เมนู

ได้คุณวิเศษทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย ครั้นได้คุณ
วิเศษทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลายแล้ว พึงถึงสถานที่
เป็นที่ไม่เห็นแห่งมัจจุราช.

จบจูฬปันถกสูตรที่ 10
จบโสณเถรวรรคที่ 5


อรรถกถาจูฬปันถกสูตร



จูฬปันถกสูตรที่ 10 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า จูฬปนฺถโก ความว่า แม้ในกาลภายหลัง ท่านผู้มีอายุนี้
ปรากฏชื่อว่า จูฬปันถก นั่นเอง โดยได้โวหารในเวลาที่ตนยังเป็นหนุ่ม
เพราะเป็นน้องชายของพระมหาปันถกเถระ และเกิดในหนทางเปลี่ยว.
แต่ว่าโดยคุณพิเศษ ท่านสำเร็จอภิญญา 6 แตกฉานปฏิสัมภิทา จัดเข้าใน
ภายในพระมหาสาวก 80 ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะ 2 ตำแหน่ง ด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดา
ภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา ผู้เนรมิตกายสำเร็จด้วยใจ 1 ผู้ฉลาดในการ
เปลี่ยนแปลงทางใจ 1 จูฬปันถกเป็นเอตทัคคะแล.
วันหนึ่งภายหลังภัต ท่านกลับจากบิณฑบาตนั่งพักผ่อนในที่พัก
กลางวันของตน ยับยั้งอยู่ด้วยสมาบัติต่าง ๆ ตลอดวัน พอในเวลาเย็น
เมื่อพวกอุบาสก ยังไม่มาฟังธรรมเลย เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้า
ไปยังท่ามกลางวิหาร ประทับนั่งในพระคันธกุฎี ท่านคิดว่า ไม่ใช่กาลที่

จะเข้าไปอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน จึงนั่งขัดสมาธิ ณ ส่วนสุดข้าง
หนึ่ง หน้ามุขพระคันธกุฎี. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็ สมัยนั้นแล
ท่านพระจูฬปันถก นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้ตรงหน้า
ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า. จริงอยู่ ในเวลานั้น ท่านกำหนดเวลา
แล้ว นั่งเข้าสมาบัติ.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบอรรถนี้ คือ ความ
ที่ท่านจุฬปันถก ตั้งกายและจิตไว้โดยชอบ. บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า
ทรงเปล่งอุทานนี้ อันประกาศความปรากฏ ในการบรรลุคุณวิเศษ อันมี
อนุปาทาปรินิพพานเป็นที่สุด ของภิกษุแม้อื่น ผู้มีกายสงบ ผู้มีสติปรากฏ
ในอิริยาบถทั้งปวง ผู้มีจิตเป็นสมาธิ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฐิเตน กาเยน ความว่า ผู้มีกายทุกส่วน
ตั้งอยู่โดยความไม่หวั่นไหว กล่าวคือ ความเป็นผู้ไม่มีวิการ โดยสังเขปว่า
มี โจปนกาย ที่ชื่อว่า ตั้งไว้ชอบ เพราะละ คือ ไม่กระทำอสังวรทางกาย-
ทวาร อนึ่ง มีกายอันเป็นไปในทวารทั้ง 5 ที่ชื่อว่า ตั้งไว้ด้วยดี เพราะ
กระทำอินทรีย์มีจักขุนทรีย์เป็นต้น ให้หมดพยศ หรือมีกรัชกาย ที่ชื่อว่า
ตั้งอยู่โดยความไม่แปรผัน เพราะไม่มีการคะนองมือเป็นต้น เหตุสำรวม
มือและเท้าได้แล้ว. ด้วยคำนั้น พระองค์ทรงแสดงถึงความบริสุทธิ์แห่ง
ศีลของเธอ. ก็บทว่า กาเยน นี้ เป็นตติยาวิภัตติใช้ในลักษณะอิตถัมภูต.
ด้วยคำว่า ฐิเต เจตสา นี้ ทรงแสดงความถึงพร้อมแห่งสมาธิ โดย
แสดงถึงความตั้งมั่นแห่งจิต. จริงอยู่ สมาธิ ท่านเรียกว่า ความตั้งมั่น
แห่งจิต. เพราะฉะนั้น เมื่อความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ด้วยอำนาจสมถะ

