เมนู

ชัจจันธวรรควรรณนาที่ 6



อรรถกถาอายุสมโอสัชชนสูตร



ชัจจันธวรรค อายุสมโอสัชชนสูตรที่ 1 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทมีอาทิว่า เวสาลิยํ มีอรรถดังกล่าวแล้วในหนหลังนั้นแล. บทว่า
เวสาสึ ปิณฺฑาย ปาวิสิ ความว่า พระองค์เสด็จเข้าไปในกาลไร ? ใน
กาลที่เสด็จออกจากอุกกาเจลวิหาร แล้วเสด็จไปยังกรุงเวสาลี.
ความพิสดารว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจำพรรษา ณ เวลุวคามแล้ว
เสด็จออกจากเวลุวคามนั้น ถึงกรุงสาวัตถี โดยลำดับแล้ว ประทับอยู่ใน
พระเชตวัน. ในกาลนั้น พระธรรมเสนาบดี ตรวจดูอายุสังขารของตน
รู้ว่า จักเป็นไปได้เพียง 7 วันเท่านั้น จึงขออนุญาตพระผู้มีพระภาคเจ้า
ไปยังนาลกคาม ให้มารดาดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้วปรินิพพานในที่
นั้น. พระศาสดาทรงถือเอาพระธาตุของพระธรรมเสนาบดี ที่พระจุนทะ
นำมาแล้วให้สร้างเจดีย์เป็นที่บรรจุพระธาตุ แวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์หมู่
ใหญ่ ได้เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์. ในกาลเสด็จไปยังกรุงราชคฤห์นั้น ท่าน
พระมหาโมคคัลลานะปรินิพพานแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงถือเอา
พระธาตุของท่านพระมหาโมคคัลลานะแม้นั้นแล้ว ให้สร้างเป็นเจดีย์แล้ว
เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ เสด็จไปยังอุกกาเจลวิหาร ตามลำดับ. ในที่
นั้น แวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์ ประทับนั่ง ณ ฝั่งแม่น้ำคงคา แสดงธรรม
อันเกี่ยวเนื่องด้วยปรินิพพานของพระอัครสาวกทั้ง 2 ออกจากอุกกาเจล-
วิหารแล้ว เสด็จไปยังกรุงเวสาลี. พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปอย่างนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า ในเวลาเช้า พระองค์ทรงนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร
เสด็จไปบิณฑบาตยังกรุงเวลาลี. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อุกฺกาเจลโต

นิกฺขมิตฺวา เวสาลิคตกาเล ดังนี้เป็นต้น.
ในบทว่า นิสีทนํ นี้ ท่านประสงค์เอาท่อนหนัง. บทว่า ปาวาล-
เจติยํ
ความว่า สถานที่ที่ยักษ์ชื่อว่าปาวาละอาศัยอยู่ในครั้งก่อน ปรากฏ
ว่า ปาวาลเจดีย์. แม้วิหารที่เขาสร้างถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ในที่นั้น
เขาก็เรียกว่าปาวาลเจดีย์ โดยคำอันดาษดื่น. แม้ในบทมีอาทิอย่างนี้ว่า
อุเทนเจติยํ ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า สตฺตมฺพํ ความว่า ได้ยินว่า พระ-
ราชกุมารี 7 พระองค์พระธิดาของพระเจ้ากาสี ทรงพระนามว่า กิกิ เกิด
ความสังเวชเสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ เริ่มตั้งความเพียรในที่ใด ที่นั้น
ชนทั้งหลายพากันเรียกว่า สัตตัมพเจดีย์. บทว่า พหุปุตฺตํ ความว่า พวก
มนุษย์เป็นอันมาก ปรารถนาบุตรกะเทวดาผู้สิ่งอยู่ที่ต้นไทรต้นหนึ่ง ซึ่ง
มีย่านไทรมากเพราะอาศัยเหตุนั้น สถานที่นั้น จึงปรากฏว่า พหุปุตต-
เจดีย์. บทว่า สารนฺทํ ได้แก่ สถานที่ที่ยักษ์ชื่อว่า สารันทะอาศัยอยู่.
ดังนั้น สถานที่ทั้งหมดนั้นนั่นแล เขาเรียกโดยโวหารว่า เจดีย์ เพราะ
เทวดาครอบครองอยู่ก่อนพุทธกาล. แม้เมื่อสร้างวิหารถวายพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ชนทั้งหลายก็ยังจำได้อย่างนั้นเหมือนกัน. ในบทว่า รมณียา นี้
พึงทราบว่า กรุงเวสาลี เป็นที่น่ารื่นรมย์ เพราะสมบูรณ์ด้วยภูมิภาคพรั่ง-
พร้อมด้วยบุคคล มีปัจจัยหาได้ง่ายเป็นอันดับแรก. ส่วนวิหารทั้งหลายพึง
ทราบว่า เป็นที่น่ารื่นรมย์ เพราะไม่ไกลไม่ใกล้นักจากพระนคร สมบูรณ์
ด้วยคมนาคม เพราะเป็นสถานที่อยู่ไม่เกลื่อนกล่น สมบูรณ์ด้วยร่มเงา
และน้ำ และเป็นสถานที่สมควรแก่ความสงัด. อรรถแห่งบทว่าอิทธิบาท
ในบทว่า จตฺตาโร อิทฺธิปาทา นี้ ท่านกล่าวไว้แล้วในหนหลังแล. บทว่า
ภาวิตา แปลว่า ได้เจริญแล้ว. บทว่า พหุลีกตา ได้แก่ ทำบ่อย ๆ.

