เมนู

อรรถกถาชุณหสูตร



ชุณหสูตรที่ 4 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า กโปตกนฺทรายํ ได้แก่ ในวิหารมีชื่ออย่างนั้น. ได้ยินว่า
เมื่อก่อนนกพิราบเป็นอันมากอยู่ในซอกเขานั้น. ด้วยเหตุนั้น ซอกเขานั้น
จึงเรียกกันว่า กโปตกันทรา. ภายหลังถึงเขาสร้างวิหารไว้ในที่นั้น ก็ยัง
ปรากฏว่า กโปตกันทรา อยู่นั่นเอง. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า กโป-
ตกนฺทรายนฺติ เอวํนามเก วิหาเร.

บทว่า ชุณฺหาย รตฺติยา ได้แก่ ในราตรีศุกลปักษ์. บทว่า นโว-
โรปิเตหิ เกเสหิ
ได้แก่ มีผมที่ปลงไม่นาน ก็คำว่า เกเสหิ นี้ เป็น
ตติยาวิภัตติ ใช้ในลักษณะอิตถัมภูต. บทว่า อพฺโภกาเส ได้แก่ ที่เนิน
กลางแจ้งที่ไม่มีเครื่องมุงหรือเครื่องบัง. ในพระเถระเหล่านั้น ท่านพระ-
สารีบุตรมีวรรณดุจทองคำ ท่านมหาโมคคัลลานะมีวรรณดังดอกอุบลเขียว
ก็พระมหาเถระทั้งสององค์นั้นเป็นชาติพราหมณ์โดยเฉพาะ สมบูรณ์ด้วย
อภินิหาร สิ้นหนึ่งอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป บรรลุปฏิสัมภิทา 6 เป็นพระ-
ขีณาสพผู้ใหญ่ ได้สมาบัติทุกอย่าง ถึงที่สุดสาวกบารมีญาณ 67 ประการ
ทำกโปตกันทราวิหารแห่งเดียวกันให้สว่างไสวไพโรจน์ เหมือนสีหะ 2 ตัว
อยู่ถ้ำทองแห่งเดียวกัน เหมือนเสือโคร่ง 2 ตัว หยั่งลงสู่พื้นที่เหยียดกาย
แห่งเดียวกัน เหมือนพญาช้างฉัททันต์ 2 เชือก เข้าป่าสาลวันซึ่งมีดอก
บานสะพรั่งแห่งเดียวกัน เหมือนพญาครุฑ 2 ตัวอยู่ป่าฉิมพลีแห่งเดียว
กัน เหมือนท้าวเวสวัณ 2 องค์ ขึ้นยานสำหรับพาคนไปยานเดียวกัน
เหมือนท้าวสักกะ 2 องค์ ประทับนั่งบนบัณฑุกัมพลิศิลาอาสน์เดียวกัน
เหมือนท้าวมหาพรหม 2 องค์ อยู่ในวิมานเดียวกัน เหมือนดวงจันทร์ 2