หรือด้วยอำนาจวิปัสสนา จิตเป็นอันชื่อว่าตั้งอยู่ โดยเข้าถึงภาวะที่จิตเป็น
เอกผุดขึ้นในอารมณ์ ไม่ใช่ตั้งอยู่โดยประการอื่น.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงว่า การตั้งอยู่ คือการตั้งมั่น ซึ่ง
กายและจิตตามที่กล่าวแล้วนี้ จำปรารถนาทุก ๆ กาลและทุก ๆ อิริยาบถ
จึงตรัสว่า ยืนอยู่ก็ดี นั่งอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี ดังนี้เป็นต้น.
วา ศัพท์ในบาทพระคาถานั้น มีอรรถไม่แน่นอน. ด้วยวาศัพท์
นั้น เป็นอันแสดงถึงอรรถนี้ว่า ยืนอยู่หรือ หรือว่านั่งอยู่ นอนอยู่หรือ
หรือว่าเป็นอิริยาบถอื่นจากนั้น เพราะฉะนั้น แม้การจงกรมก็พึงทราบว่า
ท่านสงเคราะห์เอาในที่นี้. บทว่า เอตํ สตึ ภิกฺขุ อธิฏฺฐหาโน ความว่า
ภิกษุตั้งไว้ คือดำรงไว้ ซึ่งจิตให้คล่องแคล่ว ให้นุ่มนวล ควรแก่การงาน
โดยชอบ ด้วยอำนาจการสงบกายและจิตด้วยการอธิษฐาน ถึงความสุขอัน
หาโทษมิได้ที่ได้มา เพราะกระทำกายและจิตไม่ให้กระสับกระส่าย โดย
การสงบกายและจิตอย่างหยาบ ไม่ต้องกล่าวถึง ผู้มีสมาจารอันบริสุทธิ์
จึงเพิ่มพูนกัมมัฏฐานและให้กัมมัฏฐานถึงที่สุดด้วยสติใด ภิกษุควบคุมสติ
นั้นนั่นแล ที่มีอุปการะมาก ในเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด แห่งการ
ประกอบกัมมัฏฐาน ควบคุมไว้ในกิจนั้น ๆ ตั้งต้นแต่ชำระศีลให้หมดจด
จนถึงบรรลุคุณวิเศษ. บทว่า ลเภถ ปุพฺพาปริยํ วิเสสํ ความว่า ท่าน
มีใจอันสติควบคุมแล้วอย่างนี้ เจริญ พอกพูน ทำให้เพิ่มขึ้น ซึ่ง
กัมมัฏฐานให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป พึงได้คุณวิเศษต่างด้วยคุณวิเศษที่ยิ่งและยิ่งกว่า
ทั้งที่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย คือ อันเป็นไปโดยส่วยเบื้องต้นและเบื้อง
ปลาย.

