เมนู

ภิกษุ เธอมีพรรษาเท่าไร ท่านพระโสณะกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ข้าพระองค์มีพรรษาหนึ่ง.
พ. เธอได้ทำช้าอยู่อย่างนี้ เพื่ออะไร.
โส. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้เห็นโทษในกามทั้งหลาย
โดยกาลนาน ทั้งฆราวาสคับแคบ มีกิจมาก มีกรณียะมาก พระเจ้าข้า.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
พระอริยเจ้าย่อมไม่ยินดีในบาป ท่านผู้สะอาด
ย่อมไม่ยินดีในบาป เพราะได้เห็นโทษในโลก เพราะ
ได้รู้ธรรมอันไม่มีอุปธิ.

จบโสณสูตรที่ 6

อรรถกถาโสณสูตร



โสณสูตรที่ 6 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อวนฺตีสุ ได้แก่ ในอวันตีรัฐ. บทว่า กุรุรฆเร ได้แก่
นครอันมีชื่ออย่างนั้น. บทว่า ปวตฺเต ปพฺพเต ได้แก่ ภูเขาอันชื่อว่า
ปวัตตะ บางอาจารย์กล่าวว่า ปปาเต ดังนี้บ้าง. บทว่า โสโณ อุปาสโก
กุฏิกณฺโณ
ความว่า โดยนาม ชื่อว่าโสณะ ชื่อว่าอุบาสก เพราะประ-
กาศความเป็นอุบาสกโดยถึงสรณะ 3 เพราะทรงเครื่องประดับหูมีราคา
หนึ่งโกฏิ ควรจะเรียกว่า โกฏิกัณณะ แต่เขารู้จักกันมากว่า กุฏิกัณณะ
อธิบายว่า โสณะผู้เป็นเด็กดี.

ก็โสณะอุบาสกนั้นฟังธรรมในสำนักของท่านพระมหากัจจายนะ
เลื่อมใสยิ่งในพระศาสนา ตั้งอยู่ในสรณะและศีลจึงให้สร้างวิหารในที่อัน
สมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำ ใกล้ปวัตตบรรพต แล้วนิมนต์พระเถระให้อยู่
ในวิหารนั้นบำรุงด้วยปัจจัยทั้ง 4. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็น
อุปัฏฐากของท่านพระมหากัจจานะ.
เขาไปยังที่บำรุงของพระเถระตามเวลาอันสมควร และพระเถระก็
ได้แสดงธรรมแก่เขา. ด้วยเหตุนั้น เขาจึงมีความสลดใจมาก เกิดความ
อุตสาหะในการประพฤธรรมอยู่. คราวหนึ่ง เขาไปเมืองอุชเชนีกับหมู่
เกวียน เพื่อต้องการค้าขาย เมื่อพักหมู่เกวียนไว้ในดงระหว่างทาง เพราะ
กลัวคนจะแออัดกันจึงหลีกไปนอนหลับเสีย ณ ส่วนสุดด้านหนึ่ง. ในเวลา
ใกล้รุ่ง หมู่เกวียนก็ลุกไปเสีย แม้คนเดียวก็ไม่ปลุกให้โสณะอุบาสกตื่น
คนแม้ทั้งหมดไม่ได้นึกถึง ได้พากันไปเสีย. เมื่อราตรีสว่างแล้ว เขาตื่น
นอนแล้วลุกขึ้นไม่เห็นใครเลย จึงถือเอาทางที่หมู่เกวียนนั่นแหละไป เมื่อ
เดินไปนาน ๆ ก็แวะเข้าไปพักยังต้นไทรต้นหนึ่ง. ณ ต้นไทรนั้น เขาได้
เห็นบุรุษคนหนึ่งมีร่างกายใหญ่โตดูผิดรูปร่าง ทั้งน่าเกลียด ตนเองแหละ
เคี้ยวกินเนื้อของตนที่หล่นจากกระดูก ครั้นเห็นแล้วจึงถามว่า ท่านเป็น
ป. ฉันเป็นเปรต ท่านผู้เจริญ.
โส. เพราะเหตุไร ท่านจึงทำอย่างนี้ ?
ป. เพราะกรรมของตนเอง.
โส. ก็กรรมนั้นเป็นอย่างไร ? เปรตเล่าว่า เมื่อชาติก่อน ฉันเป็น
พ่อค้าโกงอยู่ในเมืองภารุกัจฉนคร หลอกลวงเอาของคนอื่นมาเคี้ยวกิน
และเมื่อพระสมณะเข้าไปบิณฑบาต ก็ด่าว่า จงเคี้ยวกินเนื้อของพวกมึงซิ

