เมนู

จิตของพญาช้างมีงาเช่นกับงอนรถ ย่อมสมกับจิต
ที่ประเสริฐของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ เพราะพระ-
พุทธเจ้าพระองค์เดียว ทรงยินดีอยู่ในป่า.
จบนาคสูตรที่ 5

อรรถกถานาคสูตร



นาคสูตรที่ 5 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า โกสมฺพิยํ ความว่า ใกล้นครอันได้นามอย่างนี้ว่า โกสัมพี
เพราะสร้างไว้ในที่ที่กุสุมพฤาษีอยู่. บทว่า โฆสิตาราเม ได้แก่ ในอาราม
ที่โฆสิตเศรษฐีสร้างไว้. บทว่า ภควา อากิณฺโณ วิหรติ ได้แก่ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงรับความคับแคบ ประทับอยู่. ถามว่า ก็พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า มีความคับแคบหรือมีความคลุกคลี ? ตอบว่า ไม่มี
เพราะใคร ๆ ไม่สามารถจะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยไม่ปรารถนา.
จริงพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย เข้าเฝ้าได้โดยยากก็เพราะไม่ทรงติด
อยู่ในที่ทั้งปวง. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอาศัยความอนุเคราะห์ในหมู่
สัตว์ ด้วยทรงแสวงหาประโยชน์เกื้อกูล เพื่อจะรื้อถอนหมู่สัตว์ออกจาก
โอฆะ 4 โดยสมควรแก่ปฏิญญาว่า เราหลุดพ้นแล้ว จักให้หมู่สัตว์หลุด
พ้นด้วย จึงทรงรับให้บริษัททั้ง 8 เข้าเฝ้ายังสำนักของพระองค์ตลอด
เวลา. ก็พระองค์เอง อันพระมหากรุณากระตุ้นเตือน เป็นกาลัญญู
เสด็จเข้าไปในบริษัทนั้น. ข้อนี้ อันพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เคยประ-
พฤติกันมา. นี้ท่านประสงค์ว่า การอยู่เกลื่อนกล่นในที่นี้.
แต่ในที่นี้ เมื่อภิกษุชาวเมืองโกสัมพีเกิดทะเลาะกัน พระศาสดา

ทรงนำเรื่องของพระเจ้าโกศลทรงพระนามว่าทีฆีติ มาประทานพระโอวาท
โดยนัยมีอาทิว่า เวรในกาลไหน ๆ ในโลกนี้ ย่อมไม่สงบด้วยเวร. วันนั้น
เมื่อภิกษุเหล่านั้น กระทำการทะเลาะกันนั่นแล จนราตรีสว่าง. แม้ใน
วันที่สอง พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ตรัสเรื่องนั้นเหมือนกัน. แม้ในวันนั้น
ภิกษุเหล่านั้น ก็ทะเลาะกันนั่นเอง จนราตรีสว่าง. แม้ในวันที่สาม
พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงแสดงเรื่องนั้นเหมือนกัน. ลำดับนั้น ภิกษุ
รูปหนึ่ง กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีความขวนขวายน้อย จงประกอบด้วยการ
อยู่เป็นสุขในปัจจุบันเถิด พวกข้าพระองค์จักปรากฏ ด้วยความบาดหมาง
ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง และด้วยความวิวาทนี้. พระศาสดาทรง
พระดำริว่า โมฆบุรุษเหล่านี้ มีจิตถูกความบาดหมางเป็นต้นครอบงำแล้ว
บัดนี้ เราไม่อาจจะให้พวกเธอตกลงกันได้ และในที่นี้ ก็ไม่มีใครจะยอม
ใคร ถ้ากระไร เราก็จะพึงเที่ยวอยู่แต่ผู้เดียว เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุเหล่านี้
ก็จักงดการทะเลาะกัน. เพราะกระทำการอยู่ในวิหารแห่งเดียวกันกับภิกษุ
ผู้ก่อการทะเลาะกันเหล่านั้น และการที่พวกอุบาสกเป็นต้นเข้าไปเฝ้าโดย
ไม่มีผู้แนะนำให้เป็นอยู่เกลื่อนกล่น ด้วยประการฉะนี้ ท่านจึงกล่าวว่า
เตน โข ปน สมเยน ภควา อากิณฺโณ วิหรติ ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้-
มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่เกลื่อนกล่น ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺขํ ได้แก่ ไม่ใช่สุข อธิบายว่า
ไม่น่าปรารถนา เพราะมีจิตไม่น่ายินดี. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ท่านจึงกล่าว
ว่า น ผาสุ วิหรามิ เราอยู่ไม่ผาสุก. บทว่า วูปกฏฺโฐ แปลว่า หลีกออก
คืออยู่ในที่ไกล.

ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงพระดำริอย่างนั้นแล้ว จึงทรงชำระ
พระวรกายแต่เช้าตรู่ เสด็จเที่ยวบิณฑบาต ในกรุงโกสัมพี ไม่ตรัสบอก
ใคร ๆ เสด็จไปแต่ผู้เดียว ไม่มีเพื่อน ประทับอยู่ที่ควงไม้ภัททสาละ
ณ ปาลิไลยกะไพรสณฑ์ในโกศลรัฐ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข
ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ ฯ เป ฯ ภทฺทสาลมูเล
ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สามํ แปลว่า ด้วยพระองค์เอง. บทว่า
สํสาเมตฺวา แปลว่า เก็บนำ. พึงนำบทว่า สามํ มาประกอบเข้า แม้ในบท
ว่า ปตฺตจีวรมาทาย นี้. บทว่า อุปฏฺฐาเก ได้แก่ ไม่ได้บอกลา
พวกอุปัฏฐาก มีโฆสิตเศรษฐีเป็นต้น ชาวกรุงโกสัมพี และท่านพระ-
อานนท์ ผู้เป็นอัครอุปัฏฐากในวิหาร.
เมื่อพระศาสดาเสด็จไปแล้วอย่างนี้ ภิกษุ 500 รูป กล่าวกะท่าน
พระอานนท์ว่า อานนท์ผู้มีอายุ พระศาสดาเสด็จไปแต่พระองค์เดียว พวก
เราจักติดตาม. ท่านพระอานนท์ห้ามว่า อาวุโส ในคราวที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงเก็บงำเสนาสนะด้วยพระองค์เองแล้วทรงถือบาตรและจีวร ไม่
ทรงบอกลาพวกอุปัฏฐากและไม่ทรงบอกเล่าภิกษุสงฆ์ เสด็จไปไม่มีเพื่อน
การเสด็จไปโดยพระองค์เดียว เป็นพระอัธยาศัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ธรรมดาว่า พระสาวกควรปฏิบัติให้เหมาะสมแก่พระอัธยาศัยของพระ-
ศาสดา เพราะฉะนั้น ไม่ควรตามเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไปในวันเหล่านี้
ดังนี้แม้ตนเองก็ไม่ตามเสด็จ. บทว่า อนุปุพฺเพน แปลว่า โดยลำดับ.
พระศาสดาเสด็จจาริกไปตามลำดับคามและนิคม ทรงพระดำริ
ว่า เราจักเยี่ยมภิกษุผู้เที่ยวอยู่แต่ผู้เดียวก่อน ดังนี้แล้ว จึงเสด็จไปยัง
พาลกโลณการามแล้วทรงแสดงอานิสงส์ในการเที่ยวอยู่แต่ผู้เดียว แก่ท่าน

