เมนู

อรรถกถาปิณโฑลภารทวารสูตร



ปิณโฑลภารทวาชสูตรที่ 6 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปิณฺโฑลภารทฺวาโช ความว่า ชื่อว่าปิณโฑละ เพราะบวช
เสาะแสวงหาก้อนข้าว.
ได้ยินว่า เขาเป็นพราหมณ์หมดสิ้นโภคะ เห็นลาภและสักการะเป็น
อันมากของภิกษุสงฆ์ จึงออกบวชเพื่อต้องการก้อนข้าว. เขาถือกระเบื้อง
แผ่นใหญ่ เข้าใจว่าเป็นบาตร เที่ยวดื่มข้าวยาคูเต็มกระเบื้อง บริโภคภัต
และกินขนมของเคี้ยว. ลำดับนั้น พวกภิกษุกราบทูลความที่ท่านกินจุ
แด่พระศาสดา. พระศาสดาจึงไม่ทรงอนุญาตให้เธอใช้ถลกบาตร. เธอจึง
คว่ำบาตรวางไว้โต้เตียง. เธอแม้เมื่อจะวางเสือกผลักวางไว้. แม้เมื่อจะถือ
เอาก็ลากคร่าถือเอามา. เมื่อกาลล่วงไป ล่วงไป กระเบื้องนั้นก็กร่อนไป
เพราะการเสียดสี จุเพียงข้าวสุกทะนานเดียวเท่านั้น. ลำดับนั้น พวกภิกษุ
จึงกราบทูลแด่พระศาสดา. ต่อมาพระศาสดาจึงทรงอนุญาตให้เธอมีถลก
บาตรได้. สมัยต่อมา พระเถระเจริญอินทรีย์ดำรงอยู่ในพระอรหัตผล.
ดังนั้น เขาจึงเรียกท่านว่า ปิณโฑละ เพราะเมื่อก่อนท่านแสวงหาเศษ
อามิสเพื่อก้อนข้าว แต่โดยโคตรเรียกว่าภารทวาชะ เพราะรวมศัพท์ทั้ง 2
ศัพท์เข้าด้วยกัน จึงเรียกว่า ปิณโฑลภารทวาชะ.
บทว่า อารญฺญโก ความว่า ชื่อว่า อารัญญกะ เพราะท่านอยู่ใน
ป่าโดยห้ามเสนาสนะชายบ้านเสีย. บทว่า อารญฺญโก นี้ เป็นชื่อของ
ภิกษุผู้ประพฤติสมาทานอรัญญิกธุดงค์. อนึ่ง การตกลงแห่งก้อนอามิส
คือภิกษาหาร ชื่อว่าบิณฑบาต. อธิบายว่า ก้อนข้าวที่คนอื่นให้ตกลงใน
บาตร. ภิกษุชื่อว่า ปิณฑปาติกะ เพราะแสวงหาบิณฑบาต คือเข้าไป