เพราะกรรมนั้น ฉันจึงได้เสวยทุกข์นี้ในบัดนี้. โสณะอุบาสกได้ฟังดังนั้น
กลับได้ความสลดใจอย่างเหลือล้น. ต่อจากนั้น เมื่อเดินไป พบพวกเปรต
เล็ก 2 ตน มีโลหิตดำไหลออกจากปาก จึงถามเหมือนอย่างนั้นนั่นแล.
ฝ่ายเปรตเหล่านั้น ก็ได้แจ้งกรรมของตน แก่โสณะนั้น.
ได้ยินว่า ในเวลาที่ยังเป็นเด็ก เปรตเหล่านั้นเลี้ยงชีพด้วยการค้า
ขายสิ่งของ ในภารุกัจฉนคร เมื่อมารดาของตน นิมนต์พระขีณาสพ
ทั้งหลายให้มาฉัน จึงไปยังเรือนแล้ว ด่าว่า ทำไม แม่จึงให้สิ่งของของ
พวกเรา แก่พวกสมณะ ขอให้โลหิตดำจงไหลออกจากปากของพวกสมณะ
ผู้บริโภคโภชนะ ที่แม่ให้แล้วเถิด. เพราะกรรมนั้น เด็กเหล่านั้น จึง
ไหม้ในนรกแล้ว ก็บังเกิดในกำเนิดเปรต ด้วยเศษแห่งวิบากของกรรม
นั้น จึงเสวยทุกข์นี้ในกาลนั้น.
โสณะอุบาสก ฟังคำแม้นั้น ได้เกิดความสลดใจอย่างเหลือล้น.
เขาไปยังกรุงอุชเชนี ตรวจตราถึงงานที่ตนจะพึงทำนั้นแล้ว จึงกลับมายัง
เรือนประจำตระกูล เข้าไปหาพระเถระ ได้รับการปฏิสันถารแล้ว จึงแจ้ง
ข้อความนั้นแก่พระเถระ. ฝ่ายพระเถระเมื่อจะประกาศโทษในการเกิดทุกข์
และอานิสงส์ในการดับทุกข์ แก่โสณะอุบาสกนั้น จึงแสดงธรรม. เขาไหว้
พระเถระแล้ว ไปเรือนแล้วบริโภคอาหารมื้อเย็นแล้ว จึงเข้านอน พอหลับ
ไปหน่อยหนึ่งเท่านั้น ก็ตื่นขึ้นนั่งบนที่นอนแล้ว เริ่มพิจารณาธรรมตาม
ทั้งตนได้สดับมา. เมื่อเธอพิจารณาธรรมนั้น และหวนระลึกถึงอัตภาพของ
เปรตเหล่านั้น สังขารทุกข์ ปรากฏเป็นของน่ากลัวเสียยิ่งนัก. จิตก็น้อม
ไปในบรรพชา. ครั้นราตรีสว่าง เธอชำระร่างกายเสร็จแล้ว เข้าไปหา
พระเถระ แจ้งอัธยาศัยของตนให้ทราบแล้ว ขอบรรพชา. ด้วยเหตุนั้น

