เมนู

พระวโรกาส สมณะ พราหมณ์ ปริพาชกมากด้วยกัน ผู้มีลัทธิต่าง ๆ
กัน มีทิฏฐิต่างกัน มีความพอใจต่างกัน อาศัยทิฏฐินิสัยต่างกัน อาศัย
อยู่ในพระนครสาวัตถี สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิ
อย่างนี้ว่า คนและโลกเที่ยง นี้แหละจริง อื่นเปล่า ฯ ล ฯ ธรรมเป็น
เช่นนี้ ธรรมไม่เป็นเช่นนี้ ธรรมไม่เป็นเช่นนี้ ธรรมเป็นเช่นนี้ พระ-
เจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อัญญเดียรถีย์
ปริพาชกเป็นคนบอด ไม่มีจักษุ ย่อมไม่รู้จักประโยชน์ ไม่รู้จักความ
ฉิบหายใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักสภาพมิใช่ธรรม ไม่รู้จัก
ประโยชน์ ไม่รู้จักความฉิบหาย ใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จัก
สภาพมิใช่ธรรม ก็บาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน ทิ่มแทงกัน
และกันอยู่ด้วยหอกคือปากว่า ธรรมเป็นเช่นนี้ ธรรมไม่เป็นเช่นนี้ ธรรม
ไม่เป็นเช่นนี้ ธรรมเป็นเช่นนี้.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ได้ยินว่า สมณพราหมณ์พวกหนึ่งข้องอยู่ในทิฏฐิ-
นิสัยเหล่านี้ ยังไม่ถึงนิพพานเป็นที่หยั่งลง ย่อมจมอยู่
ในระหว่างแล.


จบทุติยกิรสูตรที่ 5

อรรถกถาทุติยกิรสูตร



ทุติยกิรสูตรที่ 5

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จ ความว่า ชนแม้เหล่าอื่นยึดถือ
รูปารมณ์เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ว่าเป็นอัตตา และว่าเป็นโลกแล้ว

ยึดถือรูปารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งว่าเที่ยง ยั่งยืน กล่าวเหมือนอย่างนั้น.
เหมือนอย่างที่กล่าวไว้ว่า ชนทั้งหลายย่อมบัญญัติรูปให้เป็นอัตตาและโลกว่า
เป็นอัตตา เป็นโลก และเที่ยง บัญญัติเวทนา... สัญญา...สังขาร...วิญญาณ
ให้เป็นอัตตา และโลกว่าเป็นอัตตา เป็นโลก และเที่ยง. อีกอย่างหนึ่ง
บทว่า อตฺตา ได้แก่ วัตถุที่ถือว่าเป็นเรา. บทว่า โลโก ได้แก่ วัตถุ
ที่ถือว่าเป็นของเรา ท่านกล่าวว่า มีในตน. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อตฺตา
ได้แก่ ตนเอง. บทว่า โลโก ได้แก่ ผู้อื่น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า
อตฺตา ได้แก่ ขันธ์ 1 ในบรรดาอุปาทานขันธ์ 5 ขันธ์นอกนั้น ได้แก่
โลก. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อตฺตา ได้แก่ ขันธสันดานที่มีวิญญาณครอง
ที่ไม่มีวิญญาณครอง ได้แก่ โลก. ชนทั้งหลายถือรูปเป็นต้นนั้น ๆ เป็น 2
ประการตามทัสสนะว่าเป็น อัตตา และว่าเป็นโลก อย่างนี้แล้วยึดถือเอาทั้ง
อัตตาและโลกนั้นกล่าวว่าเที่ยง ยั่งยืน แน่นอน. ด้วยคำนี้ ท่านแสดง
สัสสตวาทะ 4. ด้วยคำว่า อสสฺสโต นี้ แสดงอุจเฉทวาทะแม้ทั้ง 7.
บทว่า สสฺสโต จ อสสฺสโต จ อธิบายว่า ที่ชื่อว่าเที่ยง เพราะอัตตาและ
โลกบางอย่างเที่ยง ที่ชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะอัตตาและโลกบางอย่างไม่เที่ยง.
อีกอย่างหนึ่ง อัตตาและโลกนั้นแหละ. บางคราวเที่ยง บางคราวไม่เที่ยง
เหมือนของคนผู้เห็นตนเป็นคติ พึงทราบความในข้อนี้อย่างนี้ว่า สสฺสโต
เที่ยง. ด้วยบทว่า สสฺสโต นี้ ท่านแสดงถึงวาทะว่าเที่ยงเป็นบางอย่าง
แม้โดยประการทั้งปวง. ด้วยบทว่า เนว สสฺสโต นาสสฺสโต นี้ ท่าน
แสดงถึงวาทะที่ดิ้นได้ไม่ตายตัว. ก็ชนเหล่านั้นเห็นโทษในสัสสตวาทะ และ
อสัสสตวาทะ กล่าวซัดซ่ายไปว่า อัตตาและโลกเที่ยงก็หามิได้ ไม่เที่ยง
ก็หามิได้. บทว่า สยํกโต แปลว่า ตนเองสร้างขึ้น. เหมือนอย่างว่าอัตตา

