เมนู

อรรถกถาอุปปัชชันติสูตร



อุปปัชชันติสูตรที่ 10

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ยาวกีวํ แปลว่า ตลอดกาลเพียงใด. บทว่า ยโต ความว่า
ในกาลใด คือตั้งแต่เวลาใด หรือว่าในกาลใด. ด้วยบทว่า เอวเมตํ
อานฺนท
พระองค์ทรงแสดงว่า อานนท์ ข้อที่เธอกล่าวว่า เมื่อตถาคต
อุบัติขึ้น ลาภและสักการะย่อมเจริญยิ่งแก่ตถาคตและแก่สาวกของตถาคต
เท่านั้น ส่วนพวกเดียรถีย์ เป็นผู้ไร้เดช หมดรัศมี เสื่อมลาภและสักการะ
นั่นย่อมเป็นอย่างนั้น ข้อนั้นหากลายเป็นอย่างอื่นไม่ จริงอยู่ เมื่อจักร
รัตนะของพระเจ้าจักพรรดิปรากฏ สัตวโลกละจักรรัตนะ ไม่ทำการบูชา
สักการะและสัมมานะ ให้เป็นไปในที่อื่น แต่สัตวโลกทั้งมวลล้วนสักการะ
เคารพ นับถือ บูชา จักรรัตนะเท่านั้น โดยภาวะทั้งปวง ดังนั้น แม้
วิบากเป็นเครื่องไหลออกเพียงเป็นบุญที่ซ่านไปตามวัฏฏะ ก็ยังมีอานุภาพ
มากถึงเพียงนั้น จะต้องกล่าวไปไยเล่า ถึงพุทธรัตนะ ธัมมรัตนะ สังฆ-
รัตนะ อันทรงไว้ซึ่งจำนวนคุณหาที่สุดหาประมาณมิได้ ซึ่งเป็นเครื่อง
สนับสนุนพลังแห่งบุญอันส่งผลให้ไปถึงพระนิพพาน.
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ
แล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐ เมื่อพระอรหันต์ 61 องค์
บังเกิดขึ้นในโลกตามลำดับ จึงทรงส่งพระอรหันต์ 60 องค์ เพื่อจาริก
ไปตามชนบท พระองค์เสด็จไปยังอุรุเวลาประเทศ ให้ชฎิล 1,000 คน
มีอุรุเวลกัสสปะเป็นหัวหน้า ดำรงอยู่ในพระอรหัต แวดล้อมไปด้วยพระ-
อรหันต์เหล่านั้น ประทับนั่งที่สวนตาลหนุ่ม ทำชนชาวอังคะและมคธ