เมนู

ตัณหาได้ ทั้งไม่เพลิดเพลินวิภวตัณหา ความดับด้วย
อริยมรรคเป็นเครื่องสำรอกไม่มีส่วนเหลือ เพราะ
ความสิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง
เป็นนิพพาน ภพไม่ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้ดับแล้ว
เพราะไม่ถือมั่น ภิกษุนั้นครอบงำมาร ชนะสงคราม
ล่วงภพได้ทั้งหมดเป็นผู้คงที่ฉะนี้แล.
จบโลกสูตรที่ 10
จบนันทวรรคที่ 3

อรรถกถาโลกสูตร


โลกสูตรที่ 10 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
อาสยานุสยญาณ และอินทริยปโรปริยัตญาณ ชื่อว่า พุทธจักษุ
ในคำว่า พุทฺธจกฺขุนา นี้. สมดังที่ท่านกล่าวคำมีอาทิว่า พระผู้มีพระภาค-
เจ้า เมื่อทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุได้ทรงเห็นแล้วแล ซึ่งเหล่า
สัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อย ผู้มีกิเลสดุจฉุลีในดวงตามาก ผู้มีอินทรีย์
แก่กล้า ผู้มีอินทรีย์อ่อน. บทว่า โลกํ ได้แก่ โลก 3 คือ โอกาสโลก 1
สังขารโลก 1 สัตวโลก 1. ในโลกทั้ง 3 นั้น โอกาสโลก ตรัสไว้ใน
ประโยคมีอาทิว่า
พระจันทร์พระอาทิตย์ เวียนรอบส่องทิศให้
สว่างไสวมีประมาณเท่าใด โอกาสโลก มีประมาณ
พันหนึ่งเท่านั้น อำนาจของท่าน เป็นไปในโอกาส
โลกนี้.