บทว่า ยานีกตา ได้แก่ กระทำให้เป็นดุจยานที่เทียมแล้ว. บทว่า วตฺถุกตา
ได้แก่ กระทำให้เป็นดุจวัตถุ เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้งอาศัย. บทว่า
อนุฏฺฐิตา แปลว่า ตั้งมั่นไว้แล้ว. บทว่า ปริจิตา ได้แก่ สั่งสมโดยรอบ
คือ เจริญด้วยดี. บทว่า สฺสมารทฺธา ได้แก่ ปรารภด้วยดี คือให้สำเร็จ
โดยชอบอย่างยิ่ง.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงโดยไม่กำหนดด้วยประการดังนี้
แล้ว เมื่อจะกำหนดแสดงอีก จึงตรัสคำมีอาทิว่า ตถาคตสฺส โข ดังนี้.
ก็ในบทเหล่านี้ บทว่า กปฺปํ ได้แก่ อายุกัป. บทว่า ติฏฺเฐยฺย
ได้แก่ พึงดำรงอยู่ คือ พึงทรงไว้ซึ่งประมาณแห่งอายุของมนุษย์ในกาลนั้น
ให้บริบูรณ์. บทว่า กปฺปาวเสสํ วา ความว่า ยิ่งกว่าร้อยปี ที่กล่าวว่า
อปฺปํ วา ภิยฺโย ดังนี้เป็นต้น.
ฝ่ายพระมหาสิวเถระกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าเสียงอันกระหึ่ม ในที่อันไม่
ควร ย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า ทรงข่มเวทนา
ปางตาย ที่เกิดขึ้นในเวลุวคาม ตลอด 10 เดือน ฉันใด ก็ทรงเข้า
สมาบัตินั้นบ่อย ๆ แล้ว ข่มไว้ได้ (ถึง 10 เดือน) พึงดำรงอยู่ตลอด
ภัททกัปนี้ ฉันนั้น. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร จึงไม่ดำรงอยู่ ? ตอบว่า
เพราะขึ้นชื่อว่า ร่างกายอันมีใจครอง ถูกทุกขเวทนามีฟันหักเป็นต้นเข้า
ครอบงำ ส่วนพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่ถึงภาวะแห่งทุกขเวทนามีฟันหัก
เป็นต้น ย่อมปรินิพพานเฉพาะในเวลาที่ชนเป็นอันมาก พากันรักใคร่
ชอบใจ ในสวนแห่งพระชนมายุส่วนที่ 5 ก็เมื่อพระอัครสาวก และ
พระมหาสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ปรินิพพานแล้ว จะพึงดำรงอยู่
พระองค์เดียวไม่มีบริวารหรือมีภิกษุหนุ่มและสามเณรเป็นบริวารก็ตาม ต่อ