ภคุเถระในที่นั้น ตลอดปัจฉาภัตร และตลอดราตรี 3 ยาม ในวันรุ่งขึ้น
มีท่านภคุเถระเป็นปัจฉาสมณะเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาต ให้ท่านภคุเถระ
กลับ ณ ที่ตรงนั้นนั่นแล แล้วทรงพระดำริว่า จักเยี่ยมกุลบุตรทั้ง 3 คน
ผู้อยู่โดยความพร้อมเพรียงกัน จึงเสด็จไปยังปาจีนวังสมิคทายวันแล้วทรง
แสดงอานิสงส์ ในการที่กุลบุตรแม้เหล่านั้น ผู้อยู่โดยความพร้อมเพรียง
กัน ตลอดคืนยังรุ่ง ทรงให้กุลบุตรแม้เหล่านั้นกลับ ณ ที่ตรงนั้นนั่นแล
เสด็จถึงปาลิไลยคามแต่พระองค์เดียว. ชาวปาลิไลยคาม พากันต้อนรับ
ถวายทานแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ในรักขิตวันไพรสณฑ์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลปาลิไลยคาม แล้วทูล
อาราธนาให้ประทับอยู่ด้วยคำว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงประทับอยู่ใน
ที่นี้เถิด. ก็ในรักขิตวันนั้น มีต้นสาละต้นหนึ่ง น่าพึงใจ อันได้นามว่า
ภัททสาละ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยบ้านนั้น ประทับอยู่ ณ โคนไม้
นั้นใกล้บรรณศาลา ในไพรสณฑ์. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปาลิ-
เลยฺยเก วิหรติ รกฺขิตวนสณฺเฑ ภทฺทสาลมูเล
ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า หตฺถินาโค ได้แก่ พญาช้าง คือจ่าโขลง. บทว่า หตฺถิ-
กุลเภหิ
แปลว่า ลูกช้าง. บทว่า หตฺถิจฺฉาเปหิ ได้แก่ ลูกช้างรุ่น ซึ่ง
ยังดื่มกินน้ำนม. ที่เขาเรียกว่า ภิงฺกา ดังนี้ก็มี. บทว่า ฉินฺนคฺคานิ
ความว่า เคี้ยวกินหญ้าที่มีปลายขาด คือ คล้ายตอ ที่เหลือจากช้างเป็นต้น
เหล่านั้นล่วงหน้าไปกินเสียแล้ว. บทว่า โอภคฺโคภคฺคํ ได้แก่ รุกขาวัยวะ
คือกิ่งไม้ที่พญาช้างนั้นหักตกลงจากที่สูง. บทว่า อสฺส สาขาภงฺคํ
ความว่า ช้างเหล่านั้นเคี้ยวกินรุกขาวัยวะที่หักคือกิ่งไม้ อันเป็นของพญา
ช้างนั้น. บทว่า อาวิลานิ ความว่า ย่อมดื่มน้ำที่ขุ่น คือที่เจือด้วย

เปือกตม เพราะถูกช้างเหล่านั้นลงไปดื่มก่อนจึงทำให้ขุ่น. บทว่า โอคาหา
แปลว่า จากท่า. บาลีว่า โอคาหํ ดังนี้ก็มี. บทว่า อสฺส ประกอบกับ
หตฺถินาคสฺส. บทว่า อุปนิฆํสนฺติโย แปลว่า เสียดสีอยู่. พญาช้าง
นั้น แม้จะถูกพวกช้างเสียดสี ก็ไม่โกรธ เพราะความที่คนมีใจกว้างขวาง
ด้วยเหตุนั้น นางช้างเหล่านั้น จึงพากันเสียดสีพญาช้างนั่นแหละ. บท
ว่า ยูถา แปลว่า จากโขลงช้าง.
บทว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ความว่า ได้ยินว่า พญาช้างนั้น
เบื่อหน่ายที่จะอยู่ในโขลง จึงเข้าไปยังไพรสณฑ์นั้น เห็นพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ในที่นั้น เป็นสัตว์มีใจเย็น เหมือนเอาน้ำพันหม้อมาดับความ
ร้อน มีจิตเลื่อมใส ได้อยู่ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า. ตั้งแต่นั้นมา
พญาช้างนั้น ก็ตั้งอยู่ในข้อวัตรปฏิบัติ เอากิ่งไม้กวาดรอบ ๆ ต้น
ภัททสาละและบรรณศาลา ให้ปราศจากของเขียว ถวายน้ำบ้วนพระโอษฐ์
นำน้ำสำหรับสรงมาถวาย ถวายไม้สำหรับชำระพระทนต์ แต่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า นำผลไม้มีรสอร่อยมาจากป่าแล้วน้อมถวายแด่พระศาสดา. พระ-
ศาสดาทรงเสวยผลไม้เหล่านั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ได้ยินว่า
ในรักขิตวันนั้น พญาช้างนั้น กระทำพื้นที่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ
อยู่ให้ปราศจากของเขียว และจัดตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้เพื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
ด้วยงวง ดังนี้เป็นต้น.
พญาช้างนั้นเอางวงขนฟืนมา สีกันและกันเข้าให้เกิดเป็นไฟ ทำ
ให้ไม้ลุกโพลง ทำก้อนหินในที่นั้นให้ร้อน เอาไม้กลิ้งก้อนหินนั้นมา
โยนลงไปในแอ่งน้ำ รู้ว่าน้ำร้อนแล้ว จึงเข้าไปในสำนักของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้ว ยืนอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พญาช้างปรารถนา