ท่านจึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล โสณกุฏิกัณณะอุบาสก อยู่ในที่ลับ ฯ ล ฯ
ขอพระผู้เป็นเจ้ามหากัจจานะ จงให้กระผมบวชเถอะขอรับ ดังนี้
เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทมีอาทิว่า ยถา ยถา มีความสังเขปดังต่อ
ไปนี้. พระผู้เป็นเจ้ามหากัจจานะ แสดง บอก บัญญัติ เริ่มตั้ง เปิดเผย
จำแนก ทำให้ตื้น ประกาศธรรม โดยอาการใด ๆ เมื่อเรา (โสณะ) ใคร่-
ครวญด้วยอาการนั้น ๆ ย่อมปรากฏอย่างนี้ว่า พรหมจรรย์คือสิกขา 3 นี้ที่
จะพึงประพฤติให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว โดยรักษาไว้ไม่ให้ขาดจนวันเดียว
จนถึงจิตดวงสุดท้าย (ตาย) ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว โดยทำไม่ให้มีมลทิน
ด้วยมลทิน คือกิเลสแม้จนวันเดียวจนถึงจิตดวงสุดท้าย ให้เป็นเช่นกับ
สังข์ที่ขัดดีแล้ว คือเปรียบด้วยสังข์ที่ชำระจนสะอาดดี พรหมจรรย์นี้อัน
บุคคลผู้อยู่ครองเรือน คือผู้อยู่ในท่ามกลางเรือน จะประพฤติให้บริบูรณ์
โดยส่วนเดียว ฯ ล ฯ มิใช่ทำได้ง่าย ไฉนหนอ เราพึงปลง คือพึงโกน
ผมและหนวดแล้ว ปกปิด คือ นุ่งและห่มผ้าที่ชื่อว่ากาสายะ เพราะย้อม
ด้วยน้ำฝาด คือ ผ้าที่สมควรแก่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ออกจากเรือนแล้ว
บวชไม่มีเรือน. เพราะเหตุที่กรรมมีกสิกรรม และพาณิชยกรรมเป็นต้น
อันเป็นประโยชน์แก่เรือน ท่านเรียกว่า อคาริยํ และอคาริยะนั้น ไม่มี
ในบรรพชา ฉะนั้น บรรพชาจึงชื่อว่า อนคาริยะ (กรรมไม่เป็นประโยชน์
แก่เรือน) อธิบายว่า เราพึงออก คือ พึงเข้าถึง ได้แก่พึงปฏิบัติกรรม
อันไม่เป็นประโยชน์แก่เรือน คือบรรพชานั้น. โสณะอุบาสกแจ้งถึงเหตุ
ที่ตนตรึกในที่ลับ ด้วยอาการอย่างนี้แก่พระเถระแล้ว มีความประสงค์จะ
ปฏิบัติตามนั้น จึงเรียนว่า ขอพระผู้เป็นเจ้า มหากัจจานะ จงให้กระผม

บวชเถอะขอรับ. ฝ่ายพระเถระใคร่ครวญว่า ญาณของเธอยังไม่แก่กล้า
ก่อน จึงรอคอยความแก่กล้าของญาณ ห้ามความพอใจในบรรพชา
โดยนัยมีอาทิว่า ทำได้ยากแล ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า เอกภตฺตํ นี้ ท่านกล่าวหมายถึง
การงดเว้นจากการบริโภคในเวลาวิกาล ซึ่งกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ภิกษุเป็น
ผู้มีภัตหนเดียว เว้นจากความกำหนัด เว้นจากการบริโภคในเวลาวิกาล.
บทว่า เอกเสยฺยํ ได้แก่ นอนไม่มีเพื่อน. ก็ในคำว่า เอกเสยฺยํ นี้ เมื่อ
มุ่งถึงการนอนเป็นประธาน ท่านจึงแสดงกายวิเวกในอิริยาบถทั้ง 4 ที่กล่าว
แล้ว โดยนัยมีอาทิว่า ยืนคนเดียว เดินคนเดียว นั่งคนเดียว ดังนี้ ไม่
ใช่แสดงเพียงเป็นผู้ผู้เดียวนอน. บทว่า พฺรหฺมอริยํ ได้แก่ พรหมจรรย์
คือการเว้นจากเมถุน หรือศาสนพรหมจรรย์ คือการประกอบเนือง ๆ
ซึ่งไตรสิกขา. บทว่า อิงฺฆ เป็นนิบาต ในโจทนัตถะ. บทว่า ตตฺเถว
ได้แก่ ในเรือนนั่นเอง. บทว่า พุทฺธสาสนํ อนุยุญฺช ความว่า จงประ-
กอบเนือง ๆ ซึ่งศีลมีองค์ 5 มีองค์ 8 และมีองค์ 10 ต่างโดยการกำหนด
เป็นนิจศีล และอุโบสถศีลเป็นต้น และสมาธิภาวนา และปัญญาภาวนา
อันสมควรแก่ศีลนั้น. จริงอยู่ พรหมจรรย์นี้ อันอุบาสกพึงประพฤติ
เนือง ๆ ในส่วนเบื้องต้น ชื่อว่าพระพุทธศาสนา. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวว่า พรหมจรรย์ประกอบด้วยกาล มีภัตหนเดียว นอนคนเดียว
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาลยุตฺตํ ความว่า ประกอบด้วยกาล
กล่าวคือ วัน 14, 15, 8, ค่ำ และวันปาฏิหาริยปักข์. อีกอย่างหนึ่ง
เราพึงสามารถตลอดกาลอันควร คืออันเหมาะสมแก่ท่านผู้ประกอบเนือง ๆ

