เมนู

9. สัททายมานสูตร



ว่าด้วยมาณพกล่าวเสียงอื้ออึง



[125] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในโกศลชนบทกับภิกษุ
สงฆ์หมู่ใหญ่ ก็สมัยนั้นแล มาณพมากด้วยกันเปล่งเสียงอื้ออึงผ่านไปใน
ที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นมาณพมาก
ด้วยกันเปล่งเสียงอื้ออึงผ่านไปในที่ไม่ไกล.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ชนทั้งหลายผู้มีสติหลงลืม อวดอ้างว่าเป็นบัณฑิต
พูดตามอารมณ์ พูดยืดยาวตามปรารถนา ย่อมไม่
รู้สึกถึงเหตุที่ตนพูดชักนำผู้อื่นนั้น.

จบสัททายมานสูตรที่ 9



อรรถกถาสัททายมานสูตร



สัททายมานสูตรที่ 9 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า มาณวกา ได้แก่ คนหนุ่ม คือผู้ตั้งอยู่ในปฐมวัย คือใน
วัยหนุ่มสาว. เด็กพราหมณ์ ท่านประสงค์เอาในที่นี้. บทว่า สธายมาน-
รูปา
นี้ ท่านกล่าวหมายเอาคำที่เกิดจากการเย้ยหยัน. อธิบายว่า กล่าว
เย้ยหยันต่อบุคคลเหล่าอื่น และเป็นผู้มีปกติกล่าวคำนั้น. ในข้อนั้นมีอรรถ
แห่งคำดังต่อไปนี้. เมื่อควรจะกล่าวว่า สธยมานา เพราะวิเคราะห์ว่า
การกล่าวคำน่าเกลียด ชื่อว่า สธะ บอกกล่าวคำน่าเกลียดนั้น จึงกล่าวว่า

สธายมานา เพราะทำให้เป็นทีฆะ. อีกอย่างหนึ่ง ต่อแต่นั้น จึงกล่าวว่า
สธายมานรูปา เพราะมีสภาวะเป็นอย่างนั้น. บาลีว่า สทฺทายมานรูปา
ดังนี้ก็มี อธิบายว่า ทำเสียงอื้ออึง คือทำเสียงดัง. บทว่า ภควโต อวิทูเร
อติกฺกมนฺติ
ความว่า กล่าวคำที่ชินปากนั้น ๆ ผ่านไปในวิสัยแห่งการ
สดับของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบอรรถนี้ คือทราบว่า
คนเหล่านั้นไม่สำรวมวาจา จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงอรรถนั้นโดย
ธรรมสังเวช.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปริมุฏฺฐา แปลว่า ผู้เขลา คือ มีสติ
หลงลืม. บทว่า ปณฺฑิตาภาสา ความว่า ชื่อว่าบัณฑิตเทียม เพราะ
เปล่งวาจาว่า ตนนั่นแหละรู้ในอรรถนั้น ๆ ด้วยเข้าใจว่า คนอื่นใครเล่า
จะรู้ พวกเราเท่านั้น รู้ในอรรถนี้. บทว่า วาจาโคจรภาณิโน ความว่า
วาจาเท่านั้นเป็นโคจร คือเป็นอารมณ์ของชนเหล่าใด ชนเหล่านั้น ชื่อว่า
มีการกล่าววาจาเป็นอารมณ์ ชื่อว่าผู้มีปกติกล่าวเพียงวาจาเป็นที่ตั้งเท่านั้น
เพราะไม่กำหนดรู้ถึงอรรถ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าผู้มีปกติกล่าววาจาเป็น
อารมณ์ เพราะพูดมุสาวาท อันไม่เป็นอารมณ์ของวาจา คือมิใช่เป็น
อารมณ์แห่งถ้อยคำของพระอริยะ. อีกอย่างหนึ่ง ท่านทำการรัสสะ อา
อักษรให้เป็น อ อักษร ในบทว่า โคจรภาณิโน นี้. ผู้มักพูดมีวาจา
เป็นอารมณ์ ไม่ใช่พูดมีสติปัฏฐานเป็นอารมณ์. พูดอย่างไร ? คือ พูด
ยืดยาวตามปรารถนา ได้แก่ พูดไปตามปากที่อยากจะพูด อธิบายว่า
ทำหน้าสยิ้ว เพราะไม่เคารพในผู้อื่น และเพราะไม่สบอารมณ์ตน. อีก
อย่างหนึ่ง อธิบายว่า พูดแต่วาจาเป็นอารมณ์เท่านั้น คือตนเองก็ไม่รู้

ถึงบทพูดก็พูดไป. อธิบายว่า เพราะเหตุนั้นนั่นแล จึงพูดยืดยาวตาม
ปรารถนา คือไม่คิดถึงคำที่เป็นเหตุให้สำเร็จ ปรารถนาเพียงพูดไปตาม
ปากของตน. บทว่า เยน นีตา น ตํ วิทู ความว่า บุคคลผู้ไม่รู้ คือคน
โง่ ถูกบุคคลผู้มีสติหลงลืมเป็นต้น แนะนำแต่ภาวะที่ไม่มียางอาย และ
ภาวะที่สำคัญว่า ตนเป็นบัณฑิต เราเท่านั้นพูดได้ ดังนี้ ด้วยเหตุใด
ย่อมไม่รู้ ซึ่งเหตุนั้นของคนผู้พูดอย่างนั้น.
จบอรรถกถาสัททายมานสูตรที่ 9

10. จูฬปันถกสูตร



ว่าด้วยการควบคุมสติ



[126] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล ท่าน
พระจูฬปันถกนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้จำเพาะหน้า ในที่
ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นท่านพระจูฬปัน-
ถกนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้จำเพาะหน้า ในที่ไม่ไกล.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ภิกษุมีกายตั้งมั่นแล้ว มีใจตั้งมั่นแล้ว ยืนอยู่ก็ดี
นั่งอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี ควบคุมสตินี้ไว้อยู่ เธอพึง