ของเหล่าสัตว์นั้น ๆ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมของตน แล้วเสวยสุขทุกข์
ฉันใด อัตตาแลก็ฉันนั้น ย่อมกระทำอัตตาและโลกกล่าวคือความกังวล
และความพัวพัน ให้เป็นเครื่องอุปโภคของอัตตานั้น ชนเหล่านั้นมีลัทธิ
แม้อันนี้ เหมือนลัทธิอัตตาว่า เนรมิตขึ้น. บทว่า ปรํกโต แปลว่า คน
อื่นสร้างขึ้น อธิบายว่า คนอื่นนอกจากตน จะเป็นอิสรชน บุรุษหรือ
สตรีก็ตาม สร้าง คือเนรมิตอัตตาและโลกตามกาลหรือตามปกติ. บทว่า
สยํกโต จ ปรํกโต จ ความว่า เพราะเหตุที่อิสรชนเป็นต้น เมื่อเนรมิต
อัตตาและโลก จะเนรมิตด้วยตนเองอย่างเดียวเท่านั้นก็หามิได้ โดยที่แท้
ต้องได้เหตุผู้ทำร่วมกันของธรรมและอธรรม แห่งเหล่าสัตว์นั้น ๆ ฉะนั้น
สัตว์บางพวกจึงมีลัทธิดังนี้ว่า อัตตาและโลก ตนเองสร้างขึ้นและคนอื่น
สร้างขึ้น. บทว่า อสยํกาโร อปรํกาโร ความว่า ชื่อว่า อสยังการ เพราะ
ตนเองไม่ได้สร้าง ชื่อว่า อปรังการ เพราะคนอื่นไม่ได้สร้าง. เพราะ
ลงนิคหิตอาคม จึงกล่าวว่า อปรํกาโร. ผู้นี้เห็นโทษในข้อที่ตนและคน
อื่นสร้าง จึงปฏิเสธทั้งสองอย่าง. เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามที่ว่า เมื่อเป็น
เช่นนั้น อัตตาและโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร จึงกล่าวเฉลยว่า อธิจฺจสมุปฺปนฺ-
โน
เกิดขึ้นลอย ๆ. ท่านแสดงอธิจจสมุปปันนวาทะว่า เกิดขึ้นตามความ
ปรารถนา คือเกิดขึ้นโดยเว้นเหตุบางอย่าง. ก็ด้วยคำนั้น เป็นอันสงเคราะห์
เหตุกวาทะเข้าด้วย.
บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงวาทะนั้นของคนผู้มีทิฏฐิเป็นคติ กล่าวยึด
ถือสุขและทุกข์อันเป็นคุณ หรือเป็นเครื่องกังวลของอัตตานั้น โดยเป็น
ของเที่ยงเป็นต้น เหมือนกล่าวยึดถืออัตตา จึงตรัสคำมีอาทิว่า สนฺเตเก
สมณพฺรหฺมณา
. คำนั้นมีนัยดังกล่าวแล้วแล.

ก็ในบทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา นี้ เพราะการเปรียบด้วยคนตาบอด
แต่กำเนิด ไม่มาในพระสูตรนี้ จึงละความนั้นแล้วประกอบความโดยนัย
ที่กล่าวในหนหลังแล. ในคาถาก็เหมือนกัน. ในพระคาถานั้นมีความ
แปลกกันเพียงเท่านี้ว่า ยังไม่ถึงพระนิพพานอันเป็นที่หยั่งลง ย่อมจม
ลงในระหว่างเทียว.

คำนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ ทิฏฐิคติกบุคคลทั้งหลายข้องอยู่ในทิฏฐิ
คือทิฏฐินิสัย ยังไม่ถึง คือยังไม่บรรลุพระนิพพาน กล่าวคือเป็นที่หยั่งลง
หรืออริยมรรคอันเป็นอุบายเครื่องบรรลุพระนิพพานนั้น เพราะเป็นฝั่ง
หรือเป็นที่พึ่งของทิฏฐิคติกบุคคลเหล่านั้น จึงจมคือหมกอยู่ในระหว่าง
คือในท่ามกลางโอฆะ 4 มีกาโมฆะเป็นต้น หรือห้วงน้ำใหญ่ คือสงสาร
นั่นแหละ. อริยมรรคและพระนิพพาน ชื่อว่าธรรมเป็นเครื่องหยั่งลง
เพราะเป็นเครื่องหยั่งลงหรือเป็นที่ตั้งอาศัย. ในที่นี้ เพราะรัสสะ โอคาธํ
นั่นแล จึงกล่าวว่า โอคธํ. มีการแยกบทว่า ตํ โอคธํ เป็น ตโมคธํ.
จบอรรถกถาทุติยกิรสูตรที่ 5

6. ติตถสูตร



ว่าด้วยลัทธิและทิฏฐิต่างกัน



[141] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล สมณะ
พราหมณ์ ปริพาชกมากด้วยกัน ผู้มีลัทธิต่าง ๆ กัน มีทิฏฐิต่างกัน มีความ