ในกาลตามที่กล่าวแล้ว อธิบายว่า ไม่ใช่บวชตลอดกาล. คำนั้นทั้งหมด
ท่านกล่าวไว้ เพื่อทำให้เหมาะสมในสัมมาปฏิบัติ เพราะกามทั้งหลาย
ละได้ยาก เหตุญาณของท่านยังไม่แก่กล้า ไม่ใช่กล่าวเพื่อห้ามความพอใจ
ในการบรรพชา.
บทว่า ปพฺพชฺชาภิสงฺขาโร ได้แก่ เริ่มคืออุตสาหะ เพื่อบรรพชา.
บทว่า ปฏิปสฺสมฺภิ ความว่า ระงับไป เพราะอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า และ
เพราะความสังเวชยังไม่แก่กล้า. การบรรพชาของเธอระงับไปก็จริง ถึง
อย่างนั้น เธอก็ยังดำรงตามวิถีที่พระเถระบอกให้แล้ว เข้าไปหาพระเถระ
ตามกาลอันสมควรแล้ว นั่งใกล้ฟังธรรม. จิตของเธอเกิดขึ้นในการ
บรรพชาเป็นครั้งที่สอง โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. เธอแจ้งแก่พระเถระ
ให้ทราบ. แม้ครั้งที่สอง พระเถระที่ยังห้าม. แต่ในวาระที่สาม พระเถระ
รู้ว่าเธอมีญาณแก่กล้าแล้ว จึงให้เธอบรรพชาด้วยคิดว่า บัดนี้ เป็นเวลา
ที่จะให้เธอได้บรรพชา. ก็พระเถระให้เธอผู้บรรพชาแล้วนั้น แสวงหา
คณะ ล่วงไปได้สามปี จึงให้อุปสมบท ซึ่งท่านหมายถึงกล่าวไว้ว่า ทุติยมฺปิ
โข โสโณ ฯ เป ฯ อุปสมฺปาเทสิ
ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปภิกฺขุโก แปลว่า มีภิกษุสองสาม
รูป. ได้ยินว่า ในคราวนั้น ภิกษุทั้งหลายโดยมาก อยู่ในมัชฌิมประเทศ
เท่านั้น. เพราะฉะนั้น ในที่นั้นจึงมีภิกษุ 2-3 รูปเท่านั้น. ก็ภิกษุเหล่านั้น
แยกกันอยู่อย่างนี้ คือในนิคมหนึ่งมีรูปเดียว ในนิคมหนึ่งมีสองรูป บทว่า
กิจฺเฉน แปลว่า โดยลำบาก. บทว่า กสิเรน แปลว่า โดยยาก. บทว่า
ตโต ตโต ได้แก่ จากคามและนิคมเป็นต้นนั้น ๆ. จริงอยู่ เมื่อพระเถระ
นำภิกษุ 2-3 รูปมา บรรดาภิกษุเหล่าอื่นที่นำมาก่อน ก็พากันหลีกไป