ดวง และพระอาทิตย์ 2 ดวง อยู่ในท้องฟ้าเดียวกันฉะนั้น. ในท่าน
เหล่านั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้นั่งนิ่ง ฝ่ายท่านพระสารีบุตรเข้า
สมาบัติ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อญฺญตรํ สมาธึ สมาปชฺชิตฺวา
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อญฺญตรํ สมาธึ ได้แก่ อุเบกขา
พรหมวิหารสมาบัติ. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ-
ฝ่ายอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ผลสมาบัติอันมีอรูปฌานเป็นบาท. จริง
อยู่ สมาบัติทั้ง 3 นี้แหละเป็นสมาบัติที่สามารถรักษากาย. ในสาบัติ
เหล่านั้น การเกิดโดยปริยายแห่งสมาธิของนิโรธสมาบัติ ได้กล่าวไว้ใน
หนหลังแล้วแล. แต่อาจารย์ทั้งหลายพรรณนาสมาบัติครั้งสุดท้ายเท่านั้น.
บทว่า อุตฺตราย ทิสาย ทกฺขิณพิสํ คจฺฉนฺติ ความว่า ไปสู่สมาคม
ยักษ์ในอุดรทิศ แล้วไปทักษิณทิศเพื่อไปยังภพของตน. บทว่า ปฏิภาติ
มํ
ได้แก่ จิตของเราปรากฏ. จริงอยู่ บทว่า มํ เป็นทุติยาวิภัตติ ใช้
ในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ เพราะประกอบด้วยปฏิศัพท์ ความว่า จิตของเรา
เกิดขึ้นเพื่อจะตีศีรษะพระเถระนี้. ได้ยินว่า ยักษ์นั้นผูกอาฆาตพระเถระ
มาแต่ชาติก่อน เพราะเหตุนั้น พอเห็นพระเถระเขาจึงมีจิตคิดประทุษร้าย
อย่างนั้น. ฝ่ายยักษ์ผู้สหายเป็นผู้มีปัญญา เพราะฉะนั้น เมื่อจะห้ามยักษ์
นั้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อย่าเลย สหาย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มา อาสาเทสิ ได้แก่ อย่าพยายาม
อธิบายว่า จงอย่าประหาร. บทว่า อุฬาโร ความว่า ประกอบด้วยคุณมี
ศีลเป็นต้นอันยิ่ง คือสูงสุด. บทว่า อนาทิยิตฺวา ความว่า ไม่กระทำ
ความเอื้อเฟื้อ คือไม่เชื่อถือคำของยักษ์ผู้เป็นสหายนั้น. ก็เพราะเหตุที่

ยักษ์ไม่เชื่อคำของยักษ์ผู้สหายนั้น จึงชื่อว่าไม่เอื้อเฟื้อยักษ์นั้น ฉะนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า ตํ ยกฺขํ อนาทิยิตฺวา. บทว่า สีเส ปหารํ อทาสิ ความว่า
ทำความอุตสาหะให้เกิดด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด ยืนอยู่บนอากาศนั่นแหละ
โขกที่ศีรษะ อธิบายว่า เอากำปั้นตีศีรษะ. บทว่า ตาว มหา ความว่า
ได้ประหารอย่างหนักปานนั้นด้วยเรี่ยวแรงอย่างมากมาย. บทว่า เตน
ปหาเรน
ได้แก่ ด้วยการประหารนั้นอันเป็นตัวเหตุ. บทว่า สตฺตรตนํ
ได้แก่ 7 ศอกโดยศอกของบุรุษปานกลาง. บทว่า โส ได้แก่ ยักษ์.
บทว่า นาคํ ได้แก่ พญาช้าง. บทว่า โอสาเทยฺย ได้แก่ พึงให้
จมลง คือพึงให้ดิ่งลงในแผ่นดิน. ปาฐะว่า โอสาเรยฺย พึงให้ประชุม
ลง ดังนี้ก็มี อธิบายว่า พึงกระทำให้แหลกละเอียด. บทว่า อฑฺฒฏฺฐมรตนํ
ความว่า เป็นที่เต็มแห่งวัตถุ 8 ด้วยทั้งกึ่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ที่ 8
ทั้งกิ่ง, ศอกที่ 8 ทั้งกึ่งเป็นขนาดของช้างนั้น เหตุนั้น ช้างนั้นมีขนาด
7 ศอกกิ่ง ซึ่งช้างนั้นมีขนาด 8 ศอกกึ่ง. บทว่า มหนฺตํ ปพฺพตกูฏํ
ได้แก่ ยอดเขาอันกว้างขวางประมาณเท่ายอดเขาไกรลาศ. บทว่า ปทา-
เลยฺย
ได้แก่ พึงทำลายโดยอาการให้เป็นสะเก็ด เชื่อมความว่า ให้จม
ลงไปบ้าง ให้ทลายไปบ้าง.
ก็ในขณะนั้นนั่นเอง ความเร่าร้อนใหญ่เกิดขึ้นในร่างของยักษ์นั้น.
ยักษ์นั้นอาดูรด้วยเวทนา เมื่อไม่อาจจะดำรงอยู่ในอากาศได้ จึงตกลงที่
พื้นดิน. ในขณะนั้นนั่นเองมหาปฐพีหนา 240,000 โยชน์ รองรับขุนเขา
สิเนรุซึ่งสูง 168,000 โยชน์ ประหนึ่งไม่อาจจะรองรับสัตว์ชั่วนั้นได้
จึงได้เปิดช่องให้. เปลวไฟพลุ่งขึ้นจากอเวจีมหานรก จักยักษ์นั้นซึ่ง
กำลังคร่ำครวญอยู่นั่นแล. ยักษ์นั้นกำลังคร่ำครวญบ่นเพ้อตกไป. ด้วย

เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ครั้งนั้นแล ยักษ์นั้นจึงกล่าวว่า ร้อน ร้อน
แล้วได้จมลงในมหานรกนั้นนั่นเอง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวฏฺฐาสิ แปลว่า ได้ตกไปแล้ว. ถามว่า
ก็ยักษ์นั้นตกนรก ด้วยทั้งอัตภาพยักษ์นั่นแหละหรือ ? ตอบว่า ไม่ตก.
ก็ในที่นี้ เพราะพลังแห่งบาปกรรมซึ่งอำนวยผลในปัจจุบัน ยักษ์จึงเสวย
ทุกข์มหันต์ในอัตภาพเป็นยักษ์. อนึ่ง เพราะอุปปัชชเวทนียกรรมอันเป็น
อนันตริยกรรม ยักษ์จึงเกิดในนรกถัดจากจุติ แต่ร่างกายของพระเถระ
ที่ถูกพลังแห่งสมาบัติสนับสนุน จึงไม่มีวิการอะไรเลย. ความจริง ยักษ์
ประหารท่าน ในเวลาที่ท่านยังไม่ออกจากสมาบัติ. ท่านพระมหาโมคคัล-
ลานะเห็นยักษ์นั้น ประหารอยู่อย่างนั้น ด้วยทิพยจักษุ จึงเข้าไปหา
พระธรรมเสนาบดี. และพร้อมกับเวลาที่เข้าไปหานั่นแหละ พระธรรม-
เสนาบดีก็ออกจากสมาบัติ. ในลำดับนั้น พระมหาโมคคัลลานะ จึงถาม
ถึงความดูแคลนนั้นกะท่านพระธรรมเสนาบดี. ฝ่ายพระธรรมเสนาบดี
ก็ได้พยากรณ์แก่ท่าน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าว่า ท่านพระมหา-
โมคคัลลานะได้เห็นแล้วแล ฯ ล ฯ ก็แต่ว่าศีรษะของผมมีทุกข์นิด
หน่อย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โถกํ ทุกฺขํ ความว่า ศีรษะของผม
เป็นทุกข์ คือได้รับความทุกข์นิดหน่อย คือมีประมาณน้อยนิดคล้าย
หยดเทียน จริงอยู่ ศีรษะอันเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ ท่านเรียกว่า มีทุกข์
บาลีว่า สีเส โถกํ ทุกฺขํ เป็นทุกข์นิดหน่อยที่ศีรษะ ดังนี้ก็มี. ถามว่า
ก็เมื่อสรีระถูกพลังแห่งสมาบัติสนับสนุน ศีรษะของพระเถระเป็นทุกข์
น้อยหนึ่งอย่างไร ? ตอบว่า เพราะท่านออกจากสมาบัติไม่นานเลย. จริงอยู่