แต่นั้น พึงถึงความเป็นผู้ถูกดูหมิ่นว่า น่าสลดใจ บริษัทของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น จึงไม่ดำรงอยู่. แม้เมื่อท่านกล่าวอย่างนั้น แต่
พระองค์ก็ถูกเรียกว่า ไม่ดำรงอยู่. คำว่า อายุกปฺโป นี้แหละ ท่านกำหนด
ไว้ในอรรถกถา.
บทว่า โอฬาริเก นิมิตฺเต ได้แก่ ให้สัญญาหยาบเกิดขึ้น. จริงอยู่
การให้สัญญาหยาบเกิดขึ้นนี้ คือการอ้อนวอนการดำรงอยู่ตลอดกัปทั้งสิ้น
ว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงดำรงอยู่ตลอดกัป คือเป็นการประกาศ
ความเป็นผู้สามารถตั้งอยู่ตลอดกัป ด้วยอานุภาพแห่งการเจริญอิทธิบาท 4
ของตน โดยการอ้างข้ออื่น โดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนอานนท์ อิทธิบาท 4
อันผู้ใดผู้หนึ่งอบรมแล้ว ดังนี้. บทว่า โอภาเส คือ ในพระดำรัส
ที่ปรากฏ. จริงอยู่ พระดำรัสที่ปรากฏนี้ คือ การละคำปริยายโดยอ้อมแล้ว
จึงทรงประกาศความประสงค์ของพระองค์ โดยทรงทีเดียว.
บทว่า พหุชนหิตาย ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่มหาชน. บทว่า
พหุชนสุขาย ได้แก่ เพื่อความสุขแก่มหาชน. บทว่า โลกนุกมฺปาย
ได้แก่ เพราะอาศัยความอนุเคราะห์แก่สัตวโลก. แก่สัตวโลกไหนบ้าง ?
คือ แก่ผู้ที่สดับพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วแทงตลอด คือ
ดื่มน้ำอมฤต. จริงอยู่ พรหม 18 โกฏิ มีพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นหัว
หน้า แทงตลอดธรรมด้วยเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตรของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า. สัตว์ผู้แทงตลอดธรรมจนกระทั่งแนะนำสุภัททปริพาชก
ด้วยประการอย่างนี้ นับไม่ได้. เหล่าสัตว์ผู้ได้ตรัสรู้ในเวลาที่ทรงแสดง
พระสูตรทั้ง 4 เหล่านี้ คือมหาสมยสูตร มงคลสูตร จูฬราหุโลวาทสูตร
และสมจิตตสูตร ไม่มีเขตกำหนด. สถานที่เกิดมีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า

เพื่อทรงอนุเคราะห์สัตวโลกหาปริมาณมิได้. นี้ท่านกล่าวโดยประสงค์ว่า
แม้ในอนาคตก็จักมีอย่างนี้. บทว่า เทวมนุสฺสานํ ความว่า สถานที่ย่อม
มีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข เฉพาะแก่เทวดาและ
มนุษย์อย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่ แม้แก่สัตว์ที่เหลือมีนาคและครุฑเป็นต้นก็
มี. ก็เพื่อจะแสดงภพบุคคลผู้ถือปฏิสนธิที่มีเหตุ โดยทำให้แจ้งมรรค
และผลจึงตรัสไว้แล้วอย่างนั้น อธิบายว่า เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค-
เจ้า จึงทรงพระชนม์อยู่ เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข
แม้แก่สัตว์เหล่าอื่น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถาย ได้แก่ เพื่อ
ประโยชน์แก่สมบัติ ในโลกนี้. บทว่า หิตาย ได้แก่ เพื่อประโยชน์
เกื้อกูลอันเป็นเหตุแห่งสมบัติในโลกหน้า. บทว่า สุขาย ได้แก่ เพื่อ
ประโยชน์แก่ความสุขในพระนิพพาน. ก็ศัพท์ว่า หิต และ สุข สำนวน
แรก พึงทราบโดยทั่วไปแก่หิตสุขทั้งปวง.
บทว่า ตํ ในบทว่า ยถาตํ มาเรน ปริยฏฺฐิตฺโต นี้ เป็นเพียง
นิบาต อธิบายว่า ปุถุชนบางคนแม้อื่น ผู้ถูกมารเข้าดลจิต คือ ถูกมาร
ครอบงำจิต ไม่อาจจะรู้แจ้งได้ ฉันใด พระอานนท์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ไม่อาจจะรู้แจ้งได้. จริงอยู่ มารย่อมครอบงำจิต ของผู้ที่ยังละวิปลาสบาง
อย่างยังไม่ได้. ส่วนในบุคคลผู้ยังละวิปลาส 12 อย่างโดยประการทั้งปวง
ยังไม่ได้ ไม่จำต้องกล่าวถึงเลย. เพราะพระเถระละวิปลาส 4 ยังไม่ได้
ฉะนั้น จิตของท่านจึงถูกมารครอบงำ. ถามว่า กุมารเมื่อจะครอบงำจิต
ทำอย่างไร ? ตอบว่า แสดงรูปารมณ์ที่น่ากลัว หรือให้ได้ยินสัททารมณ์
ที่น่ากลัว. ต่อแต่นั้น สัตว์ทั้งหลาย ได้เห็นหรือว่าได้ยินอารมณ์ที่น่ากลัว
นั้นแล้ว ปล่อยสติ ( ตกตะลึง) อ้าปาก. มารสอดมือเข้าไปทางปากของสัตว์

