เมนู

ปรารภความเพียร หมั่นประกอบในอธิจิต นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง อยู่
ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นท่านพระ-
สารีบุตรผู้มีความปรารถนาน้อย. . . อยู่ในที่ไม่ไกล.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ความโศกทั้งหลายย่อมไม่มีแก่ผู้ที่มีจิตยิ่ง ไม่
ประมาท เป็นมุนี ศึกษาอยู่ในคลองแห่งมุนี คงที่
สงบ มีสติทุกเมื่อ.

จบสารีปุตตสูตรที่ 7

อรรถกถาสารีปุตตสูตร



คำที่ไม่ได้กล่าวในก่อน ไม่มีในสูตรที่ 7. ในคาถาพึงทราบความ
ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อชิเจตโส แปลว่า ผู้มีอธิจิต. อธิบายว่า ผู้ประกอบด้วย
อรหัตผลจิต อันยิ่งกว่าจิตทั้งปวง. บทว่า อปฺปมชฺชโต แปลว่า ผู้ไม่
ประมาท ท่านอธิบายว่า ผู้ประกอบด้วยการกระทำเป็นไปติดต่อในธรรมอัน
หาโทษมิได้ ด้วยความไม่ประมาท. บทว่า มุนิโน ความว่า พระขีณาสพ
ชื่อว่ามุนี เพราะรู้โลกทั้งสองอย่างนี้ว่า เพราะผู้รู้โลกทั้งสอง ท่าน
เรียกว่า มุนี หรือเพราะประกอบด้วยญาณ กล่าวคือ ปัญญาอันสัมปยุต
ด้วยอรหัตผลนั้น ท่านเรียกว่า โมนะ. แก่พระมุนีนั้น. บทว่า มุนิ-
ปเถสุ สิกฺขโต
ความว่า ผู้ศึกษาในโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ หรือ

ในสิกขา 3 อันเป็นทางแห่งโมนะ กล่าวคืออรหัตมรรคญาณ. ก็คำนี้
ท่านหมายเอาปฏิปทาอันเป็นส่วนเบื้องต้น. จริงอยู่ ผู้สำเร็จการศึกษา
ชื่อว่าพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น พึงเห็นเนื้อความในที่นี้ว่า แก่พระมุนีผู้
สำเร็จการศึกษาดังว่ามานี้ คือผู้ถึงความเป็นมุนี ด้วยการศึกษานี้. ก็เพราะ
ข้อนั้นนั่นแหละ ฉะนั้น อรรถแห่งบททั้ง 3 นี้อย่างนี้ คือของท่านผู้มี
อธิจิต (จิตเป็นสมาธิขั้นฌาน) คือมรรคจิต ผลจิตเบื้องต่ำ ผู้ไม่ประมาท
ด้วยความไม่ประมาท ในการปฏิบัติอันเกี่ยวด้วยการตรัสรู้สัจจะ 4 ชื่อว่า
ผู้เป็นมุนี เพราะประกอบด้วยมรรคญาณย่อมสมแท้. อีกอย่างหนึ่ง พึง
ทราบอรรถแห่งเหตุของบทว่า อปฺปมชฺชโต จ สิกฺขโต ว่า ชื่อว่ามีอธิจิต
เพราะเหตุแห่งความไม่ประมาท และเพราะเหตุแห่งการศึกษา. บทว่า
โสกา น ภวนฺติ ตาทิโน ความว่า ความเศร้าโศก คือความกรมเกรียมใจ
อันมีความพลัดพรากจากสิ่งที่น่าปรารถนาเป็นต้น เป็นที่ตั้ง ย่อมไม่มี
ในภายในของผู้คงที่ คือของมุนีผู้เป็นพระขีณาสพ. อีกอย่างหนึ่ง ใน
บทว่า ตาทิโน นี้ มีอธิบายดังนี้ว่า ความเศร้าโศกย่อมไม่มีแก่มุนีเห็น
ปานนี้ ผู้ประกอบด้วยลักษณะแห่งความเป็นผู้คงที่. บทว่า อุปสนฺตสฺส
ได้แก่ผู้สงบระงับ เพราะสงบกิเลสมีราคะเป็นต้นได้เด็ดขาด. บทว่า
สทา สตีมโต ได้แก่ ผู้ไม่เว้นสติตลอดกาลเป็นนิจ. ก็ในที่นี้ ด้วยบทว่า
อธิเจตโน นี้ พึงทราบว่า ท่านประสงค์เอาอธิจิตสิกขา. ด้วยบทว่า
อปฺปมชฺชโต นี้ ท่านประสงค์เอาอธิสีลสิกขา. ด้วยบทว่า มุนิโน
โมนปเถสุ สิกฺขโต นี้ ท่านประสงค์เอาอธิปัญญาสิกขา. อีกอย่างหนึ่ง
ด้วยบทว่า มุนิโน นี้ ท่านประสงค์เอาอธิปัญญาสิกขา. ด้วยบทว่า
โมนปเถสุ สิกฺขโต นี้ ท่านประสงค์เอาปฏิปทา อันเป็นส่วนเบื้องต้น

แห่งโลกุตรสิกขาเหล่านั้น. ด้วยบทว่า โสกา น ภวนฺติ เป็นต้น พึง
ทราบว่า ท่านประกาศอานิสงส์แห่งการบำเพ็ญสิกขา. คำที่เหลือมีนัย
ดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาสารีปุตตสูตรที่ 7

8. สุนทรีสูตร



ว่าด้วยพระพุทธเจ้าถูกข้อหาว่าฆ่านางสุนทรี



[102] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ที่มหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ทรง
ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แม้ภิกษุสงฆ์
ก็เป็นผู้ที่มหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต
เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ส่วนพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก
เป็นพวกที่มหาชนไม่สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ไม่ได้จีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร.
[103] ครั้งนั้นแล พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก อดกลั้นสักการะ
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า และสักการะของภิกษุสงฆ์ไม่ได้ เข้าไปหานาง
สุนทรีปริพาชิกาถึงที่อยู่ ครั้นแล้ ว ได้กล่าวกะนางสุนทรีปริพาชิกาว่า
ดูก่อนน้องหญิง เธอสามารถเพื่อจะทำประโยชน์แก่ญาติทั้งหลายได้หรือ