เมนู

แห่งโลกุตรสิกขาเหล่านั้น. ด้วยบทว่า โสกา น ภวนฺติ เป็นต้น พึง
ทราบว่า ท่านประกาศอานิสงส์แห่งการบำเพ็ญสิกขา. คำที่เหลือมีนัย
ดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาสารีปุตตสูตรที่ 7

8. สุนทรีสูตร



ว่าด้วยพระพุทธเจ้าถูกข้อหาว่าฆ่านางสุนทรี



[102] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ที่มหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ทรง
ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แม้ภิกษุสงฆ์
ก็เป็นผู้ที่มหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต
เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ส่วนพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก
เป็นพวกที่มหาชนไม่สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ไม่ได้จีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร.
[103] ครั้งนั้นแล พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก อดกลั้นสักการะ
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า และสักการะของภิกษุสงฆ์ไม่ได้ เข้าไปหานาง
สุนทรีปริพาชิกาถึงที่อยู่ ครั้นแล้ ว ได้กล่าวกะนางสุนทรีปริพาชิกาว่า
ดูก่อนน้องหญิง เธอสามารถเพื่อจะทำประโยชน์แก่ญาติทั้งหลายได้หรือ

นางสุนทรีปริพาชิกาว่า ดิฉันจะทำอะไรเล่า พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันสามารถ
เพื่อจะทำอะไร แม้ชีวิตดิฉันก็สละเพื่อประโยชน์แก่ญาติทั้งหลายได้.
อัญ. ดูก่อนน้องหญิง ถ้าเช่นนั้น เธอจงไปสู่พระวิหารเชตวัน
เนือง ๆ เถิด.
นางสุนทรีปริพาชิกา รับคำของพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น
แล้วได้ไปยังพระวิหารเชตวันเนือง ๆ เมื่อใด พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก
เหล่านั้นได้ทราบว่า นางสุนทรีปริพาชิกาคนเห็นกันมากว่า ไปยังพระ-
วิหารเชตวันเนือง ๆ เมื่อนั้น ได้จ้างพวกนักเลงให้ปลงชีวิตนางสุนทรี-
ปริพาชิกานั้นเสีย แล้วหมกไว้ในคูรอบพระวิหารเชตวันนั้นเอง แล้วพา
กันเข้าไปเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า
ขอถวายพระพร นางสุนทรีปริพาชิกาอาตมภาพทั้งหลายมิได้เห็น พระเจ้า
ปเสนทิโกศลตรัสถามว่า พระคุณเจ้าทั้งหลายสงสัยในที่ไหนเล่า.
อัญ. ในพระวิหารเชตวัน ขอถวายพระพร.
ป. ถ้าอย่างนั้น พระคุณเจ้าทั้งหลายจงค้นพระวิหารเชตวัน.
ครั้งนั้น พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น ค้นทั่วพระวิหาร
เชตวันแล้ว ขุดศพนางสุนทรีปริพาชิกาตามที่ตนสั่งให้หมกไว้ขึ้นจากคู
ยกขึ้นสู่เตียงแล้วให้นำไปสู่พระนครสาวัตถี เดินทางจากถนนนี้ไปถนน
โน้น จากตรอกนี้ไปตรอกโน้น แล้วให้พวกมนุษย์โพนทะนาว่า เชิญดู
กรรมของเหล่าสมณศากยบุตรเถิดนาย สมณศากยบุตรเหล่านี้ไม่มีความ
ละอาย ทุศีล มีธรรมเลวทราม พูดเท็จ ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ก็สมณ-
ศากยบุตรเหล่านี้ถึงจักปฏิญาณว่า เป็นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสม่ำเสมอ
ประพฤติพรหมจรรย์ พูดจริง มีศีล มีธรรมอันงาม ความเป็นสมณะของ

สมณศากยบุตรเหล่านี้หามีไม่ ความเป็นพรหมของสมณศากยบุตรเหล่านี้
หามีไม่ ความเป็นสมณะของสมณศากยบุตรเหล่านี้ฉิบหายเสียแล้ว ความ
เป็นพรหมของสมณศากยบุตรเหล่านี้ฉิบหายเสียแล้ว ความเป็นสมณะของ
สมณศากยบุตรเหล่านี้จักมีแต่ไหน ความเป็นพรหมของสมณศากยบุตร
เหล่านี้จักมีแต่ไหน สมณศากยบุตรเหล่านี้ปราศจากความเป็นสมณะ สมณ-
ศากยบุตรเหล่านี้ปราศจากความเป็นพรหม ก็ไฉนเล่า บุรุษกระทำกิจของ
บุรุษแล้วจักปลงชีวิตหญิงเสีย.
[104] ก็สมัยนั้นแล มนุษย์ทั้งหลายในพระนครสาวัตถี เห็นภิกษุ
ทั้งหลายแล้ว ย่อมด่า ย่อมบริภาษ ขึ้งเคียด เบียดเบียน ด้วยวาจาอันหยาบ
คาย มิใช่ของสัตบุรุษว่า สมณศากยบุตรเหล่านี้ไม่มีความละอาย . . . ก็
ไฉนเล่า บุรุษกระทำกิจของบุรุษแล้วจะปลงชีวิตหญิงเสีย.
[105] ครั้งนั้นแล เวลาเช้า ภิกษุมากด้วยกันครองผ้าอันตรวาสก
ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ครั้นกลับจาก
บิณฑบาตภายหลังภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ มนุษย์ทั้งหลายใน
พระนครสาวัตถี เห็นภิกษุทั้งหลายแล้วย่อมด่า . . . ก็ไฉนเล่า บุรุษกระทำ
กิจของบุรุษแล้วจักปลงชีวิตหญิงเสีย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เสียงนั้นจักมีอยู่ไม่นาน จักมีอยู่ 7 วันเท่านั้น ล่วง 7 วัน
ไปแล้วก็จักหายไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจง
โต้ตอบมนุษย์ทั้งหลายผู้ที่เห็นภิกษุทั้งหลายแล้ว ด่า บริภาษ ขึ้งเคียด
เบียดเบียน ด้วยวาจาอันหยาบคาย มิใช่ของสัตบุรุษ ด้วยคาถานี้ว่า