เหล่านั้น แล้วบีบหัวใจ. แต่นั้น สัตว์ก็ถึงวิสัญญีสลบลง. ส่วนมารจัก
สามารถสอดมือเข้าไปทางปากของพระเถระได้อย่างไร แต่แสดงอารมณ์ที่
น่ากลัวได้. พระเถระครั้นได้เห็นดังนั้นแล้ว จึงไม่รู้แจ้งนิมิตโอภาส.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงทราบอยู่แล เพื่อประโยชน์อะไร จึงตรัสเรียก
ถึง 3 ครั้ง ? คือต่อไปข้างหน้า เพื่อกระทำความเศร้าโศกให้เบาบาง โดย
ยกโทษขึ้นว่า ข้อนั้นเป็นการทำไม่ดีของท่าน ข้อนั้นเป็นความผิดของ
ท่าน ในเมื่อท่านอ้อนวอนว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงทรงพระชนม์
อยู่เถิดพระเจ้าข้า จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเห็นว่า อานนท์นี้
มีใจสนิทในเราอย่างเหลือเกิน ต่อไปข้างหน้า เธอได้ฟังเหตุแผ่นดินไหว
และการปลงอายุสังขาร จักอาราธนาให้เราดำรงอยู่ตลอดกาลนาน เมื่อเป็น
เช่นนั้น เราจักให้โทษตกลงบนศีรษะของเธอเท่านั้นว่า เพราะอะไร เธอ
จึงไม่ขอเสียก่อนเล่า. ก็เพราะโทษของตน สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่เดือดร้อน
เช่นนั้น เพราะเหตุนั้น ความเศร้าโศกของเธอก็จักเบาบาง.
บทว่า คจฺฉ ตฺวํ อานนฺท ความว่า เพราะเหตุที่ท่านมาในที่นี้
เพื่อพักผ่อนตอนกลางวัน ฉะนั้น ไปเถอะอานนท์ ไปยังสถานที่ตามที่
ชอบใจ เพื่อพักผ่อนกลางวัน. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระองค์จึงตรัสว่า
เธอจงสำคัญกาลอันสมควรแก่กรณียกิจบัดนี้เถิด ดังนี้เป็นต้น.
ในบทว่า มาโร ปาปิมา นี้ มีวิเคราะห์ดังต่อไปนี้ ชื่อว่า มาร
เพราะประกอบเหล่าสัตว์ไว้ในความฉิบหาย ทำให้ตาย. บทว่า ปาปิมา
นี้เป็นไวพจน์ของบทว่า มาร นั้นนั่นแล. จริงอยู่ มารนั้น ท่านเรียกว่า
ปาปิมา เพราะประกอบด้วยธรรมฝ่ายชั่ว. บทว่า ภาสิตา โข ปเนสา
ความว่า จริงอยู่ มารนี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่ต้นอชปาล-