จึงสมกับจิตที่ประเสริฐ คือสมกับจิตของพระพุทธเจ้านั้น เพราะคำอธิบาย
จะให้เราสรงน้ำ จึงเสด็จไปในที่นั้นแล้ว ทำการสรงน้ำ. แม้ในน้ำดื่ม
ก็นัยนี้เหมือนกัน. ก็เมื่อนำดื่มนั้นเกิดความเย็นขึ้นแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าที่ท่าน
หมายกล่าวไว้ว่า ก็พญาช้างจัดตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้ถวายแด่พระผู้มีพระภาค-
เจ้าด้วยงวง. บทมีอาทิว่า อถ โข ภควโต รโหคตสฺส เป็นบทแสดง
การที่มหานาคทั้ง 2 พิจารณาถึงความสุขอันเกิดแต่วิเวก. คำนั้น มีอรรถ
ดังที่กล่าวไว้แล้วนั่นแล.
บทว่า อตฺตโน จ ปวิเวกํ วิหิตฺวา ความว่า ทรงทราบกายวิเวก
ที่ได้ด้วยความไม่เกลื่อนกล่น ด้วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง. ฝ่ายจิตวิเวก และ
อุปธิวิเวกย่อมมีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าทุกกาลทีเดียว. บทว่า อิมํ อุทานํ
ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงถึงความที่พระองค์ และพญาช้าง
มีอัธยาศัยเสมอกัน ในความยินดียิ่งในความสงัด.
ในข้อนั้นมีความสังเขป ดังต่อไปนี้ จิตของพญาช้างผู้มีงางอน
นี้ คือมีงางอนเช่นกับงอนรถ สมกัน คือเทียบกันได้กับ จิตที่ประเสริฐ
ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ. หากมีคำถามสอดเข้ามาว่า สมกันได้อย่างไร ?
เฉลยว่า เพราะผู้เดียวยินดีอยู่ในป่า อธิบายว่า เพราะเหตุที่พระพุทธเจ้า
ผู้ประเสริฐทรงดำริว่า เมื่อก่อนเราแลอยู่เกลื่อนกล่น ดังนี้ จึงทรงรังเกียจ
การอยู่เกลื่อนกล่นในครั้งก่อน เมื่อจะทรงพอกพูนวิเวก บัดนี้จึงเป็นผู้
ผู้เดียว คือไม่มีเพื่อน ยินดี คือ อภิรมย์ ในป่า คือในราวป่า ฉันใด
แม้พญาช้างนี้ก็ฉันนั้น เมื่อก่อนรังเกียจการอยู่เกลื่อนกล่นกับพวกช้าง
เป็นต้นของมัน เมื่อจะพอกพูนวิเวก บัดนี้จึงเป็นช้างโดดเดี่ยว คือไม่มี
เพื่อนยินดี คือ เพลิดเพลินอยู่โดดเดี่ยวในป่า ฉะนั้น จิตของพญาช้างนั้น

ดังว่ามานี้ จึงเป็นเช่นเดียวกันกับด้วยความยินดีในเอกีภาพ.
จบอรรถกถานาคสูตรที่ 5

6. ปิณโฑลภารทวาชสูตร



ว่าด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย



[100] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล
ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็น
วัตร ถือทรงไตรจีวรเป็นวัตร มีความปรารถนาน้อย สันโดษ ชอบสงัด
ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ปรารภความเพียร ผู้มีวาทะกำจัด หมั่นประกอบใน
อธิจิต นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง อยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี-
พระภาคเจ้าได้ทรงเห็นท่านพระปิณโฑลภารทวาชะผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร
. . .อยู่ในที่ไม่ไกล.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
การไม่ว่าร้ายกัน 1 การไม่เบียดเบียนกัน 1 การ
สำรวมในพระปาติโมกข์ 1 ความเป็นผู้รู้จักประมาณ
ในภัต 1 ที่นอนที่นั่งอันสงัด 1 การประกอบความ
เพียรในอธิจิต 1 นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย.

จบปิณโฑลภารทวารสูตรที่ 6