เมนู

สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่งผู้เกิดแล้ว และแม้จักเกิด
สัตว์ทั้งหมดนั้นจักละร่างกายไป ท่านผู้ฉลาดทราบ
ความเสื่อมแห่งสัตว์ทั้งปวงนั้นแล้ว พึงเป็นผู้มีความ
เพียรประพฤติพรหมจรรย์.

จบอัปปายุกาสูตรที่ 2

อรรถกถาอัปปายุกาสูตร



อัปปายุกาสูตรที่ 2

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
คำว่า อจฺฉริยํ ภนฺเต แม้นี้ พึงทราบโดยข้ออัศจรรย์ที่น่าติเตียน
เหมือนในเมฆิยสูตร. บทว่า ยาว อปฺปายุกา แปลว่า มีอายุน้อย
เพียงไร อธิบายว่า มีชีวิตชั่วเวลานิดหน่อย. บทว่า สตฺตาหชาเต
ความว่า ประสูติโดยสัปดาห์ 1 ชื่อว่าสัตตาหชาตะ ในเมื่อพระองค์
ประสูติได้ 7 วัน. อธิบายว่า ในวันที่ 7 ที่พระองค์ประสูติ. บทว่า
ตุสิตํ กายํ อุปปชฺชิ ความว่า เข้าถึงเทพนิกายชั้นดุสิต โดยการถือ
ปฏิสนธิ.
เล่ากันมาว่า วันหนึ่งภายหลังภัตร พระเถระนั่งพักผ่อนกลางวัน
ใส่ใจถึงพระรูปโฉมของพระผู้มีพระภาคเจ้า อันประดับด้วยพระลักษณะ
และพระอนุพยัญชนะ มีพระรูปเลอโฉม เป็นทัสนานุตริยะ แล้วจึง
คิดว่า น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าทั้งหลายเพียบพร้อมไปด้วยพระรูปกาย
น่าชม นำมาซึ่งความเลื่อมใสรอบด้าน น่ารื่นรมย์ใจ ดังนี้แล้ว จึงเสวย
ปีติและโสมนัสอย่างยิ่ง จึงคิดอย่างนี้ว่า ธรรมดามารดาผู้บังเกิดเกล้า
ถึงจะมีบุตรรูปร่างไม่ดี ก็ยังมีความพอใจ คล้ายว่าบุตรรูปร่างดีฉะนั้น

ก็ถ้าว่า พระนางมหามายาเทวีพระพุทธมารดา ยังทรงพระชนม์อยู่ไซร้
พระนางก็จะพึงเกิดปีติโสมนัส เพราะได้เห็นพระโฉมของพระผู้มีพระภาค-
เจ้า เช่นไรหนอ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประสูติได้ 7 วัน พระเทวี
มหามารดาของเราสวรรคตเป็นความเสื่อมอย่างใหญ่หลวงแล. ก็ครั้นคิด
อย่างนี้แล้ว จึงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลความปริวิตกของตน
เมื่อจะติเตียนการสวรรคตของพระนาง จึงกราบทูลคำมีอาทิว่า อจฺฉริยํ
ภนฺเต.

แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระนางมหาปชาบดี โคตมี ถึงจะ
วิงวอนขอบรรพชากะพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยความยากยิ่ง ก็ยังถูกห้าม
แต่เราทูลขอด้วยอุบายแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงอนุญาตการ
บรรพชา และอุปสมบท ด้วยการรับครุธรรม 8 ประการ พระนาง
รับธรรมเหล่านั้นแล้ว ได้บรรพชาอุปสมบท แล้วจึงเกิดบริษัทที่ 3 ของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าขึ้น ได้เป็นปัจจัยแก่บริษัทที่ 4 ก็ถ้าพระมหามายาเทวี
พระชนนีของพระผู้มีพระภาคเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่ไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้
พระนางกษัตริย์พี่น้องแม้ทั้งสองนี้รวมกัน ก็จะพึงทำพระศาสนานี้ให้
งดงาม ก็เพราะการนับถือในพระมารดามาก พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทรง
อนุญาตการบรรพชาและอุปสมบทในพระศาสนาแก่มาตุคามโดยง่ายทีเดียว
แต่เพราะพระนางมีพระชนมายุน้อย การนั้นจึงสำเร็จได้ยาก ด้วยอธิบาย
ดังว่ามานี้ พระเถระจึงกราบทูลคำมีอาทิว่า อจฺฉริยํ ภนฺเต ในสำนัก
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อนั้นไม่ใช่เหตุ. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะทรงอนุญาตการบรรพชาในศาสนาของพระองค์แก่พระมารดา หรือ

