เมนู

อรรถกถาโคปาลสูตร



โคปาลสูตรที่ 3 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า โกสเลสุ ความว่า พระราชกุมารชาวชนบท ชื่อว่าโกศล.
ชนบทแห่งหนึ่ง อันเป็นที่อยู่ของพระราชกุมารเหล่านั้น ก็เรียกว่า โกศล
เหมือนกัน ในโกศลชนบทนั้น. บทว่า จาริกํ จรติ ได้แก่ เสด็จเที่ยว
จาริกไปในชนบท โดยเสด็จไปอย่างไม่รีบด่วน. บทว่า มหตา ความว่า
ชื่อว่าใหญ่ เพราะใหญ่โดยคุณบ้าง ชื่อว่าใหญ่ เพราะใหญ่โดยจำนวน
เพราะกำหนดนับไม่ได้บ้าง. บทว่า ภิกฺขุสงฺเฆน ได้แก่ ด้วยหมู่สมณะอัน
ทัดเทียมกันด้วยทิฏฐิและศีล. บทว่า สทฺธึ แปลว่า ด้วยกัน. บทว่า มคฺคา
โอกฺกมฺม
แปลว่า แวะออกจากทาง. บทว่า อญฺญตรํ รุกฺขมูลํ ได้แก่
มูล กล่าวคือที่ใกล้ต้นไม้ใหญ่ มีใบเขียวทึบ มีร่มเงาสนิท. บทว่า
อญฺญตโร โคปาลโก ความว่า ผู้รักษาฝูงโคคนหนึ่งโดยชื่อ ชื่อว่า
นันทะ. ได้ยินว่า นายนันทะนั้นเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก
รักษาฝูงโคของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี หลีกเลี่ยงการกดขี่ของพระราชา
โดยทำเป็นคนเลี้ยงโค รักษาทรัพย์ของตน เหมือนเกณิยชฎิลหลีกเลี่ยง
การกดขี่ด้วยเพศบรรพชาฉะนั้น. เขาถือเอาปัญจโครสตามกาลเวลามายัง
สำนักของมหาเศรษฐีแล้วมอบให้ แล้วไปยังสำนักพระศาสดา พบพระ-
ศาสดา ฟังธรรม และอ้อนวอนพระศาสดาเพื่อเสด็จมายังที่อยู่ของคน.
พระศาสดาทรงรอความแก่กล้าแห่งญาณของเธอนั่นแหละ ภายหลังทรง
แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จจาริกไปในชนบท ทราบว่า บัดนี้
เธอมีญาณแก่กล้าแล้ว จึงเสด็จแวะลงจากทางไม่ไกลแต่ที่ทีเธออยู่ ประตู-
ทับนั่ง ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง รอการมาของเธอ, ผ่ายนายนันทะทราบว่า

ข่าวว่า พระศาสดาเสด็จจาริกชนบทไปจากนี้ จึงหรรษาร่าเริงรีบไปเฝ้า
พระศาสดา ถวายบังคม อันพระศาสดาทรงกระทำปฏิสันถาร แล้วนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่เธอ. เธอ
ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้วนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ถวายข้าวปายาส
7 วัน. ในวันที่ 7 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำอนุโมทนาแล้วเสด็จ
หลีกไป. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจง
นายโคบาลนั้น ผู้นั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่งแล ด้วยธรรมีกถา ฯ ล ฯ
เสด็จลุกขึ้นจากอาสนะหลีกไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺทสฺเสสิ ความว่า พระองค์เมื่อทรง
แสดงธรรมมีกุศลเป็นต้น วิบากของกรรม โลกนี้โลกหน้า โดยประจักษ์
ในนัยมีอาทิว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ในเวลา
จบอนุบุพพิกถา จึงทรงชี้แจงอริยสัจ 4. บทว่า สมาทเปสิ ความว่า
ให้เธอยึดเอาธรรมมีศีลเป็นต้นโดยชอบ คือให้เธอตั้งอยู่ในธรรมมีศีล
เป็นต้นนั้น โดยนัยมีอาทิว่า เพื่อบรรลุสัจจะ เธอให้ธรรมเหล่านี้เกิด
ขึ้นในตน. บทว่า สมุตฺเตเชสิ ความว่า ทรงให้ธรรมเหล่านั้นที่สมาทาน
แล้วอบรมโดยลำดับ อันเป็นส่วนแห่งธรรมเครื่องตรัสรู้ มีความเข้มแข็ง
และสละสลวย ให้อาจหาญโดยชอบ คือให้รุ่งเรืองโดยชอบทีเดียว โดย
ประการที่จะนำมาซึ่งอริยมรรคโดยพลัน. บทว่า สมฺปหํเสสิ ความว่า
ทรงให้ร่าเริงด้วยดี โดยทำจิตให้ผ่องแผ้ว ด้วยการแสดงภาวะแห่งภาวนา
มีคุณวิเศษทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย. อีกอย่างหนึ่ง ในข้อนี้ พึงทราบ
การชี้แจงด้วยบรรเทาสัมโมหะ ในธรรมที่มีโทษและหาโทษมิได้ และใน
สัจจะมีทุกขสัจเป็นต้น การให้สมาทานด้วยการบรรเทาความประมาทใน