สังขารโลก ตรัสไว้ในประโยคมีอาทิว่า โลก 1 ได้แก่สัตว์ทั้งปวง
ดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร. โลก 2 ได้แก่นามและรูป. โลก 3 ได้แก่ เวทนา
3. โลก 4 ได้แก่ อาหาร 4. โลก 5 ได้แก่ อุปาทานขันธ์ 5. โลก 6
ได้แก่ อายตนะภายใน 6. โลก 7 ได้แก่ วิญญาณฐิติ 7. โลก 8 ได้แก่
โลกธรรม 8. โลก 9 ได้แก่ สัตตาวาส 9. โลก 10 ได้แก่ อายตนะ
10. โลก 12 ได้แก่ อายตนะ 12. โลก 18 ได้แก่ ธาตุ 18. สัตว-
โลก ตรัสไว้ในประโยคมีอาทิว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง. แม้ในที่นี้ พึง
ทราบสัตวโลก. บรรดาโลกเหล่านั้น โลกกล่าวคือจักรวาล ชื่อว่า โอกาส-
โลก เพราะอรรถว่า เห็นคือปรากฏโดยอาการวิจิตร. สังขาร ชื่อว่า
โลก เพราะอรรถว่า ย่อยยับ คือผุพัง. ชื่อว่า สัตวโลก เพราะอรรถว่า
เป็นที่ดูบุญและบาปและผลแห่งบุญและบาป. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง
อนุเคราะห์ ในสัตว์เหล่านั้นด้วยพระมหากรุณา มีพระประสงค์จะให้สัตว์
เหล่านั้นพ้นจากสังสารทุกข์ จึงตรวจดูสัตว์โลก. ก็พระองค์ทรงตรวจดู
สัปดาห์ไหน ? สัปดาห์ที่ 1. จริงอยู่ ในที่สุดแห่งปัจฉิมยาม ในวันสุด
สัปดาห์ที่ทรงเข้าสมาธิ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเปล่งอุทานอันแสดง
อานุภาพแห่งอริยมรรคนี้ว่า เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏ ฯลฯ
เหมือนพระอาทิตย์ส่องไสวในกลางหาว ดังนี้ จึงตรวจดูสัตวโลกว่า อันดับ
แรก เราใช้เรือคือธรรมนี้ข้ามห้วงน้ำใหญ่คือสงสาร ที่แสนจะข้ามได้โดย
ยากอย่างนี้ จึงยืนอยู่ที่ฝั่งคือพระนิพพาน เอาเถิด บัดนี้ ถึงสัตวโลกเราก็
จักให้ข้ามด้วย สัตวโลก เป็นอย่างไรหนอ ดังนี้. ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า
ครั้นล่วง 7 วันนั้นไป พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จออกจากสมาธินั้น ทรง
ตรวจดูสัตวโลก ด้วยพุทธจักษุ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โลโลเกสิ ความว่า ทรงเห็นโดยอาการ
ต่าง ๆ คือกระทำให้ประจักษ์ด้วยญาณของพระองค์ เหมือนผลมะขามป้อม
ที่วางไว้บนฝ่ามือ. บทมีอาทิว่า อเนเกหิ สนฺตาเปหิ เป็นบทแสดงอาการ
ดูแล. บทว่า อเนเกหิ สนฺตาเปหิ ได้แก่ ด้วยความทุกข์เป็นอเนก.
จริงอยู่ ทุกข์ท่านเรียกว่า สันตาปะ เพราะอรรถว่าทำให้เดือดร้อน.
เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า ทุกข์มีอรรถว่าบีบคั้น มีอรรถว่าปรุงแต่ง
มีอรรถว่าทำให้เดือดร้อน มีอรรถว่าแปรปรวน. ก็ทุกข์นั้น มีอรรถ
หลายประการ ด้วยอำนาจทุกขทุกข์เป็นต้น และด้วยอำนาจชาติเป็นต้น
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เอนเกหิ สนฺตาเปหิ. ผู้เดือดร้อน คือถูก
ทุกข์เป็นอเนก บีบคั้น เบียดเบียน. บทว่า ปริฬาเหหิ แปลว่า ด้วย
ความเร่าร้อน. บทว่า ปริฑยฺหมาเน ได้แก่ ผู้ถูกไฟเผารอบด้านเหมือน
เชื้อไฟ. บทว่า ราคเชหิ แปลว่า เกิดแต่ราคะ. แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้.
จริงอยู่ กิเลสมีราคะเป็นต้นย่อมเกิดในสันดานใด ย่อมเบียดเบียนสันดาน
นั้น เหมือนเผาอยู่. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุ-
ทั้งหลาย ไฟ 3 กองนี้ ราคัคคิ ไฟคือราคะ โทสัคคิ ไฟคือโทสะ โมหัคคิ
ไฟคือโมหะ. เพราะไฟเหล่านั้นทำจิตและกายให้เศร้าหมอง ฉะนั้น จึง
เรียกว่ากิเลส. ก็ในบทเหล่านี้ ด้วยบทว่า ปริฑยฺหมาเน นี้ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงแสดงถึงกิเลสมีราคะเป็นต้นปวัตติทุกข์ และความที่
สัตว์ถูกปวัตติทุกข์นั้นครองงำ. อนึ่ง ด้วยบทว่า สนฺตปฺปมาเน นี้ ทรง
แสดงถึงความที่สัตว์เหล่านั้น เป็นทุกข์ทุกระยะกาล และความเป็นผู้มี
อันตรายไม่ขาดระยะเพราะทุกข์นั้น.

จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอปราชิตบังลังก์ ณ ควง-
โพธิพฤกษ์ ในปฐมยามทรงระลึกถึงบุพเพนิวาสญาณ ในมัชฌิมยามทรง
ชำระทิพยจักษุ ในปัจฉิมยามทรงหยั่งญาณลงในปฏิจจสมุปบาท ทรงรู้
ยิ่งวัฏทุกข์อันมีกิเลสเป็นมูล ทรงพิจารณากำหนดสังขาร เจริญวิปัสสนา
โดยลำดับ ทรงกำจัดกิเลสให้ปราศจากไป ตรัสรู้ยิ่งด้วยพระองค์เองด้วย
การบรรลุพระอริยมรรค เพราะทรงละกิเลสได้เด็ดขาดในลำดับปัจจเวก-
ขณญาณแล้วจึงทรงเปล่งอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ดังนี้เป็นต้น อัน
แสดงถึงความที่พระองค์สิ้นวัฏทุกข์ ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ทรง
ละ ประทับนั่งขัดสมาธิเสวยวิมุตติสุขตลอด 7 วัน ในยาม 3 แห่งราตรี
ที่ 7 ทรงเปล่งอุทาน 3 อย่าง โดยนัยดังกล่าวแล้ว ในลำดับแห่งอุทาน
ที่ 3 ทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ทรงเห็นว่า วัฏทุกข์ของสัตว์ทั้งสิ้น
นี้ มีกิเลสเป็นมูล ขึ้นชื่อว่ากิเลสเหล่านี้เป็นปวัตติทุกข์ (ทุกข์ในปัจจุบัน)
และเป็นเหตุแห่งทุกข์แม้ต่อไป เพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านี้ จึงเดือดร้อน
หม่นไหม้ เพราะกิเลสเหล่านั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อทฺทสา
โข ภควา ฯ เป ฯ โมหเชหิปิ ดังนี้.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบโดยประการทั้งปวง
ถึงความที่สัตวโลกถูกความเร่าร้อนหม่นไหม้ดังกล่าวแล้วครอบงำอยู่. บท
ว่า อุทานํ อุทาเนสิ ความว่า ทรงเปล่งมหาอุทานนี้ อันประกาศถึงความ
ดับสนิท ความเร่าร้อนหม่นไหม้ทั้งปวง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อยํ โลโก สนฺตปชาโต ความว่า
สัตว์โลกนี้แม้ทั้งหมดเกิดความเดือดร้อน เพราะชรา โรค และมรณะ
เพราะความวอดวายต่าง ๆ และเพราะความกลุ้มรุมแห่งกิเลส อธิบายว่า

ถูกทุกข์ทางกายและใจที่เกิดขึ้นแล้วครอบงำ. บทว่า ผสฺสปเรโต ความ
ว่า ผู้ถูกทุกขสัมผัสเป็นอเนกนั่นแหละครองงำ คือเบียดเบียน. อีกอย่าง
หนึ่ง บทว่า ผสฺสปเรโต ความว่า ผู้ถูกผัสสะทั้ง 6 อันเป็นปัจจัยแก่
ทุกขเวทนา 3 กล่าวคือสุขเวทนาเป็นต้นครองงำ คือติดข้องอยู่ด้วยความ
เป็นไปในอารมณ์นั้น ๆ ทางทวารนั้น ๆ. บทว่า โรคํ วทติ อตฺตโต
ความว่า สัตวโลก เมื่อไม่รู้ตามความเป็นจริงถึงโรค ทุกข์ หรือเบญจขันธ์
กล่าวคือเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ย่อมกล่าวโดยเป็นอัตตาว่า
เราได้รับสุข รับทุกข์ ด้วยอำนาจการถือผิดด้วยสำคัญว่าเป็นเรา. อาจารย์
บางพวกกล่าวว่า อตฺตโน ดังนี้ก็มี. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า สัตวโลกนี้
นั้นถูกทุกขธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งครอบงำ เมื่อไม่อาจอดกลั้นไว้ได้เพราะ
ไม่ได้เจริญอัตตา จึงบ่นเพ้อไปโดยนัยมีอาทิว่า โอ ทุกข์ ทุกข์เช่นนี้จง
อย่ามีแม้แก่ตนของเรา จึงกล่าวถึงโรคของตนอย่างเดียว แต่ไม่ปฏิบัติ
เพื่อละโรคนั้น. อีกอย่างกนึ่ง สัตวโลกเมื่อไม่รู้ตามเป็นจริงถึงทุกข์ตามที่
กล่าวแล้วนั้น จึงกล่าวว่า ของตน ด้วยความสำคัญว่า ของเรา คือเปล่ง
วาจาว่า นี้ของเรา ด้วยอำนาจตัณหาคาหะ (การยึดถือด้วยอำนาจตัณหา).
บทว่า เยน หิ มญฺญติ ความว่า สัตวโลกเมื่อกล่าวเบญจขันธ์
อันเป็นตัวโรคนี้ โดยความเป็นตน หรือของตน ด้วยอาการอย่างนี้ จึง
สำคัญโดยทิฏฐิ มานะและตัณหา โดยประการอันเป็นเหตุมีรูปและเวทนา
เป็นต้นใด หรือโดยประการมีความเป็นของเที่ยงเป็นต้นใด. บทว่า ตโต
ตํ โหติ อญฺญกา
ความว่า เบญจขันธ์อันเป็นวัตถุแห่งความสำคัญนั้น
ว่าตนในสิ่งที่มิใช่ตน อธิบายว่า ไม่ทำความอหังการ มมังการให้สำเร็จ

