เมนู

นัยมีอาทิว่า เป็นพระพุทธเจ้าหรือหนอ หรือว่าไม่เป็นหนอ. บทว่า
ฌายิโน ตา ปชหนฺติ สพฺพา อาตาปิโน พฺรหฺมจริยํ จรนฺตา ความว่า
คนเหล่าใด ชื่อว่าผู้เพ่งฌาน ด้วยอารัมมณุปนิชฌาน และลักษณุปนิช-
ฌาน เจริญวิปัสสนา ชื่อว่ามีความเพียร เพราะบริบูรณ์ด้วยสัมมัปปธาน 4
ประพฤติอยู่ คือได้รับมรรคพรหมจรรย์ ผู้ตั้งอยู่ในปฐมมรรค ต่างโดย
ประเภทแห่งสัทธานุสารีบุคคลเป็นต้น ย่อมละ คือย่อมตัดขาด ซึ่งความ
สงสัยทั้งปวงนั้น ในขณะแห่งมรรค. ก็ต่อแต่นั้น เป็นอันชื่อว่าคนเหล่า-
นั้นละความสงสัยเหล่านั้นเสียได้. เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายว่า การละ
ความสงสัยเหล่านั้นอื่นจากนี้ได้เด็ดขาด ย่อมไม่มี.
ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงชมเชยการบรรลุอริยมรรค
ของท่านพระกังขาเรวตะ โดยฌานมุข คือโดยยกฌานขึ้นเป็นประธาน จึง
ทรงเปล่งอุทานด้วยอำนาจความชมเชย. ก็ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มี-
พระภาคเจ้า จึงทรงสถาปนาท่านไว้ในเอตทัคคะโดยความเป็นผู้มีฌานว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุผู้สาวกของเราผู้มีฌาน กังขาเรวตะเป็น
เลิศแล.
จบอรรถกถากังขาเรวตสูตรที่ 7

8. อานันทสูตร



ว่าด้วยคนดีทำชั่วได้ยาก



[124] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน
กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ในวันอุโบสถ