ทุกข์ไม่ปรากฏในภายในสมาบัติเหมือนยังเป็นต้น ปรากฏแก่ผู้หลับ ปรากฏ
หน่อยหนึ่งแก่ผู้ตื่นขึ้น เพราะเนื่องด้วยกาย. เมื่อท่านพระมหาโมค-
คัลลานะ. เกิดความคิดอัศรรย์ขึ้นว่า ขึ้นชื่อว่า ความวิการ ย่อมไม่มี
แม้ในร่างกายที่ถูกยักษ์มีกำลังมากประหารเอาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดเช่นนั้น
ประกาศความที่ท่านพระธรรมเสนาบดี มีอานุภาพมาก โดยนัยมีอาทิว่า
น่าอัศจรรย์นะ สารีบุตร. ฝ่ายพระธรรมเสนาบดีก็แสดงความที่ตนละได้
เด็ดขาดซึ่งมลทินมีริษยาตระหนี่และอหังการเป็นต้น โดยการประกาศว่า
ตนมีอิทธานุภาพมาก แก่พระมหาโมคคัลลานะนั้น โดยนัยมีอาทิว่า
น่าอัศจรรย์นะ โมคคัลลานะ. บทว่า ปํสุปิสาจกมฺปิ น ปสฺสาม ความว่า
พวกเรามองไม่เห็นแม้ซึ่งขุททกเปรตผู้เทียวไปตามสถานที่มีกองหยากเยื่อ
เป็นต้น. ดังนั้น พระมหาเถระ ผู้เป็นยอดแห่งผู้ปรารถนามรรคผล
จึงไฟกล่าวหมายถึงความไม่เห็นเปรตเหล่านั้น เพราะไม่ได้คำนึงถึงใน
กาลนั้น. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ท่านจึงกล่าว่า เอตรหิ ในบัดนี้. ก็
พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่พระเวฬุวัน ได้สดับการเจรจาปราศรัย
นี้ ของพระอัครสาวกทั้งสอง ด้วยทิพยโสตญาณ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวว่า อสฺโสสิ โข ภควา ดังนี้เป็นต้น. คำนั้น มีอรรถดังที่กล่าว
ไว้แล้วนั่นแล.
บทว่า เอตมตฺถ วิทิตฺวา ได้แก่ ทรงทราบความที่ท่านพระ-
สารีบุตรผู้ประกอบด้วยกำลังแห่งสมาบัติ มีอิทธานุภาพมากนี้. บทว่า
อิมํ อุทานํ ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้ แสดงถึงการที่พระสารีบุตรนั้น
นั่นแล ถึงความเป็นผู้คงที่.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส เสลูปมํ จิตฺตํ ฐิตํ นานุป-
กมฺปติ
ความว่า จิตของพระขีณาสพใด อุปมาด้วยภูเขาอันล้วนแล้ว

ด้วยหินเป็นแท่งทึบ ตั้งอยู่โดยถึงความเป็นวสี เพราะไม่มีกิเลสเครื่องเอน
เอียงทั้งหมด ย่อมไม่หวั่น คือย่อมไม่ไหว ด้วยโลกธรรมแม้ทั้งปวง.
บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงอาการที่พระขีณาสพนั้น ไม่มีความหวั่น
ไหว พร้อมด้วยเหตุ จึงตรัสคำมีอาทิว่า วิรตฺตํ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิรตฺตํ รชนีเยสุ ความว่า ผู้ปราศจาก
ความยินดี ในธรรมที่เป็นไปในภูมิสามแม้ทั้งหมด อันเป็นเหตุเกิดราคะ
ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ด้วยอริยมรรค คือวิราคธรรม อธิบายว่า
ตัดราคะได้เด็ดขาดโดยประการทั้งปวง ในธรรมที่เป็นไปในภูมิสามนั้น.
บทว่า โกปเนยฺเย ความว่า ย่อมไม่โกรธ คือ ย่อมไม่ขัดเคือง ได้แก่
ไม่ถึงอาการอันผิดแผก ในอาฆาตวัตถุ แม้ทั้งหมดอันเป็นที่ตั้งแห่งความ
ขัดเคือง. บทว่า ยสฺเสวํ ภาวิตํ จิตฺตํ ความว่า จิตอันพระอริยบุคคล
ตามที่กล่าวแล้วใด อบรมแล้ว โดยภาวะอันนำมาซึ่งความเป็นผู้คงที่ด้วย
อาการอย่างนี้ คือ โดยนัยดังกล่าวแล้ว. บทว่า กุโต ตํ ทุกขฺเมสฺสติ
ความว่า ทุกข์จักเข้าถึงซึ่งบุคคลผู้สูงสุดนั้นแต่ที่ไหน คือ แต่สัตว์ หรือ
สังขาร อธิบายว่า บุคคลเช่นนั้น ย่อมไม่มีทุกข์.
จบอรรถกถาชุณหสูตรที่ 4

5. นาคสูตร



ว่าด้วยพระผู้มีพระภาคเจ้าละจากหมู่อยู่ผู้เดียว



[97] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้เมือง
โกสัมพี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเกลื่อนกล่นอยู่ด้วยภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา เดียรถีย์ สาวกแห่ง