นิโครธผ่านไป 7 วัน ณ โพธิมณฑล ธิดาทั้งหลายของตน พากันมาถูก
กำจัดความปรารถนาเสียแล้วก็พากันไป มารนี้คิดว่า อุบายนี้ใช้ได้จึงมา
กล่าวว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์บำเพ็ญบารมีมาเพื่อประโยชน์
ใด ประโยชน์นั้นพระองค์บรรลุแล้วโดยลำดับ สัพพัญญุตญาณ พระ-
องค์ก็ตรัสรู้แล้ว พระองค์จะมีประโยชน์อะไร ด้วยการอยู่ในโลก ดังนี้
แล้วจึงทูลอาราธนาว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงปรินิพพาน ณ บัดนี้
เถิด พระเจ้าข้า เหมือนกับในวันนี้เหมือนกัน. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสห้ามมารนั้นมีอาทิว่า เรายังไม่นิพพานก่อน ดังนี้ ซึ่งท่านหมายกล่าว
ไว้ในบัดนี้ว่า ภาสิตา โข ปน ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิยตฺตา ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ โดยการ
บรรลุอริยมรรค. บทว่า วินีตา ได้แก่ ผู้ได้รับการแนะนำ โดยการ
กำจัดกิเลสอย่างนั้นนั่นแล. บทว่า วิสารทา ได้แก่ ผู้ถึงความแกล้วกล้า
เพราะการละทิฏฐิและวิจิกิจฉาเป็นต้น อันกระทำความกำหนัด. บทว่า
พหุสฺสุตา ความว่า ชื่อว่า เป็นพหูสูต เพราะมีพระพุทธพจน์ อัน
สดับแล้วมาก ด้วยอำนาจปิฎก 3. ชื่อว่า ธรรมธรา เพราะทรงไว้ซึ่ง
ธรรมนั้นนั่นแล. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า พหุสฺสุตา ได้แก่ เพราะมี
พระปริยัติอันสดับแล้วมาก และเพราะมีปฏิเวธอันสดับแล้วมาก. พึงทราบ
อรรถในบทว่า ธมฺมธรา นี้ แม้ด้วยอาการอย่างนี้ว่า ชื่อว่าธรรมธรา
เพราะทรงไว้ซึ่งพระปริยัติธรรม และปฏิเวธธรรม. บทว่า ธมฺมานุ-
ธมฺมปฏิปนฺนา
ได้แก่ ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาธรรม อันเป็นธรรมสมควรแก่
อริยธรรม. บทว่า สามีจิปฏิปนฺนา ได้แก่ ผู้ปฏิบัติปฏิปทาอันสืบ ๆ กันมา
โดยวิสุทธิ อันสมควรแก่ญาณทัสสนวิสุทธิ. บทว่า อนุธมฺมจาริโน

ได้แก่ ผู้มีปกติประพฤติธรรม มีความมักน้อยเป็นต้น อันขัดเกลาอย่างยิ่ง
คืออันสมควรแก่ปฏิปทานั้น . บทว่า สกํ อาจริยกํ ได้แก่ ซึ่งอาจริยวาท
ของตน. บทว่า อาจิตกฺขิสฺสนฺติ ได้แก่ จักแสดงแต่เบื้องต้น อธิบายว่า
จักให้ผู้อื่นเล่าเรียน โดยทำนองที่ตนเรียนมา. บทว่า เทเสสฺสนฺติ ได้แก่
จักบอก อธิบายว่า จักบอกบาลี โดยชอบ. บทว่า ปญฺญเปสฺสนฺติ
แปลว่า จักให้รู้ชัด อธิบายว่า จักประกาศ. บทว่า ปฏฺฐเปสฺสนฺติ แปลว่า
จักตั้งไว้ โดยประการทั้งหลาย. บทว่า วิวริสฺสนฺติ แปลว่า จักกระทำ
ความเปิดเผย. บทว่า วิภชิสฺสนฺติ แปลว่า จักทำการจำแนก. บทว่า
อุตฺตานีกริสฺสนฺติ ได้แก่ จักกระทำอรรถที่ไม่ตื้น คือที่ลึกซึ้งให้ตื้น คือ
ให้ปรากฏ. บทว่า สหธมฺเมน ได้แก่ ด้วยคำอันเป็นไปกับด้วยเหตุ
คืออันเป็นไปด้วยการณ์. บทว่า สปฺปาฏิหาริยํ ได้แก่ ทำจนให้ออก
จากทุกข์. บทว่า ธมฺมํ เทเสสฺสนฺติ ความว่า จักยังหมู่สัตว์ให้ตรัสรู้ คือ
จักประกาศโลกุตรธรรม 9. ก็ในบทเหล่านั้น ด้วยบท 6 บท มีอาทิว่า
ปญฺญเปสฺสนฺติ ท่านแสดงถึงบทที่เป็นอรรถ 6 บท. ก็ด้วย 2 บทข้าง
ต้น ท่านแสดงถึงบทที่เป็นพยัญชนะ 6 บทแล. ด้วยลำดับคำเพียงเท่านี้
พระพุทธพจน์ คือพระไตรปิฎก เป็นอันท่านสงเคราะห์แสดง โดยนัย
แห่งสังวรรณนา. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ในเนตติปกรณ์ว่า บท 12 บท
จัดเป็นสูตร สูตรทั้งหมดนั้น เป็นพยัญชนะ 1 เป็นอัตถะ 1.
บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่ ศาสนพรหมจรรย์ทั้งสิ้นที่สงเคราะห์ด้วย
ไตรสิกขา. บทว่า อิทฺธํ ได้แก่ สำเร็จโดยยังฌานให้เกิดขึ้น. บทว่า
ผีตํ ได้แก่ ถึงความเจริญ คือ เผล็ดผลแพร่หลาย โดยเพียบพร้อมด้วย
อภิญญา. บทว่า วิตฺถาริกํ ได้แก่ กว้างขวาง โดยการประดิษฐานอยู่ใน

