้าวย่างไป และเมื่อจะไปก็ตามหลังภิกษุทั้งหลาย
ไป ไม่ปะปนด้วยภิกษุเหล่านั้น. เพราะเหตุไร ? เพราะเป็นผู้อยู่ด้วยการ
ไม่คลุกคลี. อนึ่ง ปุถุชนทั้งหลาย ย่อมดูหมิ่นรูปของท่านว่า น่าดูหมิ่น
เป็นที่ตั้งแห่งความดูหมิ่น. พระเถระทราบดังนั้น จึงเดินไปข้างหลัง ด้วย