เพราะไม่อาจให้อยู่ในอำนาจได้. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ตโต ความว่า
เบญจขันธ์นั้นอันบุคคลสำคัญว่าเที่ยงเป็นต้น ย่อมเป็นโดยประการอื่น คือ
เป็นสภาวะไม่เที่ยงเป็นต้นทีเดียว เพราะภาวะเพียงสักว่าความสำคัญนั้น.
ก็ความสำคัญไม่สามารถทำภาวะหรือลักษณะให้เป็นอย่างอื่นได้.
บทว่า อญฺญถาภาวี ภวสตฺโต ความว่า สัตวโลกผู้ติดข้องในความ
เจริญในหิตสุขที่ยังไม่เกิด แม้จะคิดตามความพอใจ ด้วยความสำคัญ
ก็มีความเป็นอย่างอื่นจากความสำคัญนั้นด้วยการปฏิบัติผิด มีแต่สิ่งที่ไร้
ประโยชน์และเป็นทุกข์ ประสบแต่ความคับแค้นถ่านเดียว. บทว่า
ภวเมวาภินนฺทติ ความว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ยังเพลิดเพลินคือหวัง
ภพ คือความเจริญที่ไม่มีซึ่งตนกำหนดโดยความสำคัญผิดนั้นเท่านั้น. อีก
อย่างหนึ่ง บทว่า อญฺญถาภาวี ความว่า มีความเป็นอย่างอื่นด้วยตัวเอง
จากอาการที่กำหนดด้วยความสำคัญโดยนัยมีอาทิว่า อัตตาของเราเที่ยง
แต่เป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน. บทว่า ภวสฺตโต ความว่า สัตวโลกติด
ข้องสยบอยู่ เพราะภวตัณหาในกามภพเป็นต้น. บทว่า ภวเมวาภินนฺทติ
ความว่า ยึดถือภพอันมีสภาวะไม่เที่ยงนั่นแล โดยเป็นของเที่ยง แล้ว
เพลิดเพลินความสำคัญอันน้อมไปในภพนั่นแหละ ด้วยความยินดีภพด้วย
อำนาจตัณหาและทิฏฐิ คือไม่เบื่อหน่ายในภพนั้น. บทว่า ยทภินนฺทติ ตํ
ภยํ
ความว่า ภพคือความเจริญหรือภพมีกามเป็นต้น ที่สัตวโลกเพลิด-
เพลินนั้น ชื่อว่าเป็นภพ เพราะอรรถว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง โดยเป็นเหตุเกิด
ภพ เพราะมีสภาวะแปรปรวนมีไม่เที่ยงเป็นต้น และเพราะถูกความพินาศ
หลายประการติดตาม. บทว่า ยสฺส ภายติ ความว่า ชราและมรณะ
เป็นต้นอันเป็นเหตุให้สัตวโลกกลัวนั้น จัดเป็นทุกข์เพราะเป็นที่ตั้งแห่ง