มาตุคามอื่น จึงทรงอนุญาตให้รัดกุมทีเดียว ไม่ใช่ทรงอนุญาตอย่าง
หละหลวม เพราะทรงมีพระประสงค์ให้พระศาสนาดำรงอยู่ได้นาน.
ฝ่ายอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า พระเถระมนสิการถึงพระพุทธคุณ
หาที่สุด หาประมาณมิได้ ไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น มีทศพลญาณและจตุเวสา-
รัชญาณเป็นต้น จึงเกิดอัศจรรย์จิตขึ้นว่า พระพุทธมารดาบริหารพระ-
ศาสดาผู้เป็นอัครบุคคลในโลก ผู้มีอานุภาพมากถึงเพียงนี้ ในพระครรภ์
ถึง 10 เดือน จักเป็นบริจาริกาของใคร ๆ เพราะฉะนั้น ข้อนี้จึงไม่
สมควร เพราะฉะนั้น ข้อที่เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประสูติได้ 7 วัน
พระพุทธมารดาสวรรคต และครั้นสวรรคตแล้ว ทรงอุบัติในชั้นดุสิต นี้
เป็นการสมควรแก่พระคุณของพระศาสดาอย่างแท้จริง เมื่อจะกราบทูล
ความวิตกที่เกิดขึ้นแก่ตนนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้กล่าวคำ
มีอาทิว่า อจฺฉริยํ ภนฺเต ดังนี้.
ก็พระศาสดา เมื่อจะทรงแสดงข้อที่เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติได้
7 วัน พระมารดาของพระโพธิสัตว์ก็สวรรคต จัดเป็นการสำเร็จโดย
ธรรมดา จึงตรัสคำมีอาทิว่า เอวเมตํ อานนฺทํ. ก็ธรรมดานี้นั้น พึงทราบ
ด้วยสามารถที่พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ เคยประพฤติเป็นอาจิณวัตรเสมอ
มา เพราะพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ ทรงบำเพ็ญพระบารมีแล้ว บังเกิด
ในชั้นดุสิต ทรงดำรงอยู่ในดุสิตนั้นตลอดอายุ เมื่อสิ้นอายุ อันเทวดาใน
หมื่นจักรวาลประชุมกันทูลอาราธนา เพื่อให้ทรงถือปฏิสนธิในมนุษยโลก
เพื่ออภิสัมโพธิญาณ จึงตรวจดูปริมาณอายุของพระพุทธมารดา เหมือน
ตรวจดูกาล ทวีป ประเทศและตระกูลแล้วจึงถือปฏิสนธิ ฉันใด พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าแม้นี้ ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ ดำรงอยู่ในชั้นดุสิต ก็ฉันนั้น

