เมนู

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ภิกษุผู้จิตสงบระงับ มีตัณหาอันจะนำไปในภพ
ตัดขาดแล้ว ชาติสงสารสิ้นแล้ว พ้นแล้วจากเครื่อง
ผูกแห่งมาร.


จบสารีปุตตสูตรที่ 10
จบเมฆิยวรรคที่ 4


อรรถกถาสารีปุตตสูตร



สารีปุตตสูตรที่ 10 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อตฺตโน อุปสมํ ความว่า ความสงบกิเลสของตนได้เด็ด-
ขาด ด้วยอรหัตมรรค อันเป็นเหตุแห่งการบรรลุที่สุดสาวกบารมีญาณ.
ก็ท่านพระสารีบุตร เห็นประจักษ์ความเดือดร้อน ความกระวน
กระวาย ความเร่าร้อน และความทุกข์ อันเกิดแต่กิเลสมีราคะเป็นต้น
และทุกข์มีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ และปริเทวะเป็นต้น มีอภิสังขาร
คือกิเลสเป็นเหตุ ของเหล่าสัตว์ผู้ยังไม่สงบกิเลสแล้ว พิจารณาทุกข์มีวัฏฏะ
เป็นมูลของสัตว์เหล่านั้น ทั้งในอดีตและอนาคต แผ่กรุณาหวนระลึกถึง
ทุกข์มีประมาณไม่น้อย แม้ที่ตนเคยเสวยในคราวเป็นปุถุชน หรือที่มี
กิเลสเป็นเหตุ จึงพิจารณาเนือง ๆ ถึงความสงบกิเลสของตนว่า กิเลสอัน
เป็นเหตุแห่งทุกข์มากมายชื่อเช่นนี้ บัดนี้ เราละได้เด็ดขาดแล้ว. อนึ่ง
เมื่อจะพิจารณา ย่อมพิจารณาถึงความสงบกิเลสโดยถ่องแท้ ด้วยมรรค-

ญาณนั้น ๆ ว่า กิเลสมีประมาณเท่านี้ สงบแล้วด้วยโสดาปัตติมรรค
ประมาณเท่านี้ สงบแล้วด้วยสกทาคามิมรรค ประมาณเท่านี้ สงบแล้ว
ด้วยอนาคามิมรรค ประมาณเท่านี้ สงบแล้วด้วยอรหัตมรรค. ด้วยเหตุ
นั้น ท่านจึงกล่าวว่า อตฺตโน อุปสมํ ปจฺจเวกฺขมาโน ดังนี้เป็นต้น.
อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า พระเถระเข้าอรหัตผลสมาบัติ พิจารณา
สมาบัตินั้นแล้ว พิจารณาความสงบเนือง ๆ อย่างนี้ว่า ภาวะที่อุปสมะนี้
มีความสงบและประณีต เพราะเป็นอารมณ์แห่งอสังขตธาตุ อันมีความ
สงบโดยสิ้นเชิง และเพราะสงบกิเลสโดยชอบด้วยตนเอง. ส่วนอาจารย์
พวกอื่นกล่าวว่า ก็ในที่นี้ อรหัตผลอันเกิดในที่สุดแห่งความสงบกิเลสได้
เด็ดขาด ชื่อว่าอุปสมะ ท่านนั่งพิจารณาอุปสมะนั้นอยู่.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบโดยอาการทั้งปวง
ถึงอรรถคือการพิจารณา การละกิเลสอันเป็นเหตุให้ท่านพระสารีบุตรมี
ปัญญามากเป็นต้น ไม่ทั่วไปแก่สาวกอื่น ในบรรดาสาวกทั้งหลาย หรือ
พระอรหัตผล ซึ่งกล่าวโดยปริยายแห่งอุปสมะ จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อัน
แสดงอานุภาพของอุปสมะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปสนฺตสนฺตจิตฺตสฺส ความว่า ชื่อว่า
ผู้มีจิตสงบระงับ เพราะท่านเป็นผู้มีจิตสงบระงับนั่นเอง. จริงอยู่ จิต
ชื่อว่า เข้าไปสงบ เพราะกิเลสเข้าไปสงบ โดยข่มไว้ได้ด้วยสมาบัติ ท่าน
จึงไม่กล่าวว่า อุปสนฺตสนฺตํ ความสงบระงับ โดยประการทั้งปวง เพราะ
อุปสมะนั้นยังไม่สงบสิ้นเชิง เพราะไม่เหมือนสงบด้วยอรหัตมรรค. ส่วน
จิตของท่านผู้ชื่อว่าพระอรหันต์ เพราะท่านตัดกิเลสได้เด็ดขาดทีเดียว เป็น
กิเลสที่สงบด้วยมรรคเบื้องต่ำอันสัมปยุตด้วยสมถะและวิปัสสนา โดยเป็น

