เมนู

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ใคร ๆ ตรวจตราด้วยจิตทั่วทุกทิศแล้ว หาได้พบ
ผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าตนในที่ไหน ๆ ไม่เลย สัตว์เหล่าอื่น
ก็รักตนมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ผู้รักตนจึงไม่
ควรเบียดเบียนผู้อื่น.

จบราชสูตรที่ 1

มหาวรรควรรณนาที่ 5

*

อรรถกถาราชสูตร



ราชสูตรที่ 1 แห่งมหาวรรค

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า มลฺลิกาย เทวิยา สทฺธึ ความว่า กับพระมเหสีของพระองค์
ทรงพระนามว่า มัลลิกา. บทว่า อุปริปาสาทวรคโต ได้แก่ อยู่ชั้นบน
ปราสาทอันประเสริฐ. บทว่า โกจญฺโญ อตฺตนา ปิยตโร ความว่า
ใคร ๆ อื่นที่เธอจะพึงรักยิ่งกว่าตนมีอยู่หรือ ?
เพราะเหตุไร พระราชาจึงตรัสถาม. เพราะพระนางมัลลิกานี้ เป็น
ธิดาของนายมาลาการผู้เข็ญใจในกรุงสาวัตถี วันหนึ่ง ซื้อขนมจากตลาด
ไปสวนดอกไม้ คิดว่าจักกิน จึงเดินไปพบพระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์ กำลังเข้าไปภิกษาจารสวนทางมา มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายขนม
นั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระศาสดาทรงแสดงอาการประทับนั่งในที่
*บาลีเป็นโสณเถรวรรค.

เห็นปานนั้น พระอานนทเถระได้ปูจีวรถวาย. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับนั่งในที่นั้น ทรงเสวยขนมนั้นแล้วบ้วนพระโอษฐ์ ทรงทำการ
แย้มให้ปรากฏ. พระเถระทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิบากแห่ง
ทานของหญิงนี้ จักเป็นเช่นไร. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า อานนท์
วันนี้นางได้ถวายโภชนะแก่ตถาคตเป็นครั้งแรก ในวันนี้แหละนางจักเป็น
อัครมเหสี เป็นที่รัก เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าโกศล. ก็ในวันนั้น
นั่นเอง พระราชารบกับหลานในกาสิคาม พ่ายแพ้หนีมาเข้าเมือง หวัง
จะรอให้หมู่พลมา จึงเสด็จเข้าไปยังสวนดอกไม้นั้น. นางมัลลิกานั้น เห็น
พระราชาเสด็จมา จึงปรนนิบัติท้าวเธอ. พระราชาทรงโปรดปรานในการ
ปรนนิบัติของนางแล้วรับสั่งให้เรียกบิดามา ทรงประทานอิสริยยศเป็นอัน
มาก แล้วให้นำนางเข้ามายังภายในพระราชวัง ทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่ง
อัครมเหสี. ภายหลังวันหนึ่ง พระราชาทรงดำริว่า เราให้อิสริยยศเป็น
อันมากแก่นาง ถ้ากระไร เราพึงถามนางว่า ใครเป็นที่รักของเธอ นาง
ทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์เป็นที่รักของหม่อมฉัน แล้วจักย้อน
ถามเรา เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจักตอบแก่นางว่า เธอเท่านั้นเป็นที่รักของเรา.
ดังนั้น พระราชาเมื่อจะทรงทำสัมโมทนียะเพื่อให้เกิดความสนิทสนมกัน
และกัน จึงตรัสถาม. ก็พระเทวี เป็นบัณฑิต เป็นอุปัฏฐายิกาของพระ-
พุทธเจ้า เป็นอุปัฏฐายิกาของสงฆ์ ทรงดำริว่า ปัญหานี้ไม่ควรเห็นแก่
หน้ากราบทูลพระราชา เมื่อจะทูลตามความเป็นจริงนั้นแหละ จึงทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า หม่อมฉันไม่มีใครอื่นที่จะเป็นที่รักยิ่งไปกว่าตน. พระ-
เทวีแม้ตรัสแล้วประสงค์จะกระทำอรรถที่ตนยืนยันให้ประจักษ์แก่พระราชา
ด้วยอุบาย จึงทูลถามพระราชาเหมือนที่พระราชาตรัสถามเองว่า พระ-