เหมือนกัน ทรงตรวจดูมหาวิโลกนะ 5 ประการ ทรงกำหนดปริมาณ
อายุของพระพุทธมารดา 10 เดือนกับ 7 วัน พอทรงทราบว่า นี้เป็น
เวลาที่เราจะถือปฏิสนธิ บัดนี้ เราควรอุบัติ ดังนี้แล้ว จึงทรงถือปฏิสนธิ.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า อปฺปายุกา หิ อานนฺท
โพธิสตฺตมาตโร โหนฺติ
ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาลํ กโรนฺติ ความว่า กระทำกาละ
โดยสิ้นไปแห่งอายุตามที่กล่าวแล้วนั่นแล ไม่ใช่เพราะมีการประสูติเป็น
ปัจจัย. จริงอยู่ สถานที่ที่พระโพธิสัตว์อยู่ ในอัตภาพสุดท้ายเป็นเช่น
กับเรือนพระเจดีย์ ไม่ใช่เป็นสถานที่ที่คนเหล่าอื่นจะใช้สอย และใคร ๆ
ไม่อาจที่จะถอดพระมารดาของพระโพธิสัตว์ออกแล้ว ตั้งหญิงอื่นไว้ใน
ตำแหน่งอัครมเหสี. เพียงเท่านั้นแล จัดเป็นประมาณอายุ ของพระ-
โพธิสัตว์ เพราะฉะนั้น จึงได้ทำกาละเสียในเวลานั้น. ก็พระมหาโพธิสัตว์
ทั้งหลาย หมายถึงเนื้อความนี้นั่นแล จึงกระทำมหาวิโลกนะ 5 ประการ.
ถามว่า ก็พระมารดาของพระโพธิสัตว์ ทำกาละในวันไหน ? ตอบว่า ใน
มัชฌิมวัย. จริงอยู่ ในปฐมวัย สัตว์ทั้งหลายมีฉันทราคะกล้าในอัตภาพ
เพราะฉะนั้น หญิงทั้งหลายผู้ตั้งครรภ์ในคราวนั้น โดยมากไม่สามารถ
จะตามรักษาครรภ์ได้. หากพึงถือปฏิสนธิได้ไซร้ สัตว์ที่เกิดในครรภ์ก็จะ
ลำบากมาก. ก็ครั้นล่วง 2 ส่วนของมัชฌิมวัยไปแล้ว ในส่วนที่ 3 ครรภ์
ก็บริสุทธิ์ เด็กที่เกิดในครรภ์ที่บริสุทธิ์ ก็จะไม่มีโรค เพราะฉะนั้น มารคา
ของพระโพธิสัตว์ จึงได้รับความสมบูรณ์ในปฐมวัย ประสูติในส่วนที่ 3
ของมัชฌิมวัย แล้วสวรรคตแล.

