เมนู

จูฬวรรควรรณนาที่ 7



อรรถกถาปฐมภัททิยสูตร



จูฬวรรค ปฐมภัททิยสูตรที่ 1

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ภทฺทิโย ในคำว่า ลกุณฺฏกภทฺทิยํ นี้ เป็นชื่อของท่านผู้มี
อายุนั้น. ก็เพราะท่านมีรูปร่างเตี้ย เขาจึงจำท่านได้ว่า ลกุณฏกภัททิยะ.*
เล่ากันมาว่า ท่านเป็นกุลบุตรชาวกรุงสาวัตถี มีทรัพย์มาก มีโภคะ
มาก แต่มีรูปร่างไม่น่าเลื่อมใส มีวรรณะไม่งาม ไม่น่าดุ ค่อม. วันหนึ่ง
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ท่านพร้อมด้วยอุบาสก ไปยัง
วิหาร ฟังธรรมเทศนา กลับได้ศรัทธา ได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว เรียน
กัมมัฏฐานในสำนักพระศาสดา บำเพ็ญวิปัสสนา บรรลุโสดาปัตติผล
แล้ว. ในกาลนั้น เหล่าภิกษุผู้เสกขบุคคล โดยมากเข้าไปหาท่านพระ-
สารีบุตร ขอกัมมัฏฐาน ขอฟังธรรมเทศนา ถามปัญหาเพื่อมรรคเบื้องสูง.
ท่านพระสารีบุตร เมื่อจะทำความประสงค์ ของท่านเหล่านั้นให้บริบูรณ์
จึงบอกกัมมัฏฐานแสดงธรรม แก้ปัญหา. ภิกษุเหล่านั้น พากเพียรพยายาม
อยู่ บางพวกบรรลุสกทาคามิผล บางพวกบรรลุอนาคามิผล บางพวก
บรรลุอรหัตผล บางพวกได้วิชา 3 บางพวกได้อภิญญา 6 บางพวก
ได้ปฏิสัมภิทา 4. ฝ่ายท่านลกุณฏกภัททิยะเห็นเหตุนั้นแล้ว ถึงเป็นพระ-
เสขบุคคล ก็รู้จักกาล และกำหนดความที่ตนบกพร่องในทางจิต เข้าไปหา
พระธรรมเสนาบดี ได้รับการปฏิสันถารแล้ว ขอให้แสดงธรรมเทศนา.
ฝ่ายพระธรรมเสนาบดี ก็ได้แสดงธรรมอันเหมาะสมแก่อัธยาศัยของท่าน.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็สมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตร แสดงกะ
ท่านลกุณฏกภัททิยะ ด้วยธรรมีกถา โดยอเนกปริยายเป็นต้น.

*บาลีเป็น ลกุณฐกภัททิยะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเนกปริยาเยน ความว่า ด้วยเหตุมาก
มายอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ เบญจขันธ์ จึงเป็นของไม่เที่ยง แม้เพราะ
เหตุนี้ เบญจขันธ์ จึงเป็นทุกข์ แม้เพราะเหตุนี้ เบญจขันธ์ จึงเป็นอนัตตา.
บทว่า ธมฺมิยา กถาย ได้แก่ ด้วยธรรมีกถาอันประกาศความเกิดและดับ
ไปเป็นต้น แห่งอุปาทานขันธ์ 5. บทว่า สนฺทสฺเสติ ได้แก่ แสดงโดยชอบ
ซึ่งลักษณะมี อนิจลักษณะเป็นต้น เหล่านั้นนั่นแล และญาณมีอุทยัพ-
พยญาณเป็นต้น คือแสดงโดยประจักษ์ ดุจเอามือจับ. บทว่า สมาท-
เปติ
ความว่า ให้ถือเอาโดยชอบ ซึ่งวิปัสสนาอันมีลักษณะเป็นอารมณ์
ในลักษณะเหล่านั้น คือ ให้ถือเอา โดยประการที่จิตดำเนินไปตามวิถี.
บทว่า สมุตฺเตเชติ ความว่า เมื่อเริ่มวิปัสสนา เมื่ออุทยัพพยญาณเป็นต้น
แห่งสังขารปรากฏ ท่านย่อมยังวิปัสสนาให้หยั่งลงสู่วิถีอันเป็นสายกลาง
โดยอนุวัตตามโพชฌงค์ ด้วยการประคอง การข่ม และการพิจารณา
ตามเวลาแล้วยังวิปัสสนาจิตให้เกิดความอาจหาญโดยชอบ คือให้ผ่องแผ้ว
ด้วยการทำวิปัสสนาจิตให้หมดจด เพราะกระทำอินทรีย์ให้หมดจด เหมือน
วิปัสสนาญาณนำมาซึ่งความเป็นธรรมชาติกล้า ผ่องใส ฉะนั้น. บทว่า
สมฺปหํเสติ ความว่า ย่อมยังจิตให้ร่าเริงโดยชอบ หรือให้ยินดีด้วยดี โดย
ความยินดีที่ได้มา โดยการเจริญวิปัสสนา อันให้เป็นไปอยู่อย่างนั้น ให้
เป็นไปโดยสม่ำเสมอ และโดยพลังแห่งภาวนาที่จะพึงได้สูง ๆ ขึ้นไป.
บทว่า อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุจฺจิ ความว่า เมื่อเธอพิจารณา
ลักษณะที่ถ่องแท้ ยังญาณให้เป็นไปตามกระแสเทศนา เพราะเธอถึง
ความแก่กล้าแห่งญาณตามอานุภาพเทศนาของพระเถระ และเพราะตน
สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัย โดยประการที่พระธรรมเสนาบดีแสดงธรรม จิตของ