สัมมาปฏิบัติ การให้อาจหาญด้วยการบรรเทาการถึงความคร้านแห่งจิต
และความร่าเริงด้วยการสำเร็จสัมมาปฏิบัติ. ด้วยอาการอย่างนี้ เธอจึง
ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ด้วยสามุกกังสิกธรรมเทศนาของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า. บทว่า อธิวาเสสิ ความว่า พระองค์ผู้อันนายโคบาลนั้น ผู้มี
สัจจะอันเห็นแล้วทูลนิมนต์โดยนัยมีอาทิว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับ
นิมนต์ของข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า ไม่ทรงทำองค์คือกายและวาจาให้
ไหว ทรงรับ คือยินดีด้วยพระทัยนั่นเอง. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ท่านจึง
กล่าวว่า ตุณฺหีภาเวน.
บทว่า อปฺโปทกปายาสํ แปลว่า ข้าวปายาสมีน้ำน้อย. บทว่า
ปฏิยาหาเปตฺวา แปลว่า จัดแจง คือตระเตรียม. บทว่า นวญฺจ สปฺปึ
ได้แก่ เอาเนยข้นมาปรุงให้เหลว และให้เป็นเนยใสในขณะนั้นนั่นเอง.
บทว่า สหตฺถา ความว่า เกิดความเอื้อเฟื้อ อังคาสด้วยมือของตนเอง.
บทว่า สนฺตปฺเปสิ ความว่า ให้เสวยโภชนะที่จัดแจงไว้. บทว่า สมฺป-
วาเรสิ
ได้แก่ ทรงห้ามด้วยพระวาจาว่า พอละ พอละ. บทว่า ภุตฺตาวึ
ได้แก่ กิจคือการเสวยพระกระยาหาร. บทว่า โอนีตปตฺตปาณึ ได้แก่
ละพระหัตถ์จากบาตร. ปาฐะว่า โธตปตฺตปาณึ ดังนี้ก็มี. ความว่า ล้าง
พระหัตถ์ในบาตร. บทว่า นีจํ แปลว่า ไม่สูง. การถือเอาอาสนะ (ที่ไม่
สูง) แล้วนั่งบนอาสนะนั้นแหละ เป็นจารีตของผู้อยู่ในอารยประเทศ
ก็เธอนั่งในที่ใกล้อาสนะอันทำด้วยแผ่นกระดาน ที่จัดไว้โดยเป็นอุปจาร
ในสำนักพระศาสดา. บทว่า ธมฺมิยา กถาย เป็นต้น ตรัสหมายเอา
อนุโมทนาที่ทรงกระทำในวันที่ 7. ได้ยินว่า เธอนิมนต์พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า และภิกษุอยู่ในที่นั้นตลอด 7 วัน แล้วบำเพ็ญมหาทาน. ก็ใน