บทว่า เอตมตฺถํ วิหิตฺวา ความว่า ทรงทราบว่า อายุในอัตภาพ
ของมารดาพระโพธิสัตว์ และสรรพสัตว์เหล่าอื่น มีความตายเป็นที่สุด จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงถึงความอุตสาหะ ในการปฏิบัติที่หาโทษมิได้
โดยมุขอันแสดงถึงเนื้อความนั้นอย่างแจ่มแจ้ง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เยเกจิ เป็นบทแสดงอรรถที่ไม่แน่นอน.
บทว่า ภูตา แปลว่า บังเกิดแล้ว. บทว่า ภวิสฺสนฺติ แปลว่า จักบังเกิด
ในอนาคต. วา ศัพท์ เป็นวิกัปปัตถะ. อปิ ศัพท์ เป็นสัมปิณฑนัตถะ.
ด้วย อปิ ศัพท์นั้น ท่านสงเคราะห์เอาสัตว์ผู้กำลังบังเกิด. ด้วยลำดับ
คำเพียงเท่านี้ ท่านกำหนดถือเอาเหล่าสัตว์ ผู้นับเนื่องในปฏิสนธิด้วย
อำนาจกาลมีอดีตกาลเป็นต้น โดยไม่มีส่วนเหลือ. อีกอย่างหนึ่ง คัพภ-
เสยยกสัตว์ สัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ตั้งแต่เวลาออกจากครรภ์ ชื่อว่า ภูตา
( สัตว์ผู้เกิดแล้ว). ก่อนแต่เกิดนั้น ชื่อว่าจักเกิด. พวกสังเสทชสัตว์
และอุปปาติกสัตว์ หลังแต่ปฏิสนธิจิตไป ชื่อว่าเกิดแล้ว. ก่อนแต่นั้น
ชื่อว่าจักเกิด เนื่องด้วยภพที่จะพึงบังเกิด. หรือว่า สัตว์แม้ทั้งหมด
ชื่อว่าเกิดแล้ว เนื่องด้วยปัจจุบันภพ. ชื่อว่าจักเกิด เนื่องด้วยภพใหม่
ในอนาคต. ผู้สิ้นอาสวะ ชื่อว่าเกิดแล้ว. จริงอยู่ ท่านผู้สิ้นอาสวะ
เหล่านั้น เกิดแล้วเท่านั้น ก็จักไม่เกิดต่อไปอีกแล. สัตว์เหล่าอื่นจากผู้สิ้น
อาสวะเหล่านั้น ชื่อว่าจักบังเกิด. บทว่า สพฺเพ คมิสฺสนฺติ ปหาย
เทหํ ความว่า สัตว์ทั้งปวงต่างกันตามที่กล่าวแล้ว และต่างกันเป็นหลาย
ประเภทโดยภพ กำเนิด คติ วิญญาณฐิติ และสัตตาวาส เป็นต้นทั้งหมด
จักละ คือทอดทิ้งร่างกาย คือสรีระของตนไปสู่ปรโลก ส่วนพระอเสขบุคคล
จักไปพระนิพพาน. ในข้อนี้ ท่านแสดงไว้ว่า ใคร ๆ ชื่อว่าไม่มีการจุติ

เป็นธรรม หามีไม่. บทว่า ตํ สพฺพชานึ กุสโล วิทิตฺวา ความว่า
ท่านผู้ฉลาด คือบัณฑิต ทราบความเสื่อม คือความหายไป ได้แก่ความ
ตาย ของสรรพสัตว์นี้นั้น หรือว่า ทราบถึงความเสื่อม คือความพินาศ
ได้แก่ความผุพัง ของสรรพสัตว์ทั้งหมดนั้น ด้วยอำนาจมรณานุสติ
หรือด้วยอำนาจมนสิการถึงพระไตรลักษณะมี อนิจจตา เป็นต้น. บทว่า
อาตาปิโย พฺรหฺมจริยํ จเรยฺย ความว่า เมื่อบำเพ็ญวิปัสสนา ชื่อว่า
มีความเพียร เพราะประกอบด้วยความเพียร คือความเพียรเครื่องเผากิเลส
ชื่อว่าปรารภความเพียร ด้วยอำนาจสัมมัปปธาน 4 พึงประพฤติ คือ
ปฏิบัติมรรคพรหมจรรย์ อันเป็นอุบายเครื่องก้าวล่วงมรณะโดยสิ้นเชิง.

จบอรรถกถาอัปปายุกาสูตรที่ 2



3. สุปปพุทธกุฏฐิสูตร



ว่าด้วยการตรัสอริยสัจแก่สุปปพุทธกุฏฐิ



[ 112 ] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลัน-
ทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ในพระนครราชคฤห์
มีบุรุษเป็นโรคเรื้อนชื่อว่าสุปปพุทธะ เป็นมนุษย์ขัดสน กำพร้า ยากไร้
ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมไปด้วยบริษัทหมู่ใหญ่ ประทับ
นั่งแสดงธรรมอยู่ สุปปพุทธกุฏฐิได้เห็นหมู่มหาชนประชุมกันแต่ที่ไกล
เทียว ครั้นแล้วได้มีความดำริว่า หมู่มหาชนจะแบ่งของควรเคี้ยว หรือของ
ควรบริโภคอะไร ๆ ให้ในที่นี้แน่แท้ ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปหาหมู่มหา-
ชน เราพึงได้ของควรเคี้ยวหรือของควรบริโภค ในหมู่มหาชนนี้เป็นแน่