ทิศาภาคนั้น ๆ. บทว่า พหุชญฺญํ ได้แก่ ชนเป็นอันมากรู้กัน คือรู้กัน
ตลอด โดยอำนาจการตรัสรู้ของชนเป็นอันมาก. บทว่า ปุถุภูตํ ได้แก่
ถึงความแน่นหนาโดยอาการทั้งปวง. อย่างไร ? คือ ตราบเท่าที่เทวดา
และมนุษย์ประกาศดีแล้ว อธิบายว่า เทวดาและมนุษย์ผู้มีชาติแห่งวิญญู-
ชนนีประมาณเท่าใด เทวดาและมนุษย์เหล่านั้นทั้งหมดประกาศดีแล้ว.
บทว่า อปฺโปสฺสุกฺโก ได้แก่ หมดความอุตสาหะ คือปราศจาก
ความห่วงใย. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป ก็ตั้งแต่ 7
สัปดาห์ล่วงไป เธอเที่ยวร้องอยู่ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มี-
พระภาคเจ้าจงปรินิพพาน ณ บัดนี้เถิด ขอพระสุคตเจ้าจงปรินิพพาน
ณ บัดนี้เถิด บัดนี้ ตั้งแต่วันนี้ไป เธอจงปราศจากความพยายามเถิด
จงอย่าทำความพยายามเพื่อให้เราปรินิพพานเลย.
บทว่า สโต สมฺปชาโน อายุสงฺขารํ โอสฺสชฺชิ ความว่า พระองค์
ทรงดำริสติมั่นแล้วกำหนดด้วยญาณปลง คือละอายุสังขาร. ในการปลง
อายุสังขารนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงปลงอายุสังขารเหมือนเอา
มือวางก้อนดิน แต่พระองค์เกิดพระดำริขึ้นว่า ตลอดเวลาเพียง 3 เดือน
เท่านั้น เราจักเข้าสมาบัติ หลังจากนั้นจักไม่เข้า ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า
พระองค์ทรงปลงแล้ว. บาลีว่า โวสฺสชฺชิ ดังนี้ก็มี.
ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีภาคเจ้าสามารถดำรงอยู่ตลอดกัปหรือเกินกัป
จึงไม่ดำรงอยู่ตลอดกาลเพียงเท่านั้น ทรงปลงอายุสังขารตามที่มารขอร้อง
เพื่อให้ปรินิพพาน ? เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงปลงอายุสังขาร
ตามมารขอร้อง จักไม่ปลงอายุสังขารตามที่พระเถระขอร้องก็หามิได้ แต่
ว่าหลังจาก 3 เดือนไป พระองค์ทรงปลงอายุสังขาร เพราะพุทธเวไนย

ไม่มี ธรรมดาว่า การดำรงอยู่แห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็
เพียงเพื่อจะแนะนำเวไนยสัตว์ เมื่อเวไนยชนไม่มี พระผู้มีพระภาคพุทธ-
เจ้าทั้งหลาย จักดำรงอยู่ด้วยเหตุอะไร ก็ถ้าว่าพระองค์จะพึงปรินิพพาน
ตามที่มารขอร้อง ก็จะพึงปรินิพพานก่อนหน้านั้นทีเดียว. อนึ่ง ท่านกล่าว
ความนี้ไว้ว่า จริงอยู่ แม้ที่โพธิมณฑล มารก็ขอร้องไว้แล้ว ถึงการทำ
นิมิตโอภาสก็เพื่อทำความโศกของพระเถระให้เบาบาง. อีกอย่างหนึ่ง การ
ทำนิมิตโอภาสก็เพื่อแสดงพลังของพระพุทธเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทั้งหลาย ผู้มีอานุภาพมากอย่างนี้ แม้ดำรงอยู่ ก็ดำรงอยู่ตามความพอ
พระทัยของพระองค์เท่านั้น. แม้เมื่อจะปรินิพพาน ก็ย่อมปรินิพพานตาม
ความพอพระทัยของพระองค์เหมือนกันแล.
บทว่า มหาภูมิจาโล ได้แก่ แผ่นดินไหวอย่างใหญ่หลวง. ได้ยินว่า
ในกาลนั้น หมื่นโลกธาตุหวั่นไหวแล้ว. บทว่า ภึลนโก แปลว่า ให้เกิด
ความกลัว. บทว่า เทวทุนฺทุภิโย จ ผลึสุ ความว่า กลองทิพย์ก็
บันลือลั่น. ฟ้าก็คะนอง สายฟ้าอันเกิดในเวลามิใช่ฤดูกาลก็แลบแปลบ-
ปลาบ อธิบายว่า ฝนตกชั่วขณะ.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงรู้อาการทั้งปวงถึงอรรถนี้
กล่าวคือความพิเศษแห่งสังขารและวิสังขาร. บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า
ทรงเปล่งอุทาน อันแสดงถึงการที่พระองค์ทรงสละสังขารไม่มีเหลือแล้ว
ถึงวิสังขาร.
เพราะเหตุไรพระองค์จึงทรงเปล่งอุทาน ? เพราะชื่อว่าใคร ๆ จะพึง
กล่าวว่า พระองค์ถูกมารติดตามไปข้างหลัง ๆ แล้วรบกวนว่า จงปรินิพ-
พานเถิด จงปรินิพพานเถิด พระเจ้าข้า จึงทรงสละอายุสังขารเพราะกลัว

