เมนู

สัตว์ทั้งหลายข้องแล้วในกาม ของแล้วในกาม
ด้วยธรรมเป็นเครื่องข้อง ไม่เห็นโทษในสังโยชน์
ข้องแล้วในธรรม เป็นเครื่องข้องคือสังโยชน์ พึง
ข้ามโอฆะอันกว้างใหญ่ไม่ได้เลย.
จบปฐมกามสูตรที่ 3

อรรถกถาปฐมกามสูตร



ปฐมกามสูตรที่ 3

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า กาเมสุ ได้แก่ ในวัตถุกาม. บทว่า อติเวลํ ได้แก่ เกินเวลา.
บทว่า สตฺตา ได้แก่ สัตว์ อธิบายว่าผู้ติด คือ ข้อง โดยไม่เห็นโทษแม้ที่
มีอยู่ ระลึกถึงแต่ความยินดี ติดข้อง เพราะมากไปด้วยอโยนิโสมนสิการ.
บทว่า รตฺตา ชื่อว่า กำหนัดแล้ว กำหนัดนักแล้วด้วยฉันทราคะ อัน
เป็นเครื่องทำจิตให้เปลี่ยนแปลง เหมือนผ้าเปลี่ยนไปด้วยการย้อมสีฉะนั้น.
บทว่า คิทฺธา ความว่า ติด คือ ถึงความกำหนัด โดยการเพ่ง ซึ่งมีความ
หวังเป็นสภาวะ. บทว่า คธิตา ความว่า เกี่ยวเนื่องในกามนั้น เพราะเป็น
ภาวะที่เปลื้องได้ยาก ดุจร้อยรัดไว้. บทว่า มุจฺฉิตา ความว่า ไม่มีกิจ
อย่างอื่น คือ ถึงความหมกมุ่นงมงาย ด้วยอำนาจกิเลส ดุจคนสลบฉะนั้น.
บทว่า อชฺโฌปนฺนา ความว่า กลืนให้สำเร็จตั้งอยู่ ทำให้เหมือนสิ่งที่
ไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น. บทว่า สมฺมตฺตกชาตา ความว่า ถึงความเป็นผู้ดื่มด่ำ
ในกามทั้งหลาย คือเป็นผู้มัวเมา เมามาย ในสุขเวทนามีประมาณน้อย.
บาลีว่า สมฺโมทกชาตา ดังนี้ก็มี อธิบายว่า เกิดความบันเทิงใจ คือ

เกิดความร่าเริงใจ ด้วยบทแม้ทั้งหมด ท่านกล่าวถึงความที่ชนเหล่านั้น
หมกมุ่นด้วยตัณหานั่นเอง ก็ในสูตรนี้ คำต้นท่านกล่าวว่า กาเมสุ แล้ว
กล่าวซ้ำว่า กาเมสุ อีก ก็เพื่อแสดงว่าสัตว์เหล่านั้นมีจิตน้อมไปในกาม
นั้น. ด้วยคำนั้น ท่านแสดงว่า สัตว์เหล่านั้น เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยกาม-
คุณ ในทุกอิริยาบถอยู่ในเวลานั้น.
เล่ากันมาว่า สมัยนั้น เว้นพระอริยสาวกเสีย ชาวกรุงสาวัตถี
ทั้งหมด ต่างโฆษณาถึงการเล่นมหรสพ ตระเตรียมพื้นที่การเล่นไปตาม
กำลังสมบัติที่มี กินดื่มบริโภคกามทั้งในที่แจ้งทั้งในที่ลับ บำเรออินทรีย์
ถึงความดื่มดำในกามทั้งหลาย. พวกภิกษุทั้งหลาย พากันเที่ยวบิณฑบาต
ในกรุงสาวัตถี เห็นมนุษย์ในเรือนนั้น ๆ และในสวนเป็นที่รื่นรมย์เป็นต้น
พากันโฆษณาการเล่นมหรสพ มีจิตน้อมไปในกาม ปฏิบัติอย่างนั้นอยู่
พากันคิดว่า เราจักไปวิหาร ได้ฟังธรรมเทศนาอันละเอียดสุขุม ดังนี้
แล้ว จึงกราบทูลความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ด้วยเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า อถ โข สมฺพหุลา ภิกขู ฯ เป ฯ กาเมสุ วิหรนฺติ ดังนี้.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ทรงทราบโดยอาการ
ทั้งปวง ถึงความที่มนุษย์เหล่านั้น ไม่เห็นโทษในกามทั้งหลาย ที่น่ากลัว
อดกลั้นไม่ได้และมีผลเผ็ดร้อน มีที่เล่นอันน่ารื่นรมย์ มีความเร่าร้อนมาก
อันความพินาศเป็นอเนกติดตามผูกพันนี้ จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันประ-
กาศโทษแห่งกามและกิเลส.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาเมสุ สตฺตา ความว่า ผู้กำหนัด
มัวเมา ข้อง ซ่านไป ติด พัวพัน ประกอบ ในวัตถุกาม ด้วยกิเลสกาม
บทว่า กามสงฺคสตฺตา ความว่า ชื่อว่าผู้ข้อง คือมาข้องด้วยเครื่องข้อง

คือราคะ และด้วยเครื่องข้องคือ ทิฏฐิ มานะ โทสะ และอวิชชา ในวัตถุ-
กาม ด้วยความติดในกามนั้นนั่นแล. บทว่า สํโยชเน วชฺชมปสฺสมานา
ความว่า ไม่เห็นโทษ คือโทสะ ได้แก่ อาทีนพ อันชื่อว่ามีวัฏทุกข์เป็นมูล
เป็นต้น เพราะมีปกติเห็นตามความยินดี ในธรรมอันเป็นเครื่องประกอบ
สัตว์ไว้ในกิเลส มีกามราคะเป็นต้น อันได้นามว่า สังโยชน์ เพราะประกอบ
คือล่ามกัมมวัฏ ด้วยวิปากวัฏ หรือภพเป็นต้น ด้วยภพอื่นเป็นต้น หรือ
สัตว์ทั้งหลายด้วยทุกข์. บทว่า น หิ ชาตุ สํโยชนสงฺคสตฺตา โอฆํ
ตเรยฺยุํ วิปุลํ มหนฺตํ
ความว่า สัตว์ทั้งหลายผู้ข้องอยู่ในธรรมเป็นเครื่อง
ข้อง อันมีสังโยชน์เป็นสภาวะ เพราะไม่มีการเห็นโทษอย่างนี้ หรือข้อง
อยู่ในธรรมอันเป็นไปในภูมิ 3 อันเป็นอารมณ์แห่งธรรมเป็นเครื่องข้อง
เหล่านั้น ด้วยธรรมเป็นเครื่องข้องกล่าวคือสังโยชน์ ในกาลไหน ๆ ก็ข้าม
ไม่ได้ ซึ่งโอฆะมีกามเป็นต้น อันชื่อว่า กว้างขวาง แน่นหนา และใหญ่
หรือโอฆะคือสงสารนั่นเอง เพราะมีอารมณ์กว้างขวาง และหากาลเบื้องต้น
มิได้ อธิบายว่า ไม่พึงถึงฝั่งแห่งโอฆะนั้น โดยส่วนเดียวนั่นเอง.
จบอรรถกถาปฐมกามสูตรที่ 3

4. ทุติยกามสูตร



ว่าด้วยผู้มืดมนเพราะกาม



[150] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล มนุษย์