ท่านไม่ยึดอาสวะอะไร ๆ มีกามาสวะเป็นต้น หลุดพ้นโดยเด็ดขาด ตาม
ลำดับแห่งมรรค อธิบายว่า กระทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระองค์ทรงทราบโดยอาการ
ทั้งปวง ซึ่งอรรถนี้ กล่าวคือท่านพระลกุณฏกภัททิยะ ยินดีในพระ-
อรหัตผลแล้ว จึงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงถึงความนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุทฺธํ ได้แก่ ในรูปธาตุ และอรูปธาตุ.
บทว่า อโธ แปลว่า ในกามธาตุ. บทว่า สพฺพธิ แปลว่า ในสังขารแม้
ทั้งหมด. บทว่า วิปฺปมุตฺโต ได้แก่ หลุดพ้นแล้ว โดยประการทั้งปวง ด้วย
วิกขัมภนวิมุตติในส่วนเบื้องต้น และด้วยสมุจเฉทวิมุตติ และปฏิปัสสัทธิ-
วิมุตติ ในส่วนเบื้องปลาย. ก็ในบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า อุทฺธํ วิปฺปมุตฺโต
นี้ ทรงแสดงถึงการละสังโยชน์ อันเป็นส่วนเบื้องสูง 5. ด้วยบทว่า อโธ
วิปฺปมุตฺโต
นี้ ทรงแสดงถึงการละสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ 5. ด้วย
คำว่า สพฺพธิ วิปฺปมุตฺโต นี้ ทรงแสดงถึงการละอกุศลทั้งปวงที่เหลือ.
อีกอย่างหนึ่ง. บทว่า อุทฺธํ เป็นศัพท์แสดงอนาคตกาล. บทว่า อโธ
เป็นศัพท์แสดงอดีตกาล. ด้วยศัพท์ทั้งสองนั้นแหละ เป็นอันถือเอา
ปัจจุบันนัทธา เพราะเกี่ยวกับระหว่างอดีตกาลกับอนาคตกาล. ในสอง
ศัพท์นั้น ด้วยอนาคตกาลศัพท์ เป็นอันถือเอา ขันธ์ อายตนะ ธาตุ
อันเป็นอนาคต. แม้ในบทที่เหลือ ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า สพฺพธิ ได้แก่
ในภพทั้งปวงมีกามภพเป็นต้น. มีคำอธิบายดังต่อไปนี้ว่า หลุดพ้นแล้ว
ในภพทั้งปวง ที่สงเคราะห์ด้วย 3 กาล อย่างนี้ คืออนาคตกาล อดีตกาล
และปัจจุบันนกาล. บทว่า อยมหมสฺมีติ อนานุปสฺสิ ความว่า ผู้ใด
หลุดพ้นอย่างนี้ ผู้นั้น ย่อมไม่ตามเห็น ในรูปเวทนาเป็นต้น อย่างนี้

โดยสำคัญด้วยอำนาจทิฏฐิและมานะว่า เราเป็นธรรมชื่อนี้ อธิบายว่า ผู้นั้น
ไม่มีเหตุในทัสนะเช่นนั้น. อีกอย่างหนึ่ง. บทว่า อยมหมสฺมีติ อนานุ-
ปสฺสิ
นี้ เป็นบทแสดงอุบายเครื่องบรรลุวิมุตติตามที่กล่าวแล้ว. วิปัสสนาอัน
เป็นวุฏฐานคามิมีอันเป็นส่วนเบื้องต้น อันกระทำความไม่ตั้งมั่น ด้วยความ
สำคัญ อันมีสภาวะที่เป็นไปในสังขารอันเป็นไปในภูมิ 3 ซึ่งสงเคราะห์
ด้วยกาล 3 ว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวของเราแล้ว เกิดขึ้น
อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวของเรา ดังนี้
วิปัสสนานั้น เป็นปทัฏฐานของวิมุตติ. บทว่า เอวํวิมุตฺโต อุทตาริ โอฆํ
อติณฺณปุพฺพํ อปุนพฺภวาย
ความว่า พระอรหันต์ผู้หลุดพ้นแล้ว โดย
ประการทั้งปวง จากสังโยชน์ 10 และจากอกุศลทั้งปวงด้วยประการฉะนี้
ชื่อว่า เป็นผู้ข้ามโอฆะ 4 อย่างนี้ คือ โอฆะคือกาม 1 โอฆะคือภพ 1
โอฆะคือทิฏฐิ 1 โอฆะคืออวิชชา 1 ที่ตนยังไม่เคยข้าม แม้ในที่สุด
แห่งความฝัน ในกาลก่อนแต่การบรรลุอริยมรรค หรือข้ามขึ้น คือข้ามพ้น
โอฆะใหญ่ คือสงสารนั่นเอง โดยไม่มีภพใหม่ คือโดยอนุปาทิเสสนิพพาน-
ธาตุ อธิบายว่า ข้ามพ้น ดำรงอยู่ในฝั่ง.
จบอรรถกถาปฐมภัททิยสูตรที่ 1

2. ทุติยภัททิยสูตร



ว่าด้วยบุคคลตัดวัฏฏะได้แล้วย่อมสิ้นทุกข์



[148] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่าน