แสวงหายังตระกูลนั้น ๆ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปิณฺฑปาตี เพราะมีอัน
ตกไป คือเที่ยวไปเพื่อบิณฑะเป็นวัตร. ปิณฺฑปาตี นั่นแหละเป็น
ปิณฑปาติกะ. ผ้าชื่อว่า ปังสุกูละ เพราะเป็นดุจจะเกลือกกลัวด้วยฝุ่น
เพราะอรรถว่าฟุ้งขึ้น เหตุตั้งอยู่บนฝุ่น ในที่มีกองหยากเยื่อเป็นต้น.
อีกอย่างหนึ่ง ผ้าชื่อว่า ปังสุกุละ เพราะไป คือถึงความเป็นของน่าเกลียด
ดูจฝุ่น. การทรงผ้าบังสุกุล ชื่อว่า ปังสุกุละ. การทรงผ้าบังสุกุลนั้น
เป็นปกติของภิกษุนั้น เหตุนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า ปังสุกูลิกะ. จีวร 3 ผืน
คือ สังฆาฏิ อุตราสงค์และอันตรวาสก ชื่อว่า ไตรจีวร. การทรงผ้า
ไตรจีวร ชื่อว่า ติจีวระ. การทรงผ้าไตรจีวรนั้น เป็นปกติของภิกษุนั้น
เหตุนั้น ภิกษุนั้น ชื่อว่า เตจีวริกะ. อรรถแห่งบทว่า อปฺปิจฺโฉ เป็นต้น
ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังแล.
บุคคลผู้กำจัดกิเลสท่านเรียกว่า ธุตะ ในบทว่า ธุตวาโท. อีกอย่าง
หนึ่ง ธรรมเครื่องกำจัดกิเลส ท่านก็เรียกว่า ธุตะ. ในสองอย่างนั้น
ภิกษุชื่อว่ามีธุตะ แต่ไม่มีธุตวาทก็มี ไม่มีธุตะ แต่มีธุตวาทก็มี ไม่มีทั้ง
ธุตะ ไม่มีทั้งธุตวาทก็มี มีทั้งธุตะ มีทั้งธุตวาทก็มี พึงทราบหมวด 4
แห่งธุตะดังว่ามานี้. ใน 4 อย่างนั้น ภิกษุใดสมาทานประพฤติธุตธรรม
ด้วยตนเอง ไม่ชักชวนผู้อื่น เพราะการประพฤติสมาทานธุตธรรมนั้น
นี้เป็นธุตะหมวดที่ 1. ส่วนภิกษุใดไม่ประพฤติสมาทานธุตธรรมด้วยตน
เอง แต่ชักชวนผู้อื่น นี้ชื่อว่าเป็นธุตธรรมที่ 2. ภิกษุใดเว้นทั้งสอง นี้
เป็นธุตะที่ 3. ส่วนภิกษุใดสมบูรณ์ด้วยธุตะทั้ง 2 นี้ชื่อว่าเป็นธุตะที่ 4.
ก็ท่านปิณโฑลภารทวาชะก็เป็นผู้เช่นนั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ธุตวาทะ. ก็นี้เป็นนิเทศว่าด้วยสมาสที่ท่านย่อศัพท์หนึ่งเหลือไว้ศัพท์หนึ่ง

เหมือนอย่างว่า นามญฺจ รูปญฺจ นามรูปญฺจ นามรูปํ แปลว่า นาม 1
รูป 1 นามรูป 1 เป็นนามรูป.
ในบทว่า อธิจิตฺตมนุยุตฺโต นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ พึงทราบ
ความที่จิตเป็นอธิจิต เพราะประกอบด้วยสมาบัติ 8 หรือประกอบด้วย
อรหัตผลสมาบัติ. แต่ในที่นี้ พึงทราบว่า อรหัตผลจิต. สมาธิใน
ในสมาบัตินั้น ๆ นั่นแล ชื่อว่าอธิจิต. แต่ในที่นี้พึงทราบว่า อรหัตผล-
สมาธิ. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ดุก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้หมั่น
ประกอบอธิจิต พึงมนสิการถึงนิมิต 3 อย่างตามกาลเวลา เพราะฉะนั้น
จิตที่ประกอบด้วยสมถะและวิปัสสนา ท่านประสงค์ในที่นี้ว่าอธิจิต เหมือน
ในอธิจิตตสูตรนี้. คำนั้นไม่ดี พึงถือเอาความในก่อนนั่นแล.
บทว่า เอตมตฺถํ วิหิตฺวา ความว่า ทรงทราบโดยประการทั้งปวง
ซึ่งอรรถนี้ กล่าวคือ การประกอบอธิจิต อันสมบูรณ์ด้วยการอธิษฐาน
บริขาร และการไม่บกพร่องของท่านปิณโฑลภารทวาชะ. เมื่อจะทรง
แสดงว่าการประกอบอธิจิต ก็คือการดำรงมั่นแห่งพระศาสนาของเรา จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ ด้วยประการฉะนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุปวาโท ได้แก่ ไม่เข้าไปว่าร้ายต่อ
ใคร ๆ ด้วยวาจา. บทว่า อนุปฆาโต ได้แก่ ไม่กระทำการกระทบกระทั่ง
ต่อใคร ๆ. อรรถแห่งบทว่าปาฏิโมกข์ ในบทว่า ปาฏิโมกฺเข นี้ ท่าน
กล่าวโดยประการต่าง ๆ ในหนหลัง. ธรรมอันมีการไม่ล่วงละเมิดกอง
อาบัติ 7 ในพระปาฏิโมกข์นั้นเป็นลักษณะ ชื่อว่า สังวร ความรู้จัก
ประมาณ ด้วยอำนาจการรับและการบริโภค ชื่อว่า มัตตัญญุตา. บทว่า