คนที่พูดไม่จริง หรือคนที่กระทำบาปกรรม แล้ว
พูดว่า มิได้ทำ ย่อมเข้าถึงนรก คนแม้ทั้งสองพวกนั้น
มีกรรมเลวทราม ละไปแล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกันใน
โลกหน้า.

[106] ลำดับนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นเรียนคาถานี้ในสำนักของพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ย่อมโต้ตอบมนุษย์ผู้ที่เห็นภิกษุทั้งหลายแล้วด่า บริภาษ
ขึ้งเคียด เบียดเบียนด้วยวาจาอันหยาบคาย มิใช่ของสัตบุรุษ ด้วยคาถา
นี้ว่า
คนที่พูดไม่จริง หรือคนที่กระทำบาปกรรม แล้ว
พูดว่า มิได้ทำ ย่อมเข้าถึงนรก คนแม้ทั้งสองพวกนั้น
มีกรรมเลวทราม ละไปแล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกันใน
โลกหน้า.

[107] มนุษย์ทั้งหลายพากันดำริว่า สมณศากยบุตรเหล่านี้ไม่ได้
ทำความผิด สมณศากยบุตรเหล่านี้ไม่ได้ทำบาป เสียงนั้นมีอยู่ไม่นานนัก
ได้มีอยู่ 7 วันเท่านั้น ล่วง 7 วันแล้วก็หายไป ครั้งนั้นแล ภิกษุเป็นอัน
มากพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
น่าอัศจรรย์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่เคยมีมาแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสพระดำรัสนี้ไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เสียงนั่นจักมีอยู่ไม่นาน
ล่วง 7 วันแล้วก็จักหายไป เสียงนั้นหายไปแล้วเพียงนั้น พระเจ้าข้า.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

ชนทั้งหลายผู้ไม่สำรวมแล้ว ย่อมทิ่มแทงชน
เหล่าอื่นด้วยวาจา เหมือนเหล่าทหารที่เป็นข้าศึกทิ่ม-
แทงกุญชรตัวเข้าสงครามด้วยลูกศรฉะนั้น ภิกษุผู้มี
จิตไม่ประทุษร้าย ฟังคำอันหยาบคายที่ชนทั้งหลาย
เปล่งขึ้นแล้ว พึงอดกลั้น.

จบสุนทรีสูตรที่ 8

อรรถกถาสุนทรีสูตร



สุนทรีสูตรที่ 8 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
อรรถแห่งบทมีอาทิว่า สกฺกโต ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในหนหลัง
นั่นแล. บทว่า อสหมานา แปลว่า อดทนไม่ได้. อธิบายว่า ขึ้งเคียด
(ริษยา). เชื่อมความว่า ไม่อดทนสักการะของภิกษุสงฆ์. บทว่า สุนฺทรี
เป็นชื่อของนาง.
ได้ยินว่า ในเวลานั้น บรรดานางปริพาชิกาทั้งหมด นางเป็นผู้มี
รูปงาม น่าชม น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยสีกายงามอย่างยิ่ง เหตุนั้นนั่นแล
นางจึงปรากฏว่า สุนทรี. ก็นางยังไม่ผ่านวัยสาวไป ไม่สนใจในด้านความ
ประพฤติ. เพราะเหตุนั้น อัญญเดียรถีย์เหล่านั้นจึงส่งเสริมนางไปในบาป-
กรรม. จริงอยู่ อัญญเดียรถีย์เหล่านั้น เสื่อมลาภสักการะไปเอง จำเดิม
แต่เวลาที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น เห็นลาภและสักการะมากหาประมาณมิได้
เป็นไปอยู่แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ โดยนัยที่มาแล้วในอรรถกถา
อักโกสสูตรในหนหลัง จึงพากันริษยา ร่วมปรึกษากันว่า จำเดิมแต่กาล