เมนู

เกิดขึ้นและความเสื่อมไปแล้วครอบงำถีนมิทธะ พึง
ละทุคติทั้งหมดได้.
จบอุทธตสูตรที่ 2

อรรถกถาอุทธตสูตร



อุทธสูตรที่ 2 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า กุสินารายํ ได้แก่ ใกล้นครของเจ้ามัลละ ชื่อว่ากุลินารา.
บทว่า อุปวตฺตเน มลฺลานํ สาลวเน ความว่า อุทยานแห่งกุสินารานคร
มีอยู่ในทักษิณทิศและปัจฉิมทิศ เหมือนถูปารามแห่งอนุราธบุรี. ทางจาก
ถูปารามเข้าไปยังนคร โดยประตูด้านทักษิณทิศ ตรงไปด้านปาจีนทิศ
วกกลับทางด้านอุดรทิศ ฉันใด แนวไม้สาละจากอุทยานตรงไปด้าน
ปาจีนทิศวกกลับทางด้านอุตรทิศ ก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกว่า
อุปวัตตนะ เป็นที่แวะเวียน ( ทางโค้ง). ในสาลวันของเจ้ามัลละอันเป็นที่
แวะเวียนนั้น. บทว่า อรญฺญกุฏิกายํ ได้แก่ กระท่อมที่สร้างไว้ในที่
อันดาดาษไปด้วยต้นไม้และกอไม้ ไม่ไกลจากแถวต้นสาละซึ่งท่านหมาย
กล่าวไว้ว่า อรญฺญกุฏิกายํ วิหรนฺติ. ก็ภิกษุเหล่านั้นเว้นการพิจารณา มี
ความเพียรย่อหย่อน อยู่ด้วยความประมาท. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
อุทฺธตา ดังนี้เป็นต้น.
ในภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้ชื่อว่า อุทธตะ เพราะมีจิตไม่สงบ เหตุมาก
ไปด้วยอุทธัจจะ. มานะชื่อว่านฬะ เพราะเป็นเหมือนไม้อ้อ โดยเป็นของ
เปล่า. ภิกษุชื่อว่า อุนนฬะ เพราะมีนฬะ กล่าวคือมานะสูง อธิบายว่า
มีมานะสูงเปล่า. ชื่อว่า จปละ เพราะประกอบหรือมากไปด้วยความ

กวัดแกว่งมีประดับบาตรและจีวรเป็นต้น. ชื่อว่า มุขระ เพราะมีปากกล้า
เหตุมีวาจาหยาบ. ชื่อว่า วิกิณณวาจา เพราะมีวาจาพล่อย คือเหลวไหล
เหตุมากไปด้วยดิรัจฉานกถา. ชื่อว่า มุฏฐัสสติ เพราะมีสติหลงลืม.
อธิบายว่า เว้นจากสติ คืออยู่ด้วยความประมาท. ชื่อว่า อสัมปชานะ
เพราะไม่มีสัมปชัญญะโดยประการทั้งปวง. ชื่อว่า อสมาหิตะ เพราะมี
จิตไม่ตั้งมั่น โดยไม่มีความตั้งมั่นแห่งจิตตลอดเวลามีการพูดคุยเป็นประ-
มาณ. ชื่อว่า วิพภันตจิตตะ เพราะมีส่วนเปรียบด้วยมฤคตื่นตูม เหตุมี
ความโลเลเป็นสภาวะ. ชื่อว่า ปากตินทรีย์ เพราะเป็นผู้ไม่สำรวมอินทรีย์
โดยไม่สำรวมอินทรีย์มีมนินทรีย์เป็นที่ 6.
บทว่า เอตมตฺถํ วิหิตฺวา ความว่า ทรงทราบว่าภิกษุเหล่านั้นอยู่
ด้วยความประมาท ด้วยอำนาจอุทธัจจะเป็นต้นนี้. บทว่า อิมํ อุทานํ
ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้อันประกาศโทษและอานิสงส์ตามลำดับ ใน
การอยู่ด้วยความประมาทและอยู่ด้วยความไม่ประมาท.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อรกฺขิเตน ความว่า ชื่อว่าไม่คุ้มครอง
เพราะไม่มีสติเป็นอารักขา. บทว่า กาเยน ได้แก่ ด้วยกายวิญญาณ 6.
ก็เพราะเห็นรูปด้วยจักขุวิญญาณ แล้วไม่ใช้สติรักษาทวารแห่งวิญญาณ
โดยให้อภิชฌาเป็นต้นเกิดด้วยการถือนิมิตและอนุพยัญชนะในรูปนั้น. แม้
ในโสตวิญญาณก็นัยนี้เหมือนกัน. พระองค์ตรัสว่า อรกฺขิเตน กาเยน
หมายถึงความที่ภิกษุไม่รักษาวิญญาณกาย 6 ด้วยอาการอย่างนี้. แต่
อาจารย์บางพวกกล่าวอรรถว่า กาเยน ดังนี้. พึงประกอบสติด้วยอรรถ-
โยชนาของอาจารย์บางพวกแม้เหล่านั้น โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า อรกฺขิเตน จิตฺเตน. อรรถของอาจารย์อีก