ทุกข์ และเพราะเป็นตัวทุกข์. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ยสฺส ภายติ ความว่า
สัตวโลกย่อมกลัวต่อการเสพใด เพราะความเพลิดเพลินภพ การเสพกล่าว
คือความขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ) นั้น และความกลัวแต่การเสพนั้น จัดว่าเป็น
ทุกข์ คือมีสภาวะเป็นทุกข์ทีเดียว เพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ และเพราะ
ทุกข์มีชาติทุกข์เป็นต้นไม่กลับกลาย (เป็นอย่างอื่น). อีกอย่างหนึ่ง บทว่า
ยสฺส ภายติ ตํ ทุกฺขํ ความว่า ความกลัวที่สัตวโลกผู้ไม่รู้การสลัดออก
ซึ่งอนิจจลักษณะเป็นต้นที่ตนกลัวนั้น เป็นทุกข์คือนำทุกข์มาให้เขา.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงวัฏฏะด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล้ว
บัดนี้ เพื่อจะแสดงวิวัฏฏะ (นิพพาน) จึงตรัสว่า ก็บุคคลอยู่ประพฤติ
พรหมจรรย์นี้เพื่อละขาดจากภพแล.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภววิปฺปหานาย ได้แก่ เพื่อละกามภพ
เป็นต้น. ศัพท์ว่า โข ใช้ในอรรถอวธารณะห้ามความอื่น. ศัพท์ว่า ปน
เป็นนิบาตใช้ในอรรถปทปูรณะ ทำให้เต็มบท. บทว่า อิทํ เป็นบทกล่าว
เฉพาะที่ใกล้. บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่ มรรคพรหมจรรย์. บทว่า วุสฺสติ
แปลว่า ย่อมบำเพ็ญ. ท่านอธิบาย คำนี้ไว้ว่า มรรคพรหมจรรย์อันประ-
กอบด้วยองค์ 8 นี้ สงเคราะห์ด้วยขันธ์ 3 มีศีลขันธ์เป็นต้น เราประพฤติ
สิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง บำเพ็ญบารมีมาสิ้น 4 อสงไขยกำไรแสนกัป แล้วเหยียบ
ย่ำหัวมารทั้ง 3 ที่ควงไม้โพธิ์ได้บรรลุแล้ว จึงประพฤติ บำเพ็ญ เพื่อ
ประโยชน์แก่การละอย่างเด็ดขาด ด้วยการละเหตุเกิดแห่งกามภพเป็นต้น
โดยส่วนเดียว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงอริยมรรคอันเป็นเหตุนำสัตว์ออก
จากทุกข์โดยแท้จริงด้วยประการฉะนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงถึงความ

ไม่มีมรรคอื่นจากอริยมรรคนั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า เย หิ เกจิ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เย เป็นบทแสดงไขความไม่แน่นอน
คำว่า หิ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า เกจิ ได้แก่ บางพวก. แม้ด้วยบททั้ง
สองท่านถือเอาคนผู้มีวาทะอย่างนั้นซึ่งมีทิฏฐิเป็นคติ โดยไม่กำหนดแน่
นอน. บทว่า สมณา ได้แก่ เป็นสมณะด้วยเพียงเข้าไปบวช ไม่ใช่ด้วย
การสงบบาป. บทว่า พฺรหฺมณา ได้แก่ เป็นพราหมณ์โดยเหตุเพียงกำเนิด
ไม่ใช่ผู้ลอยบาป. วา ศัพท์เป็นวิกัปปัตถะ. บทว่า ภเวน ภวสฺส วิปฺป-
โมคฺขมาหํสุ
ความว่า สมณพราหมณ์บางพวก กล่าวความหลุดพ้นจาก
ภพทั้งปวง คือความบริสุทธิ์จากสงสาร ด้วยกามภพหรือรูปภพ. ถามว่า
ก็สมณพราหมณ์พวกไรกล่าวอย่างนี้ ? ตอบว่า พวกที่กล่าวถึงนิพพาน
ในปัจจุบัน. ก็บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น บางพวกกล่าวว่าอัตตาที่
เพียบพร้อมด้วยกามคุณ 5 อย่างสูง ย่อมถึงความดับ (นิพพาน) อย่างยิ่ง
ในปัจจุบัน. บางพวกกล่าวว่า บรรดาฌานฝ่ายรูปาวจร อัตตาผู้พรั่งพร้อม
ด้วยปฐมฌาน ฯลฯ บางพวกกล่าวว่า อัตตาผู้พรั่งพร้อมด้วยจตุตถฌาน
ย่อมถึงพระนิพพานอย่างยิ่งในปัจจุบัน. เหมือนดังที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย บุคคลบางคนในพระศาสนานี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็
ตามมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้แหละ
เพียบพร้อมด้วยกามคุณ 5. พึงทราบความพิสดาร.
แต่เกจิอาจารย์เหล่านั้นกล่าวว่า เพราะเหตุที่การแสวงหากามเป็นต้น
เพื่อตน จักไม่มีแก่ผู้ที่เพียบพร้อมด้วยสุขเป็นต้น เหมือนปลิงที่อิ่มแล้ว
เพราะดื่มไว้เต็มที่ ไม่มีการกระหายเลือด ก็เมื่อไม่มีการแสวงหากาม ภพก็
ไม่มีเหมือนกัน ก็นัยนี้ควรได้แก่ผู้ตั้งอยู่ในภพใด ๆ ความหลุดพ้นจาก