ปนฺตญฺจ สยานาสนํ ได้แก่ ที่นอนและที่นั่งอันสงัด คือเว้นการติดต่อกัน
บทว่า อธิจิตฺเต จ อาโยโค ได้แก่ การประกอบภาวนา เพื่อบรรลุ
สมาบัติ 8. อีกนัยหนึ่ง. บทว่า อนุปวาโท ได้แก่ ไม่กล่าวคำว่าร้ายแม้
ต่อใคร ๆ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงสงเคราะห์ศีล ที่เป็นไปทางวาจาแม้
ทั้งหมด. บทว่า อนุปฆาโต ได้แก่ ไม่กระทำการกระทบกระทั่งต่อใคร ๆ
คือการเบียดเบียนผู้อื่นด้วยกาย. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงสงเคราะห์ศีลอัน
เป็นไปทางกายทั้งหมด ก็เพื่อจะทรงแสดงศีลทั้ง 2 ที่หยั่งลงในภายใน
ศาสนาของพระพุทธเจ้าทั้งหมด จึงตรัสว่า ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร ดังนี้
จ ศัพท์ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร ความว่า การไม่
ไปว่าร้าย และการไม่เข้าไปทำร้าย อันเป็นเหตุสำรวมในพระปาฏิโมกข์.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปาฏิโมกฺเข เป็นสัตตมีวิภัตติ ใช้ในอรรถอธิ-
กรณะ. สังวรเป็นที่อาศัยในปาฏิโมกข์. ถามว่า ก็สังวรนั้นคืออะไร ?
ตอบว่า คือ การไม่เข้าไปว่าร้าย การไม่ทำร้าย. จริงอยู่ ในเวลาอุป-
สมบท เมื่อว่าโดยไม่แปลกกัน ปาฏิโมกขศีล เป็นอันชื่อว่าอันภิกษุ
สมาทานแล้ว. เมื่อภิกษุตั้งอยู่ในปาฏิโมกข์นั้น ต่อจากนั้น สังวรย่อมมี
ด้วยอำนาจการไม่ว่าร้าย และการไม่กระทำร้าย สังวรนั้น ท่านเรียกว่า
การไม่ว่าร้ายและการไม่ทำร้าย. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปาฏิโมกฺเข เป็น
สัตตวีวิภัตติ ใช้ในอรรถว่าพึงให้สำเร็จ เหมือนคำว่าการไม่สงบแห่งใจ
มีอโยนิโสมนสิการเป็นเหตุใกล้. อธิบายว่า การไม่ว่าร้าย การไม่ทำร้าย
อันปาฏิโมกข์พึงให้สำเร็จ คือการว่าร้ายและการทำร้ายสงเคราะห์เข้าใน
ปาฏิโมกขสังวรเหมือนกัน. ก็ด้วยคำว่า สํวโร จ นี้ ศัพท์แห่งสังวร 4
เหล่านี้ คือ สติสังวร 1 ญาณสังวร 1 ขันติสังวร 1 วิริยสังวร 1

สังวร 4 หมวดนี้ มีการทำปาฏิโมกข์ให้สำเร็จ. บทว่า มตฺตญฺณุตา จ
ภตฺตสฺมึ ได้แก่ ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ ด้วยอำนาจการแสวงหา
การรับ การบริโภค และการสละ. บทว่า ปนฺตญฺจ สยนาสนํ ได้แก่
ที่นอนและที่นั่งอันสงัด มีราวป่าและโคนไม้เป็นต้น อันอนุกูลแก่ภาวนา.
บทว่า จิตฺเต จ อาโยโค ความว่า เมื่อทำอรหัตผลจิต กล่าวคือ ชื่อว่า
อธิจิต เพราะเป็นจิตยิ่ง คือเพราะสูงสุดกว่าจิตทั้งปวงให้สำเร็จ ความ
พากเพียรย่อมมีด้วยอำนาจสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา เพื่อทำอรหัต-
ผลจิตนั้นให้สำเร็จ. บทว่า เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ความว่า การไม่ว่าร้าย
ผู้อื่น 1 การไม่ทำร้ายผู้อื่น 1 การสำรวมในพระปาฏิโมกข์ 1 การรู้จัก
ประมาณในการแสวงหาและการรับเป็นต้น 1 การอยู่ในที่อันสงัด 1
การประกอบเนืองๆ ซึ่งอธิจิตตามที่กล่าวแล้ว 1 นี้เป็นคำสอน คือเป็น
โอวาท อธิบายว่า เป็นคำพร่ำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สิกขา 3 พึง
ทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วด้วยพระคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาปิณโฑลภารทวารสูตรที่ 6

7. สารีปุตตสูตร



ว่าด้วยความโศกไม่มีแก่มุนีผู้มีสติ



[101] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่าน
พระสารีบุตรผู้มีความปรารถนาน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่