ด้วยกรณียกิจบางอย่างแล. เมื่อรอคอยกาลเล็กน้อย แล้วนำภิกษุเหล่านั้น
กลับมาอีก ฝ่ายภิกษุนอกนี้ก็หลีกไป. การประชุมโดยการนำมาบ่อย ๆ
อย่างนี้ ได้มีโดยกาลนานทีเดียว. ก็ในกาลนั้น พระเถระได้อยู่แต่รูปเดียว.
บทว่า ทสวคฺคํ ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาเตตฺวา ความว่า ในกาลนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ทรงอนุญาตการอุปสมบทด้วยสงฆ์ทสวรรคเท่านั้น แม้ใน
ปัจจันตประเทศ. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าถูกพระเถระทูลวิงวอนถึง
เหตุอุปสมบทนี้ จึงทรงอนุญาตการอุปสมบท ในปัจจันตประเทศด้วยสงฆ์
ปัญจวรรค. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ติณฺณํ วสฺสานํ ฯ เป ฯ
สนินิปาเตตฺวา
ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า วสฺสํ วุฏฺฐสฺส ได้แก่ ผู้อุปสมบทแล้วเข้าพรรษาต้นแล้ว
ออก. บทว่า เอทิโส จ เอทิโส จ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเราได้
ฟังมาว่า เห็นปานนี้ ๆ คือ ทรงประกอบด้วยนามกายสมบัติ และรูปกาย-
สมบัติเห็นปานนี้ และประกอบด้วยธรรมกายสมบัติเห็นปานนี้ ด้วยคำว่า
น โข เม โส ภควา สมฺมุขา ทิฏฺโฐ นี้ อาจารย์ทั้งหลายหมายเอาความ
เป็นปุถุชนเท่านั้น กล่าวว่าท่านโสณะได้มีความประสงค์จะเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้า แต่ภายหลังเธออยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระศาสดา
ในเวลาใกล้รุ่งพระศาสดาทรงเชื้อเชิญ จึงทำไว้ในใจให้มีประโยชน์ถึง
พระสูตร 16 เป็นวรรค 8 วรรค เฉพาะพระพักตร์พระศาสดา แล้ว
ประมวลมาไว้ในใจทั้งหมด เป็นผู้รู้แจ้งอรรถและธรรม เมื่อจะกล่าวเป็น
ผู้มีจิตเป็นสมาธิ โดยมุขคือความปราโมทย์อันเกิดแต่ธรรม ในเวลาจบ
สรภัญญะ เริ่มตั้งวิปัสสนาพิจารณาสังขาร บรรลุพระอรหัตโดยลำดับ
ก็เพื่อประโยชน์นี้เท่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงสั่งให้เธออยู่ในพระ-

คันธกุฎีเดียวกันกับพระองค์. ฝ่ายอาจารย์บางพวกกล่าวว่า คำว่าเรายัง
ไม่ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเฉพาะพระพักตร์แล ดังนี้ ท่านกล่าวหมาย
เอาเฉพาะการเห็นรูปกายเท่านั้น. จริงอยู่ ท่านพระโสณะพอบวชแล้วก็
เรียนกรรมฐานในสำนักของพระเถระ เพียรพยายามอยู่ ยังไม่ได้อุปสมบท
เลย ได้เป็นพระโสดาบัน ครั้นอุปสมบทแล้วคิดว่า แม้อุบาสกทั้งหลาย
ก็เป็นพระโสดาบัน ทั้งเราก็เป็นพระโสดาบัน ในข้อนี้จะคิดไปทำไมเล่า
จึงเจริญวิปัสสนาเพื่อมรรคชั้นสูงได้อภิญญา 6 ภายในพรรษานั้นเอง แล้ว
ปวารณาด้วยวิสุทธิปวารณา ก็เพราะเห็นอริยสัจ จึงเป็นอันชื่อว่าเธอได้
เห็นธรรมกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า สมจริงดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า
ดูก่อนวักกลิ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้น
ชื่อว่าเห็นธรรม. เพราะฉะนั้น การเห็นธรรมกาย จึงสำเร็จแก่เธอก่อน
ทีเดียว ก็แล ครั้นปวารณาแล้ว เธอได้มีความประสงค์จะเห็นรูปกาย.
บาลีว่า ถ้าพระอุปัชฌาย์อนุญาตเราไซร้ ดังนี้ก็มี. แต่นักจาร จารว่า
ภนฺเต. อนึ่ง บาลีว่า ดีละ ดีละ คุณโสณะ เธอจงไปเถอะคุณโสณะ ดังนี้
ก็มี. แต่คำว่า มา อาวุโส ไม่มีในคัมภีร์บางฉบับ. อนึ่ง บทว่า เอวมาวุโส
บาลีว่า โข อายสฺมา โสโณ ดังนี้ก็มี. จริงอยู่ วาทะว่าอาวุโสนั่นแหละ
พวกภิกษุเคยประพฤติเรียกกันและกันมา ในคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ยังทรงพระชนม์อยู่. อรรถแห่งบทมีอาทิว่า ภควนฺตํ ปาสาทิกํ ข้าพเจ้า
ได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั้นแล.
บทว่า กจฺจิ ภิกฺขุ ขมนียํ ความว่า ดูก่อนภิกษุ ยนต์คือสรีระของ
ท่านนี้ มีจักร 4 มีทวาร 9 เธอพึงอดทนได้แลหรือ คือเธอสามารถ
เพื่อจะอดทน คืออดกลั้น บริหารได้หรือ ได้แก่ ภาระคือทุกข์ ไม่ครอบ-