มาร. เพื่อจะแสดงความนี้ว่า มารนั้นจงอย่ามีโอกาส เพราะธรรมดาว่าผู้
กล่าวย่อมไม่มีการเปล่งอุทาน พระอรรถกถาจารย์จึงกล่าวไว้ในอรรถกถา
ว่าทรงเปล่งอุทานอันเกิดจากปีติ. ก็โดยที่พุทธกิจจะเสร็จโดยเวลาเพียง
3 เดือนเท่านั้น เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่า เราบริหารภาระคือทุกข์นี้มานาน
อย่างนี้ ไม่นานนักก็จักปล่อยวาง ดังนี้ ปีติและปราโมทย์อันยิ่งจึงเกิดขึ้น
โดยการพิจารณาคุณแห่งพระนิพพาน ดูเหมือนควรจะกล่าวว่า ทรงเปล่ง
ด้วยกำลังปีติ. จริงอยู่ พระศาสดาทรงน้อมไปในวิสังขาร คือมีพระนิพพาน
เป็นอัธยาศัย โดยส่วนเดียว จึงทรงดำรงอยู่ในโลกตลอดกาลนาน เพื่อ
ประโยชน์แก่สัตว์ด้วยพระมหากรุณา เหมือนดำรงอยู่โดยพลการ. จริง
อย่างนั้น พระองค์ทรงใช้สมาบัตินับได้สองล้านสี่แสนโกฏิทุกวัน บัดนี้
พระองค์บ่ายพระพักตร์ต่อพระนิพพาน เพราะอธิการอันกอปรด้วยพระ-
มหากรุณาสำเร็จแล้ว จึงเสวยปีติและโสมนัสมิใช่น้อย. ก็เพราะเหตุนั้น
นั่นแล รัศมีแห่งพระรูปโฉมของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงผ่องใส บริสุทธิ์
ผุดผ่องเป็นพิเศษ แม้ในวันดับขันธปรินิพพาน เหมือนในวันดับกิเลส.
พึงทราบวินิจฉัยในพระคาถาดังต่อไปนี้. กามาวจรกรรม ชื่อว่า
ตุละ เพราะชั่งได้ คือกำหนดได้ โดยภาวะประจักษ์แม้แก่สุนัขบ้านและ
สุนัขจิ้งจอกเป็นต้น. มหัคคตกรรม ชื่อว่า อตุละ เพราะชั่งไม่ได้ หรือ
เพราะไม่มีโลกิยกรรมอื่นที่ชั่งได้ คือเสมอเหมือน. กามาวจรกรรม หรือ
รูปาวจรกรรม ชื่อ ตุละ อรูปาวจรกรรม ชื่อ อตุละ อนึ่ง กรรมที่
มีวิบากน้อย ชื่อ ตุละ ที่มีวิบากมาก ชื่อ อตุละ. บทว่า สมฺภวํ ความว่า
เป็นเหตุแห่งการเกิด คือทำอุบัติให้เกิด. บทว่า ภวสงฺขารํ ได้แก่ ทำสังขาร
ในภพใหม่ให้เกิด. บทว่า อวสฺสชฺชิ ได้แก่ ปล่อยวาง. บทว่า มุนิ ได้แก่