พวกหนึ่งแม้นั้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐิหเตน ได้แก่ ถูก
ความถือผิดว่าเที่ยงเป็นต้นประทุษร้ายแล้ว. บทว่า ถีนมิทฺธาภิภูเตน
ความว่า ถูกถีนะอันมีความที่จิตไม่ควรแก่การงานเป็นลักษณะ และถูก
มิทธะมีความที่กายไม่ควรแก่การงานเป็นลักษณะครอบงำแล้ว เชื่อมความ
ว่าด้วยกายนั้น หรือว่าด้วยจิตนั้น. บทว่า วสํ มารสฺส คจฺฉติ ความว่า
เข้าถึงอำนาจคือ ความที่ตนถูกมารทั้งหมดมีกิเลสมารเป็นต้นทำเอาตาม
ปรารถนา อธิบายว่า ไม่ล่วงเลยวิสัยของมารเหล่านั้นไปได้.
จริงอยู่ ด้วยพระคาถานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงวัฏฏะโดยมุข
คือทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้นผู้อยู่ด้วยความประมาทว่า ภิกษุเหล่าใดไม่
รักษาจิตโดยประการทั้งปวง เพราะไม่มีสติเป็นอารักขา ผู้ยึดถือการแสวง
หาผิดโดยนัยมีอาทิว่าเที่ยง โดยอโยนิโสผุดขึ้น เพราะไม่มีปัญญาอันเป็น
เหตุแห่งโยนิโสมนสิการ เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ ภิกษุเหล่านั้นจึงชื่อว่า
ถูกโกสัชชะครอบงำ เพราะไม่มีวิริยารัมภะในการบำเพ็ญกุศล จักเงยศีรษะ
ขึ้นจากวัฏฏะไม่ได้ บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงวิวัฏฏะ (คือนิพพาน) จึงตรัส
พระคาถาที่ 2 ว่า ตสฺมา รกฺขิตจิตฺตสฺส ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺมา รกฺขิตจิตฺตสสฺส ความว่า ก็
เพราะเหตุที่ภิกษุผู้ไม่รักษาจิต ถูกมารทำเอาตามประสงค์ จึงอยู่ในสงสาร
เท่านั้น ฉะนั้น ภิกษุพึงเป็นผู้รักษาจิตด้วยรักษาคือปิดกั้นอินทรีย์ทั้งหลาย
มีมนินทรีย์เป็นที่ 6 ด้วยสติสังวร. เพราะเมื่อเธอรักษาจิตได้แล้ว เป็น
อันชื่อว่ารักษาอินทรีย์มีจักขุนทรีย์เป็นต้นได้ด้วยแล. บทว่า สมฺมาสงฺ-
กปฺปโคจโร
ความว่า เพราะเหตุที่ภิกษุมีมิจฉาสังกัปปะเป็นอารมณ์ จึง
ตรึกโดยไม่แยบคาย ยึดถือมิจฉาทัสสนะต่าง ๆ มีจิตอันมิจฉาทิฏฐิขจัด

