เมนู

3. โคปาลสูตร



ว่าด้วยตรัสให้เห็นแจ้งสมาทานอาจหาญร่าเริง



[91] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในโกศลชนบทพร้อม
ด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแวะออกจาก
ทางแล้ว เสด็จเข้าไปยังโคนต้นไม้แห่งหนึ่ง แล้วประทับนั่งที่อาสนะอัน
บุคคลปูลาดไว้แล้ว ครั้งนั้นแล นายโคบาลคนหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้นายโคบาลนั้นเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้
อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ครั้งนั้นแล นายโคบาลนั้น อันพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงชี้แจ้งให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง ด้วย
ธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงรับภัตของข้าพระองค์เพื่อ
เสวยในวันพรุ่งนี้เถิด พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์โดย
ดุษณีภาพ ลำดับนั้นแล นายโคบาลนั้นทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
รับแล้วลุกออกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำ
ประทักษิณแล้วหลีกไป พอล่วงราตรีนั้นไป นายโคบาลสั่งให้ตกแต่งข้าว
ปายาส มีน้ำน้อย และสัปปิใหม่ อันเพียงพอ ในนิเวศน์ของตนแล้วให้
กราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถึงเวลา
แล้ว ภัตเสร็จแล้ว ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอันตรวาสกแล้ว
ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของนายโคบาลพร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์ ครั้นแล้วประทับนั่งที่อาสนะที่เขาปูลาดถวาย ลำดับนั้นแล

นายโคบาลอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยข้าวปายาสมีน้ำ
น้อยและสัปปิใหม่ให้อิ่มหนำสำราญด้วยมือของตน เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
เสวยเสร็จชักพระหัตถ์จากบาตรแล้ว นายโคบาลถือเอาอาสนะต่ำแห่งหนึ่ง
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้นายโคบาลนั้น
เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา แล้วเสด็จลุกจาก
อาสนะหลีกไป.
[92] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน
บุรุษคนหนึ่งได้ปลงชีวิตนายโคบาลนั้นในระหว่างเขตบ้าน ลำดับนั้นแล
ภิกษุมากด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว
นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้ทราบว่า นายโคบาลอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระ-
พุทธเจ้าเป็นประมุขให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวปายาสมีน้ำน้อยและสัปปิใหม่
ด้วยมือของตนในวันนี้แล้ว ถูกบุรุษคนหนึ่งปลงชีวิตเสียแล้วในระหว่าง
เขตบ้าน.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
โจรหัวโจกเห็นโจรหัวโจกแล้ว พึงทำความฉิบ-
หายหรือความทุกข์ให้ ก็หรือคนมีเวรเห็นคนมีเวร
แล้ว พึงทำความฉิบหายหรือความทุกข์ให้ จิตที่ตั้ง
ไว้ผิดพึงยังเขาให้เลวกว่านั้น.

จบโคปาลสูตรที่ 3

อรรถกถาโคปาลสูตร



โคปาลสูตรที่ 3 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า โกสเลสุ ความว่า พระราชกุมารชาวชนบท ชื่อว่าโกศล.
ชนบทแห่งหนึ่ง อันเป็นที่อยู่ของพระราชกุมารเหล่านั้น ก็เรียกว่า โกศล
เหมือนกัน ในโกศลชนบทนั้น. บทว่า จาริกํ จรติ ได้แก่ เสด็จเที่ยว
จาริกไปในชนบท โดยเสด็จไปอย่างไม่รีบด่วน. บทว่า มหตา ความว่า
ชื่อว่าใหญ่ เพราะใหญ่โดยคุณบ้าง ชื่อว่าใหญ่ เพราะใหญ่โดยจำนวน
เพราะกำหนดนับไม่ได้บ้าง. บทว่า ภิกฺขุสงฺเฆน ได้แก่ ด้วยหมู่สมณะอัน
ทัดเทียมกันด้วยทิฏฐิและศีล. บทว่า สทฺธึ แปลว่า ด้วยกัน. บทว่า มคฺคา
โอกฺกมฺม
แปลว่า แวะออกจากทาง. บทว่า อญฺญตรํ รุกฺขมูลํ ได้แก่
มูล กล่าวคือที่ใกล้ต้นไม้ใหญ่ มีใบเขียวทึบ มีร่มเงาสนิท. บทว่า
อญฺญตโร โคปาลโก ความว่า ผู้รักษาฝูงโคคนหนึ่งโดยชื่อ ชื่อว่า
นันทะ. ได้ยินว่า นายนันทะนั้นเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก
รักษาฝูงโคของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี หลีกเลี่ยงการกดขี่ของพระราชา
โดยทำเป็นคนเลี้ยงโค รักษาทรัพย์ของตน เหมือนเกณิยชฎิลหลีกเลี่ยง
การกดขี่ด้วยเพศบรรพชาฉะนั้น. เขาถือเอาปัญจโครสตามกาลเวลามายัง
สำนักของมหาเศรษฐีแล้วมอบให้ แล้วไปยังสำนักพระศาสดา พบพระ-
ศาสดา ฟังธรรม และอ้อนวอนพระศาสดาเพื่อเสด็จมายังที่อยู่ของคน.
พระศาสดาทรงรอความแก่กล้าแห่งญาณของเธอนั่นแหละ ภายหลังทรง
แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จจาริกไปในชนบท ทราบว่า บัดนี้
เธอมีญาณแก่กล้าแล้ว จึงเสด็จแวะลงจากทางไม่ไกลแต่ที่ทีเธออยู่ ประตู-
ทับนั่ง ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง รอการมาของเธอ, ผ่ายนายนันทะทราบว่า