พุทธเจ้าข้า ก็พระองค์มีใครอื่นเป็นที่รักยิ่งกว่าตน. ฝ่ายพระราชาไม่
อาจกลับ (ความ) ได้ เพราะพระเทวีตรัสโดยลักษณะพร้อมทั้งกิจ แม้
พระองค์เองก็ตรัสโดยลักษณะพร้อมทั้งกิจ จึงตรัสยืนยันเหมือนดังพระ-
เทวีตรัสยืนยัน.
ก็ครั้นตรัสยืนยันแล้ว เพราะความที่พระองค์มีปัญญาอ่อน จึงทรง
ดำริอย่างนี้ว่า เราเป็นพระราชาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ครอบครองปก-
ครองปฐพีมณฑลใหญ่ การจะยืนยันว่า เราไม่เห็นคนอื่นซึ่งเป็นที่รักยิ่ง
กว่าตน ดังนี้ ไม่สมควรแก่เราเลย แต่นางนี้ เป็นหญิงถ่อย ชาติชั่ว
เราตั้งไว้ในตำแหน่งสูง ที่ยังไม่รักเราผู้เป็นสามีอย่างแท้จริง ยังกล่าวต่อ
หน้าเราว่า ตนเท่านั้นเป็นที่รักแก่ตน ดังนี้ แล้วจึงไม่พอพระทัยประท้วงว่า
เธอรักพระรัตนตรัยมากกว่าหรือ. พระเทวีกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
หม่อมฉันปรารถนาสุขในสวรรค์ และสุขในมรรคเพื่อตน แม้พระรัตนตรัย
หม่อมฉันก็รัก เพราะฉะนั้น ตนนั่นแล จึงเป็นที่รักยิ่งของหม่อมฉัน. ก็
สัตวโลกทั้งหมดนี้ รักคนอื่นก็เพื่อประโยชน์ตนเองเท่านั้น แม้เมื่อ
ปรารถนาบุตร ก็ปรารถนาว่า บุตรนี้จักเลี้ยงดูเราในยามแก่ เมื่อปรารถนา
ธิดา ก็ปรารถนาว่า ตระกูลของเราจักเจริญขึ้น เมื่อปรารถนาภริยา ก็
ปรารถนาว่า จักบำเรอเท้าเรา เมื่อปรารถนาแม้คนอื่นจะเป็นญาติมิตร
หรือพวกพ้อง ก็ปรารถนาเนื่องด้วยกิจนั้น ๆ ดังนั้น ชาวโลก เป็นผู้
เห็นแต่ประโยชน์ตนเท่านั้น จึงรักคนอื่น รวมความว่า พระเทวี มีความ
ประสงค์อย่างนี้แล.
ลำดับนั้น พระราชาทรงพระดำริว่า นางมัลลิกานี้ เป็นผู้ฉลาด
เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม กล่าวว่า ตนนั้นแล เป็นที่รักยิ่งแก่เรา แม้ตน

ของเรานั้นแหละ ก็ปรากฏว่าเป็นที่รัก เอาเถอะ เราจักกราบทูลเรื่องนี้
แด่พระศาสดา และเราจะจำเธอไว้ตามที่พระศาสดาทรงพยากรณ์แก่เรา
ไว้. ก็ครั้นทรงดำริอย่างนี้แล้ว จึงเสด็จไปเฝ้าพระศาสดากราบทูลความ
นั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถโข ราชา ปเสนทิโกสโล ฯ เป ฯ
ปิยตโร
ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า พระศาสดาทรงทราบโดย
ประการทั้งปวงซึ่งเนื้อความนี้ คือที่พระราชาตรัสว่า สรรพสัตว์ในโลก
ซึ่งมีตนเป็นที่รักยิ่งของตน จึงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงถึงเนื้อความนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพา ทิสา อนุปริคมฺม เจตสา
ความว่า ส่งจิตไปด้วยอำนาจการแสวงหาทั่วหมดทั้ง 10 ทิศ. บทว่า
เนวชฺฌคา ปิยตรมตฺตนา กฺวจิ ความว่า คนบางคน มีความอุตสาหะ
อย่างแรง แสวงหาบุคคลอื่น ผู้เป็นที่รักยิ่งแก่ตน ไม่พึงพบ คือไม่พึง
ประสบในที่ใดที่หนึ่ง คือในทุกทิศ. บทว่า เอวํ ปิโย ปุถุ อตฺตา ปเรสํ
ความว่า สัตว์เหล่านั้น ๆ ก็มีตนเป็นที่รักมาก คือเป็นพวก ๆ เหมือน
อย่างนั้น คือจะหาใคร ๆ ผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าตนไม่ได้. บทว่า ตสฺมา น
หึเส ปรมตฺตกาโม
ความว่า เพราะเหตุที่สัตว์ทั้งหมดรักตัวเอง คือ
รักสุข เกลียดทุกข์อย่างนี้ ฉะนั้น ผู้รักตนเมื่อปรารถนาหิตสุขเพื่อตน
จึงไม่เบียดเบียน ไม่ฆ่าสัตว์อื่น โดยที่สุดมดดำมดแดง ทั้งไม่เบียดเบียน
ด้วยปหรณวัตถุ มีฝ่ามือ ก้อนดิน และท้อนไม้เป็นต้น. จริงอยู่ เมื่อ
ตนทำทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ทุกข์นั้นเป็นเหมือนก้าวออกมาจากกรรมที่ตนทำไว้

แล้วนั้น จักปรากฏในตนเวลาใกล้ตาย. ก็ข้อนี้ เป็นธรรมดาของกรรม
นั่นแล.
จบอรรถกถาราชสูตรที่ 1

2. อัปปายุกาสูตร



ว่าด้วยอายุมารดาของพระโพธิสัตว์



[ 111 ] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เวลาเย็น
ท่านพระอานนท์ออกจากที่หลีกเร้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง
ที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบ
ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ไม่เคยมีมาแล้ว พระมารดาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
มีพระชนมายุน้อยเหลือเกิน เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประสูติได้ 7 วัน
พระมารดาของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จสวรรคต เข้าถึงเทพนิกายชั้น
ดุสิต พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
ดูก่อนอานนท์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ดูก่อนอานนท์ มารดาของพระโพธิสัตว์
ทั้งหลายมีอายุน้อยเหลือเกิน เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติได้ 7 วัน มารดา
ของพระโพธิสัตว์ย่อมทำกาละ เข้าถึงเทพนิกายชั้นดุสิต.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า