แล้ว เป็นผู้ถูกมารทำเอาตามปรารถนา ฉะนั้น เมื่อจะทำกรรมโดยโยนิโส-
มนสิการ พึงเป็นผู้มีความดำริชอบมีความดำริในการออกจากกามเป็นต้น
เป็นอารมณ์ พึงกระทำความดำริชอบอันสัมปยุตด้วยฌานเป็นต้นเท่านั้น
ให้เป็นฐานที่เป็นไปแห่งจิตของตน. บทว่า สมฺมาทิฏฺฐิปุเรกฺขาโร ความ
ว่า ภิกษุผู้กำจัดมิจฉาทัสสนะด้วยความเป็นผู้มีสัมมาสังกัปปะเป็นอารมณ์
พุ่งมุ่งกระทำสัมมาทิฏฐิ. อันมีความดี ที่สัตว์มีกรรมเป็นของตนเป็นเบื้อง
หน้าเป็นลักษณะ และต่อจากนั้นมียถาภูตญาณเป็นลักษณะ จึงขวนขวาย
ประกอบในศีลและสมาธิ โดยนัยดังกล่าวแล้วในก่อนนั่นแล เริ่มวิปัสสนา
พิจารณาสังขาร รู้ความเกิดและความดับแห่งสังขาร กำหนดการเกิดและ
การดับในอุปาทานขันธ์ 5 ด้วยอาการ 50 ถ้วนบรรลุอุทยัพพยญาณ ต่อ
จากนั้น จึงบำเพ็ญวิปัสสนาด้วยอำนาจภังคานุปัสสนาญาณเป็นต้น ยึด
เอาอริยมรรคได้โดยลำดับ ชื่อว่าเป็นภิกษุผู้ครอบงำถีนมิทธะ ละทุคติ
ทั้งปวงได้ด้วยอรหัตมรรคแล. ด้วยอาการอย่างนี้ เธอชื่อว่าเป็นภิกษุ
ผู้ขีณาสพทำลายกิเลสโดยประการทั้งปวง เพราะละกิเลสอันมรรคเบื้องต่ำ
พึงฆ่าได้ก่อน เพราะตัดขาดถีนมิทธะอันเกิดในจิตตุปบาทที่เกิดพร้อม
ด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิวิปยุต ด้วยอรหัตมรรคที่ตนบรรลุ จากนั้นจึงละ
กิเลสมีมานะเป็นต้น อันรวมอยู่ในฐานเดียวกันกับโลภะนั้น เพราะตัด
มูลแห่งภพได้เด็ดขาด จึงชื่อว่าละ คือละขาดคติทั้งปวง กล่าวคือทุคติ
เพราะประกอบด้วยความเป็นทุกข์ 3 ประการ อธิบายว่า พึงตั้งอยู่ใน
ส่วนอื่นของคติเหล่านั้น คือในพระนิพพาน.
จบอรรถกถาอุทธตสูตรที่ 2

3. โคปาลสูตร



ว่าด้วยตรัสให้เห็นแจ้งสมาทานอาจหาญร่าเริง



[91] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในโกศลชนบทพร้อม
ด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแวะออกจาก
ทางแล้ว เสด็จเข้าไปยังโคนต้นไม้แห่งหนึ่ง แล้วประทับนั่งที่อาสนะอัน
บุคคลปูลาดไว้แล้ว ครั้งนั้นแล นายโคบาลคนหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้นายโคบาลนั้นเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้
อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ครั้งนั้นแล นายโคบาลนั้น อันพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงชี้แจ้งให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริง ด้วย
ธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงรับภัตของข้าพระองค์เพื่อ
เสวยในวันพรุ่งนี้เถิด พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์โดย
ดุษณีภาพ ลำดับนั้นแล นายโคบาลนั้นทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
รับแล้วลุกออกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำ
ประทักษิณแล้วหลีกไป พอล่วงราตรีนั้นไป นายโคบาลสั่งให้ตกแต่งข้าว
ปายาส มีน้ำน้อย และสัปปิใหม่ อันเพียงพอ ในนิเวศน์ของตนแล้วให้
กราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถึงเวลา
แล้ว ภัตเสร็จแล้ว ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอันตรวาสกแล้ว
ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของนายโคบาลพร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์ ครั้นแล้วประทับนั่งที่อาสนะที่เขาปูลาดถวาย ลำดับนั้นแล