ภาวะไม่จำต้องสงบกิเลสอีก ท่านจึงเรียกว่าสงบระงับ เพราะสงบได้อย่าง
สิ้นเชิง.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ชื่อว่าผู้มีจิตสงบระงับ เพราะท่านมี
จิตสงบระงับนั่นเอง. อีกอย่างหนึ่ง อุปสมะ ท่านเรียกว่า อุปสันตะ.
เพราะฉะนั้น บทว่า อุปสนฺตสนฺตจิตฺตสฺส จึงหมายความว่า ผู้มีจิตสงบ
โดยเข้าไปสงบอย่างสิ้นเชิง. อีกอย่างหนึ่ง พระศาสดา เมื่อจะทรงแสดง
ว่า เมื่อพระขีณาสพทั้งหมด สงบกิเลสได้เด็ดขาด แต่ความสงบกิเลส
ของพระธรรมเสนาบดียังมีพิเศษ อันเป็นเหตุถึงที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ
ไม่ทั่วไปแก่สาวกอื่น ในบรรดาสาวกทั้งหลาย จึงตรัสให้พิเศษด้วย อุป-
สนฺต ศัพท์ว่า อุปสนฺตสนฺตจิตฺตสฺส ผู้มีจิตสงบระงับ.
ในข้อนั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้ :- จิตสงบอย่างยิ่งคือมั่นคง ชื่อว่า
อุปสนฺต จิตที่สงบระงับ ด้วยอุปสันตจิตนั้นแหละ ชื่อว่าอุปสันตสันตจิต.
จิตของท่านเป็นเช่นนั้น คำทั้งหมด เหมือนกับคำที่มีในก่อนนั้นแล.
จริงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสสรรเสริญชมเชยท่านพระสารีบุตร
นั้น โดยอเนกปริยาย โดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรมี
ปัญญามาก มีปัญญาแน่นหนา มีปัญญาร่าเริงใจ มีปัญญาเร็ว มีปัญญา
เฉียบแหลม มีปัญญาเป็นเหตุตรัสรู้. บทว่า เนตฺติจฺฉินฺนสฺส ความว่า
ภวตัณหา ท่านเรียกว่า เนตติ เพราะนำสังสารวัฏไป. ชื่อว่า ผู้มีเนตติจ-
ฉินนะ เพราะท่านตัดเนตติได้ขาดแล้ว. ของท่านผู้มีเนตติขาดแล้วนั้น
อธิบายว่า ผู้ละตัณหาได้แล้ว. บทว่า มุตฺโต โส มารพนฺธนา ความว่า
ผู้นั้น คือผู้เป็นอย่างนั้น ได้แก่ผู้มีกิเลสเครื่องพยุงสัตว์ไว้ในภพหมดสิ้น
แล้ว หลุดพ้นแล้ว จากเครื่องผูกแห่งมารทั้งปวง ท่านไม่มีกิจที่จะต้อง

ทำ เพราะท่านพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร เพราะฉะนั้น พระธรรมเสนา-
บดี จึงพิจารณาความสงบของตน. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาสารีปุตตสูตรที่ 10
จบเมฆิยวรรควรรณนาที่ 4


รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
1. เมฆิยสูตร 2. อุทธตสูตร 3. โคปาลสูตร 4. ชุณหสูตร
5. นาคสูตร 6. ปิณโฑลภารทวาชสูตร 7. สารีปุตตสูตร 8. สุนทรี-
สูตร 9. อุปเสนวังคันตปุตตสูตร 10. สารีปุตตสูตร และอรรถกถา.

โสณเถรวรรคที่ 5



1. ราชสูตร



ว่าด้วยไม่มีผู้เป็นที่รักกว่าตน



[110] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระ-
เจ้าปเสนทิโกศลประทับอยู่บนปราสาทอันประเสริฐชั้นบน พร้อมด้วย
พระนางมัลลิกาเทวี ลำดับนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสถามพระนาง
มัลลิกาเทวีว่า ดูก่อนนางมัลลิกา มีใครอื่นบ้างไหมที่น้องรักยิ่งกว่าตน
พระนางมัลลิกากราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า หามีใครอื่นที่หม่อมฉันจะรัก
ยิ่งกว่าตนไม่ ก็ทูลกระหม่อมเล่ามีใครอื่นที่รักยิ่งกว่าพระองค์ เพค๊ะ.
ป. ดูก่อนน้องมัลลิกา แม้ฉันก็ไม่รักใครอื่นยิ่งกว่าตน.
ลำดับนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จลงจากปราสาทแล้ว เสด็จ
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ทรงถวายบังคมแล้วประทับนั่ง
อยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันอยู่บนปราสาทกับพระนางมัลลิกาเทวี ได้
ถามพระนางมัลลิกาเทวีว่า มีใครอื่นที่น้องรักยิ่งกว่าตน เมื่อหม่อมฉัน
ถามอย่างนี้ พระนางมัลลิกาเทวีกล่าวว่า พระพุทธเจ้าข้า หามีใครอื่นที่
หม่อมฉันจะรักยิ่งกว่าตนไม่ ก็ทูลกระหม่อมเล่ามีใครอื่นที่รักยิ่งกว่าพระ-
องค์ หม่อมฉันเมื่อถูกถามเข้าอย่างนี้ จึงได้ตอบพระนางมัลลิกาว่า แม้
ฉันก็ไม่มีใครอื่นที่จะรักยิ่งกว่าตน.