พุทธมุนี. บทว่า อชฺฌตฺตรโต แปลว่า ยินดีภายในตน. บทว่า สมาหิโต
ได้แก่ มีจิตเป็นสมาธิโดยอุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ. บทว่า อภินฺทิ
กวจมิว
ความว่า ทำลายไป เหมือนทหารทำลายเกราะฉะนั้น. บทว่า
อตฺตสมฺภวํ ได้แก่ กิเลสที่เกิดในตน ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า มุนีปล่อย
วางโลกิยกรรม กล่าวคือกรรมที่ชั่งได้และชั่งไม่ได้ อันได้นามว่า สัมภวะ
เพราะอรรถว่ามีวิบาก และได้นามว่า ภวสังขาร เพราะอรรถว่าปรุงแต่ง
ภพ และเป็นผู้ยินดีในภายใน มีจิตเป็นสมาธิ ได้ทำลายกิเลสอันมีตนเป็น
แดนเกิด เหมือนทหารผู้ใหญ่ทำลายเกราะในสนามรบ ฉะนั้น.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ตุลํ ได้แก่ ชั่งอยู่ คือพิจารณาอยู่. บทว่า
อตุญฺจ สมฺภวํ ได้แก่ พระนิพพานและภพ. บทว่า ภวสงฺขารํ ได้แก่
กรรมอันนำสัตว์ไปสู่ภพ. บทว่า อวสฺสชฺชิ มุนิ ความว่า พระพุทธ-
มุนี ทรงพิจารณาโดยนัยมีอาทิว่า เบญจขันธ์ไม่เที่ยง การดับเบญจขันธ์
คือพระนิพพานเที่ยง ทรงเห็นโทษในภพและอานิสงส์ในพระนิพพาน
ทรงปล่อยวางสังขารกรรมอันเป็นมูลแห่งขันธ์ทั้งหลายนั้น ด้วยอริยมรรค
อันกระทำความสิ้นไปแห่งกรรม ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ย่อมเป็นไป
เพื่อความสิ้นกรรม. อย่างไร ? คือท่านยินดีในภายใน มีจิตเป็นสมาธิ
ได้ทำลายกิเลสที่เกิดในตน เหมือนทหารทำลายเกราะ. ก็ท่านยินดีในภาย
ในโดยวิปัสสนา มีจิตเป็นสมาธิโดยสมถะ รวมความว่า ท่านทำลายกิเลส
ทั้งหมดที่รึงรัดอัตภาพอยู่ อันได้นามว่า อัตตสัมภวะ เพราะเกิดในตน
ด้วยพลังแห่งสมถะและวิปัสสนา ตั้งแต่ส่วนเบื้องต้น เหมือนทหารทำลาย
เกราะฉะนั้น และเมื่อไม่กิเลส เป็นอันชื่อว่าสละกรรมได้เด็ดขาด เพราะ
ไม่มีปฏิสนธิ. ท่านสละกรรมเพราะสละกิเลส ด้วยประการฉะนี้. ดังนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปล่อยวางสังขารในภพ ณ ควงแห่งโพธิพฤกษ์นั่นเอง
แม้ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยเครื่องซ่อมแซม คือสมาบัติ เหมือนทำ
เกวียนเก่าให้ไปได้ด้วยเครื่องซ่อมแซม จึงทรงปล่อยวางอายุสังขารด้วย
ทำพระหฤทัยให้เกิดขึ้นว่า ถัดจาก 3 เดือนนี้ไป เราจักไม่ให้เครื่อง
ซ่อมแซม คือสมาบัติแก่สังขารนี้ ดังนี้แล.
จบอรรถกถาอายุสมโอสัชชนสูตรที่ 1

2. ปฏิสัลลานสูตร



ว่าด้วยพวก 7 คน


[ 132 ] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ปุพพาราม ปราสาทของ
นางวิสาขามิคารมารดา ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ในเวลาเย็นพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้น ประทับนั่งอยู่ภายนอกซุ้มประตู ลำดับ
นั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประ-
ทับ ทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง ก็สมัยนั้น ชฎิล 7 คน นิครนถ์ 7 คน อเจลก 7 คน เอกสาฎก 7 คน
และปริพาชก 7 คน มีขนรักแร้และเล็บงอกยาว หาบบริขารหลายอย่าง
เดินผ่านไปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทอด
พระเนตรเห็นชฎิล 7 คน นิครนถ์ 7 คน อเจลก 7 คน เอกสาฎก 7 คน
และปริพาชก 7 คนเหล่านั้น ผู้มีขนรักแร้และเล็บงอกยาว หาบบริขาร
หลายอย่าง เดินผ่านไปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นแล้วทรงลุก