งำเธอหรือ. บทว่า กจฺจิ ยาปนียํ ความว่า เธออาจยังอัตภาพให้เป็นไป
คือให้ดำเนินไปในกิจนั้น ๆ ได้หรือ เธอไม่แสดงอันตรายอะไรหรือ.
บทว่า กจฺจิสิ อปฺปกิลมเถน ความว่า เธอมาสิ้นทางไกลเท่านี้ ด้วย
ความไม่ลำบากบ้างหรือ.
บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ท่านพระอานนท์ เมื่ออนุสรณ์ถึง
พระพุทธจริยาคุณ จึงได้กล่าวคำนี้ในบัดนี้ โดยนัยมีอาทิว่า ยสฺส โข มํ
ภควา นี้ได้เป็นคำที่เธอเคยคิดมาเป็นอาจิณวัตร. บทว่า เอกวิหาเร
ได้เเก่ ในพระคันธกุฎีเดียวกัน. จริงอยู่ พระคันธกุฎีในที่นี้ ท่านประสงค์
ถึงวิหาร. บทว่า วตฺถุํ แปลว่า เพื่อจะอยู่.
ในบทว่า นิสชฺชาย วีตินาเมตฺวา นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ อาจารย์
บางพวกกล่าวว่า เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงกระทำปฏิสัน-
ถาร ในการเข้าสมาบัติ แก่ท่านพระโสณะ ทรงเข้าสมาบัติทั้งหมดที่ทั่วไป
แก่พระสาวก โดยอนุโลมและปฏิโลม สิ้นราตรีเป็นอันมาก ฯลฯ แล้ว
จึงเสด็จเข้าสู่วิหาร ฉะนั้น ฝ่ายท่านพระโสณะ ทราบความประสงค์ของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเข้าสมาบัตินั้นทั้งหมด อันสมควรแก่พระประสงค์
นั้น สิ้นราตรีเป็นอันมาก ฯ ล ฯ แล้วเข้าสู่วิหาร. ก็แล ครั้นเข้าไปแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาต แม้เธอก็ทำจีวรให้เป็นกรณียกิจภายนอก
(เปลื้องจีวร) แล้วยับยั้งด้วยการนั่ง ข้างพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
บทว่า อชฺเฌสิ ได้แก่ ทรงสั่ง. บทว่า ปฏิภาตุ ตํ ภิกฺขุ ธมฺโม ภาสิตุํ
ได้แก่ ดูก่อนภิกษุ การกล่าวธรรม จงปรากฏแก่เธอ คือจงมาในมุข
คือญาณของเธอ อธิบายว่า จงกล่าวธรรมตามที่ได้สดับมา ตามที่ได้
เล่าเรียนมา.