ในคำนั้น คุณวิเศษอันเป็นส่วนเบื้องต้นและเบื้องปลายมี 2 อย่าง
คือ สมถะอย่าง 1 วิปัสสนาอย่าง 1. ใน 2 อย่างนั้น คุณวิเศษที่เป็นไป
ด้วยอำนาจสมถะได้แก่ความเป็นผู้ชำนาญ ตั้งแต่เกิดนิมิตขึ้น จนถึง
เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน คุณวิเศษส่วนภาวนาที่เป็นไปอย่างนั้น ได้
แก่ คุณวิเศษอันเป็นส่วนเบื้องต้นและเบื้องปลาย. แต่เมื่อว่าด้วยคุณวิเศษ
ที่เป็นไปด้วยอำนาจวิปัสสนา ได้แก่ คุณวิเศษส่วนภาวนา ที่เป็นไปโดย
กำหนดรูปธรรมของผู้ยึดมั่น โดยยกรูปขึ้นเป็นประธาน ฝ่ายของผู้ยึดมั่น
นอกนี้เป็นไปตั้งแต่กำหนดธรรมนอกนี้ จนถึงบรรลุพระอรหัต ชื่อว่า
คุณวิเศษอันเป็นไปในส่วนเบื้องต้นและเบื้องปลาย. ก็คุณวิเศษนี้แหละ
ท่านประสงค์เอาในที่นี้.
บทว่า ลทฺธาน ปุพฺพาปริยํ วเสสํ ความว่า ได้บรรลุบารมีอย่าง
สูงสุด คือ พระอรหัต ในคุณวิเศษอันเป็นส่วนเบื้องต้นและเบื้องปลาย.
บทว่า อทสฺสนํ มจฺจุราชสฺส คจฺเฉ ความว่า พึงถึงสถานที่อันมัจจุไม่
เห็น คือสถานที่อันไม่เป็นอารมณ์ เพราะก้าวล่วงภพ 3 อันเป็นอารมณ์
ของมรณะ กล่าวคือมัจจุราช เพราะครอบงำสรรพสัตว์ ด้วยอำนาจการ
เข้าไปตัดเสียซึ่งชีวิต.
คำที่ข้าพเจ้า ไม่ได้กล่าวไว้ในวรรคนี้ มีนัยดังกล่าวแล้วในหน
หลังนั่นแล.
จบอรรถกถาจูฬปันถกสูตรที่ 10
จบมหาวรรควรรณนาที่ 5

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
1. ราชสูตร 2. อัปปายุกาสูตร 3. สุปปพุทธกุฏฐิสูตร
4. กุมารกสูตร 5. อุโปสถสูตร 6. โสณสูตร 7. กังขาเรวตสูตร
8. อานันทสูตร 9. สัททายมานสูตร 10. จูฬปันถกสูตร และอรรถกถา.

ชัจจันธวรรคที่ 6



1. อายุสมโอสัชชนสูตร



ว่าด้วยตรัสถึงอิทธิบาท 4 ประการ



[127] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน
ใกล้พระนครเวสาลี ครั้งนั้นแล เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว
ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครเวสาลี ครั้นเสด็จ
เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครเวสาลี กลับจากบิณฑบาตในภายหลังภัตแล้ว
ตรัสเรียกท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงถือผ้านิสีทนะ เรา
จักเข้าไปยังปาวาลเจดีย์ เพื่อพักกลางวัน ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มี-
พระภาคเจ้าแล้ว ถือผ้านิสีทนะติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไปข้างหลัง ๆ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จเข้าไปยังปาวาลเจดีย์ ประทับนั่ง
บนอาสนะที่ท่านพระอานนท์จัดถวาย ครั้นแล้ว ได้ตรัสกะท่านพระอานนท์
ว่า ดูก่อนอานนท์ พระนครเวสาลีน่ารื่นรมย์ อุเทนเจดีย์น่ารื่นรมย์
โคตมกเจดีย์น่ารื่นรมย์ สัตตัมพเจดีย์น่ารื่นรมย์ พหุปุตตเจดีย์น่ารื่นรมย์
สารันทเจดีย์น่ารื่นรมย์ ปาวาลเจดีย์น่ารื่นรมย์ ดูก่อนอานนท์ อิทธิบาท
4 ประการ ท่านผู้ใดผู้หนึ่งได้เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว กระทำให้เป็น
ดุจยาน ให้เป็นที่ตั้ง มั่นคงแล้ว สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว ท่านผู้นั้น
หวังอยู่ พึงดำรงอยู่ได้ตลอดกัปหนึ่งหรือเกินกว่ากัป. ดูก่อนอานนท์
อิทธิบาท 4 ประการ ตถาคตได้เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็น
ดุจยาน ให้เป็นที่ตั้ง มั่นคงแล้ว สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว ตถาคตหวัง
อยู่ พึงดำรงอยู่ได้ตลอดกัปหรือเกินกว่ากัป.