วันที่ 7 ได้ถวายมธุปายาสมีน้ำน้อย. พระศาสดาทรงกระทำอนุโมทนา
แล้วเสด็จหลีกไปเลย เพราะเธอไม่มีญาณแก่กล้าเพื่อมรรคชั้นสูงใน
อัตภาพนั้น.
บทว่า สีมนฺตริกาย ได้แก่ ในระหว่างแดน คือในระหว่างบ้าน
นั้น. ได้ยินว่า พวกชาวบ้านอาศัยสระแห่งหนึ่ง ได้ทำการทะเลาะกับเธอ.
เธอข่มพวกชาวบ้านนั้นแล้วยึดเอาสระนั้น. เพราะเหตุนั้น ชายคนหนึ่ง
จึงผูกอาฆาต ใช้ลูกศรยิงฆ่าเธอ ผู้ถือบาตรของพระศาสดาตามส่งไปไกล
เมื่อพระองค์ตรัสว่า กลับเถอะ อุบาสก เธอจึงถวายบังคมพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้ากระทำประทักษิณ และกระทำอัญชลีภิกษุสงฆ์ แล้วประคองอัญ-
ชลีอันรุ่งโรจน์ด้วยทสนขสโมธาน จนกระทั่งลับสายตา แล้วกลับไปแต่
ผู้เดียวในอรัญประเทศในระหว่างบ้านทั้งสอง. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
อจีรปกฺกนฺตสฺส ฯ เป ฯ โวโรเปสิ ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลายผู้ล่าช้าด้วยกรณียกิจบางอย่างไปทีหลัง เห็นนายโคบาล
ตายเช่นนั้น จึงกราบทูลความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งท่านหมาย
กล่าวไว้ว่า อถ โข สมฺพหุลา ภิกฺขู ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบเนื้อความนี้ว่า เพราะ
เหตุที่บุรุษผู้ฆ่านันทะ อริยสาวกผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิ ขวนขวายแต่อนันตริย-
กรรมซึ่งมิใช่บุญมากมาย ฉะนั้น จิตที่ตั้งไว้ผิดของสัตว์เหล่านี้ ย่อม
กระทำกรรมอันร้ายแรงกว่ากรรมที่โจรกับคนผู้มีเวรพึงทำแก่กัน ดังนี้
แล้วจึงทรงเปล่งอุทานนี้อันแสดงเนื้อความนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิโส ทิสํ ความว่า โจรโจกเห็นโจร
โจก คือโจรเห็นโจร. บาลีที่เหลือว่า ทิสฺวา พึงนำมาเชื่อมเข้า. บทว่า

ยนฺตํ กยิรา ได้แก่ พึงกระทำความวอดวายให้แก่โจรหรือคนผู้มีเวรนั้น.
แม้ในบทที่ 2 ก็นัยนี้เหมือนกัน . ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า โจร
ผู้มักประทุษร้ายมิตรคนหนึ่ง ผิดในวิญญาณก็ทรัพย์และอวิญญาณกทรัพย์
มีบุตร ภรรยา นา สวน โค และกระบือเป็นต้นของโจรคนหนึ่ง ตนผิด
ต่อโจรใด เห็นโจรแม้นั้นผิดในคนเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ ก็หรือว่า
คนมีเวรเห็นคนมีเวรผู้ผูกเวรด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง พึงกระทำความ
วอดวายให้แก่ผู้มีเวรนั้น หรือพึงเบียดเบียนบุตรและภรรยา ก็หรือว่าพึง
ปลงเขาเสียจากชีวิต เพราะความที่ตนเป็นคนหยาบช้าทารุณ จิตที่ชื่อว่า
ตั้งไว้ผิด เพราะตั้งไว้ผิดในอกุศลกรรมบถ 10 พึงทำเขาให้เลวกว่านั้น
คือพึงทำบุรุษนั้นให้เลวกว่านั้น. ความจริง โจรโจกหรือคนมีเวรมีประการ
ดังกล่าวแล้ว พึงทำทุกข์ให้เกิดขึ้นแก่โจรโจกหรือคนมีเวร หรือทำโจร-
โจกหรือคนมีเวรให้สิ้นชีวิตในอัตภาพนี้เท่านั้น ส่วนจิตที่ตั้งไว้ผิดใน
อกุศลกรรมบถ 10 นี้ ย่อมทำเขาให้ถึงความวอดวายในปัจจุบันนี้นั่นแหละ
ย่อมซัดไปในอบาย 4 ไม่ให้เขาเงยศีรษะขึ้นได้ แม้ในแสนอัตภาพ.
จบอรรถกถาโคปาลสูตรที่ 3

4. ชุณหสูตร



ว่าด้วยยักษ์ประหารศีรษะพระสารีบุตร



[93] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลัน-
ทกนิวาปสถาน ใกล้กรุงราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตรและ
ท่านพระมหาโมคคัลลานะอยู่ที่กโปตกันทราวิหาร ก็สมัยนั้น ท่านพระ-