บทว่า โสฬส อฏฺฐกวคฺคิกานิ ได้แก่ สูตร 16 สูตร มีกามสูตร
เป็นต้น อันเป็นวรรค 8 วรรค. บทว่า สเรน อภณิ ได้แก่ ได้กล่าว
ด้วยเสียงอันขับไปตามสูตร อธิบายว่า กล่าวโดยสรภัญญะ. บทว่า สร-
ภญฺญปริโยสาเน
ได้แก่ ในการกล่าวเสียงสูงจบลง. บทว่า สุคฺคหิตานิ
ได้แก่ เล่าเรียนโดยชอบ. บทว่า สุมนสิกตานิ ได้แก่ ใส่ใจด้วยดี.
บุคคลบางคนในเวลาเล่าเรียน แม้เรียนโดยชอบ ภายหลังในเวลาทำไว้
ในใจ โดยการสาธยายเป็นต้น ก็กล่าวพยัญชนะให้ผิดไป หรือทำบทหน้า
บทหลังให้ผิดพลาดไป พระโสณะนี้ หาเป็นเช่นนั้นไม่. แต่พระโสณะนี้
ใส่ใจตามที่เล่าเรียนมาโดยชอบทีเดียว. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บทว่า
ิสุมนสิกตานิ ได้แก่ ใส่ใจด้วยดี. บทว่า สุปธาริตานิ ได้แก่ แม้โดย
อรรถเธอก็ทรงจำไว้ดีแล้ว. ก็เมื่อเธอทรงจำอรรถไว้ดีแล้ว ก็สามารถ
สวดบาลีได้อย่างถูกต้อง. บทว่า กลฺยาณิยาสิ วาจาย สมนฺนาคโต
ความว่า เธอเป็นผู้ประกอบด้วยวาจาของชาวเมือง บริบูรณ์ด้วยบทและ
พยัญชนะอันกลมกล่อม ด้วยการกล่าวตามวิธี แห่งสิถิลและธนิตเป็นต้น.
บทว่า วิสฏฺฐาย แปลว่า หลุดพ้น. ด้วยคำนั้นท่านแสดงถึงความที่ท่าน
เป็นผู้มีวาทะว่าหลุดพ้น. บทว่า อเนลคลาย ความว่า โทษท่านเรียกว่า
เอละ โทษของวาจานั้นไม่ไหลออกไป เหตุนั้น วาจานั้นชื่อว่า อเนลคลา
อธิบายว่า วาจานั้น หาโทษมิได้. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อเนลคลาย
ความว่า ด้วยวาจาอันหาโทษมิได้ และไม่คลาดเคลื่อนไป ชื่อว่าวาจาหา
โทษมิได้ อธิบายว่า มีบทและพยัญชนะไม่คลาดเคลื่อน คือมีบทและ
พยัญชนะไม่ขาดหาย. จริงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงสถาปนา
เธอไว้ในเอตทัคคะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุผู้สาวกของเรา

ผู้กล่าววาจาไพเราะ โสณกุฏิกัณณะเป็นเลิศ. บทว่า อตฺถสฺส วิญฺญาปนิยา
ความว่า ด้วยวาจาอันสามารถ เพื่อให้รู้แจ้งอรรถตามที่ประสงค์.
บทว่า กติวสฺโส ความว่า ได้ยินว่า เธอดำรงอยู่ ในส่วนที่ 3 แห่ง
มัชฌิมวัย สมบูรณ์ด้วยอากัปปกิริยาแท้ ย่อมปรากฏแก่ชนเหล่าอื่น เหมือน
บรรพชิตผู้บวชนาน ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถาม หมายถึงท่าน.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ข้อนั้นไม่ใช่เหตุ เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านสมควร
เพื่อจะเสวยสุขอันเกิดแต่สมาธิ แต่เพราะเหตุไร เธอจึงถึงความประมาท
ตลอดกาลเพียงเท่านี้ เพราะเหตุนั้น เพื่อจะประกอบความนี้อีก พระศาสดา
จึงตรัสถามท่านว่า เธอมีพรรษาเท่าไร ? ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มี-
พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุ เธอกระทำชักช้าอยู่อย่างนี้ เพราะเหตุไร.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิสฺส แปลว่า เพราะเหตุไร. บทว่า
เอวํ จิรํ อกาสิ แปลว่า ประพฤติช้าอยู่อย่างนี้ อธิบายว่า เพราะเหตุไร
เธอจึงไม่เข้าถึงบรรพชา อยู่ในท่ามกลางเรือนเสียนานถึงอย่างนี้. บทว่า
จิรํ ทิฏฺโฐ เม ได้แก่ ข้าพระองค์ได้เห็นโทษในกามทั้งหลายมานาน คือ
โดยกาลนาน. บทว่า กาเมสุ ได้แก่ ในกิเลสกาม และวัตถุกาม. บทว่า
อาทีนโว แปลว่า โทษ บทว่า อปิจ ความว่า แม้เมื่อข้าพระองค์เห็น
โทษในกามทั้งหลาย โดยประการบางอย่าง ข้าพระองค์ก็ไม่สามารถเพื่อ
จะออกจากการครองเรือนก่อน. เพราะเหตุไร ? เพราะการครองเรือน
คับแคบ คือภาวะแห่งการครองเรือนมีกิจใหญ่กิจน้อย สูง ๆ ต่ำ ๆ เข้ามา
พัวพัน. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ท่านจึงกล่าวว่า พหุกิจฺโจ พหุกรณีโย มีกิจ
มาก มีกรณียะมาก ดังนี้เป็นต้น.

บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบโดยอาการทั้งปวง
ซึ่งอรรถนี้ว่า จิตของเธอผู้เห็นโทษในกามทั้งหลาย ตามความเป็นจริง
แม้ชักช้าอยู่ไม่แล่นไป คือไม่กลิ้งตกไปโดยแท้ทีเดียว เหมือนหยาดน้ำ
บนใบบัวฉะนั้น. บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้ อัน
แสดงถึงอรรถนี้ว่า เธอเมื่อทราบปวัตติและนิวัตติ โดยชอบทีเดียว ย่อม
ไม่ยินดีในปวัตติกาล และแม้ในกาลบางคราว ซึ่งมีปวัตติกาลและนิวัตติ
นั้นเป็นนิมิต.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิสฺวา อาทีนวํ โลเก ความว่า เห็น
อาทีนพ คือโทษด้วยจักษุคือปัญญา ในสังขารโลกแม้ทั้งสิ้น โดยนัยมี
อาทิว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ดังนี้. ด้วย
คำนี้ พระองค์ทรงแสดงถึงวิปัสสนาวาระ. บทว่า ญตฺวา ธมฺมํ นิรูปธึ
ความว่า รู้ความไม่มีอุปธิ คือนิพพานธรรม เพราะสละอุปธิทั้งปวง
ได้ขาด คือ กระทำอมตธรรม กล่าวคือวิเวกอันเป็นเครื่องสลัดทุกข์ให้
แจ่มแจ้ง แทงตลอดด้วยมรรคญาณ ตามความเป็นจริง. พึงเห็นเหตุ
และอรรถของบทเหล่านี้ว่า ทิสฺวา ญตฺวา เหมือนในประโยคมีอาทิว่า
เพราะดื่มเปรียงจึงมีกำลัง เพราะเห็นราชสีห์ ความกลัวจึงมี เพราะเห็น
ด้วยปัญญา อาสวะจึงหมดไป. บทว่า อริโย น รมติ ปาเป ความว่า
สัปบุรุษ ชื่อว่าอริยะ เพราะไกลจากกิเลส ย่อมไม่ยินดีในบาป แม้
ประมาณน้อย. เพราะเหตุไร ? เพราะคนสะอาด ย่อมไม่ยินดีในบาป
อธิบายว่า บุคคลบริสุทธิ์ เพราะมีกายสมาจารหมดจดด้วยดี ย่อมไม่ยินดี
คือย่อมไม่เพลิดเพลินในบาป คือในสังกิเลสธรรม ดุจพระยาหงส์ ไม่
ยินดีในที่สกปรกฉะนั้น. บาลีว่า ปาโป น รมตี สุจึ คนชั่วย่อมไม่ยินดี

ของสะอาด ดังนี้ก็มี. คำนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ คนมีบาป คือคนชั่ว
ย่อมไม่ยินดี ของที่สะอาด คือของที่ไม่มีโทษ มีความผ่องแผ้วเป็นธรรม
โดยที่แท้ ยินดีแต่ของไม่สะอาด คือสังกิเลสธรรมเท่านั้น เหมือน
สุกรบ้านเป็นต้น ยินดีแต่สถานที่สกปรกฉะนั้น เพราะฉะนั้น พระองค์จึง
ทรงเปลี่ยนเทศนา โดยธรรมอันเป็นปฏิปักษ์กัน.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเปล่งอุทานอย่างนี้แล้ว ท่านโสณะลุก
จากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอวัตถุ 5 ประการ มีอุป-
สมบทเป็นต้น พร้อมด้วยสงฆ์ปัญจวรรค ในปัจจันตประเทศ ตามคำ
อุปัชฌาย์ของตน. คำว่า ภควาปิ ตานิ อนุชานิ ทั้งหมด พึงทราบโดย
นัยที่มาแล้วในขันธกะเถิด.
จบอรรถกถาโสณสูตรที่ 6

7. กังขาเรวตสูตร



ว่าด้วยผู้มากด้วยความสงสัย



[123] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล
ท่านพระกังขาเรวตะนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง พิจารณากังขาวิตรณวิสุทธิ
ของตนอยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็น
ท่านพระกังขาเรวตะผู้นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง พิจารณากังขาวิตรณวิสุทธิ
ของตนอยู่ในที่ไม่ไกล.