ภพทั้งปวงย่อมมีได้ด้วยภพนั้น ๆ ฉะนั้น จึงตรัสว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย
กล่าวการหลุดพ้นจากภพด้วยภพ ดังนี้. ก็แม้ผู้มีลัทธิว่า คนพาลและ
บัณฑิต ท่องเที่ยวไปตลอดกาลเท่านี้ ตั้งอยู่ในภพสุดท้าย จะหลุดพ้น
จากสงสาร ชื่อว่า กล่าวการหลุดพ้นภพด้วยภพ. สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า
ทั้งคนพาลและบัณฑิตท่องเที่ยวไป 8,400,000 มหากัป จักกระทำที่สุด
ทุกข์ได้ ดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ภเวน ได้แก่ภวทิฏฐิ. สัสสตทิฏฐิ
ท่านเรียกว่าภวทิฏฐิ เพราะเป็นไปโดยอรรถว่า เกิดมี คือตั้งอยู่ติดต่อกัน.
ในที่นี้ ภวทิฏฐินั่นแหละท่านเรียกว่าภพ เหมือนในประโยคว่า ภวตัณหา
โดยลบบทเบื้องปลาย. ก็เมื่อว่าด้วยอำนาจทิฏฐิ สมณพราหมณ์บางพวก
ย่อมสำคัญภพพิเศษเท่านั้นอันมีสภาวะเที่ยงเป็นต้นว่าเป็นการหลุดพ้นจาก
ภพ เพราะมีความเป็นไปสงบกิเลส และเพราะอายุเป็นอยู่ได้นาน เหมือน
พกาพรหมกล่าวไว้ว่า สิ่งนี้เที่ยง สิ่งนี้ยั่งยืน สิ่งนี้มีความเป็นไปติดต่อกัน
สิ่งนี้มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา. สมณพราหมณ์เหล่านั้นนั่นแลผู้
ถือผิดตรงกันข้ามมีความเห็นในสิ่งที่มิใช่เครื่องสลัดออกว่าเป็นเครื่องสลัด
ออก (จากทุกข์) ความหลุดพ้นจากภพจะมีแต่ไหน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้า จึงตรัสว่า เรากล่าวว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดไม่
หลุดพ้นจากภพ.
บทว่า วิภเวน แปลว่า ด้วยการขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ). บทว่า
ภวสฺส นิสฺสรณมหํสุ ความว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นกล่าวการปราศจาก
ไป การออกไปจากภพทั้งปวงว่าสังสารสุทธิ (ความบริสุทธิ์จากสงสาร).
เพราะสมณพราหมณ์นั้นเมื่อไม่รู้วาทะของผู้ที่กล่าวว่า ความหลุดพ้นพิเศษ
จากภพด้วยภพ ย่อมปฏิญญาการสลัดออกจากทุกข์ด้วยการตัดขาดจากภพ.

อีกอย่างหนึ่ง บทว่า วิภเวน ได้แก่ อุจเฉททิฏฐิ. อุจเฉททิฏฐิท่านกล่าวว่า
วิภวะปราศจากภพ โดยนัยดังกล่าวแล้ว เพราะเป็นไปด้วยอรรถว่า อัตตา
และโลกไม่มี คือพินาศ ขาดสูญ. จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายย่อมน้อมไปด้วย
อุจเฉททิฏฐิ แล้วเกิดในภพนั้น ๆ ขาดสูญไป. อุจเฉททิฏฐินั้นนั่นแหละ
เป็นสังสารสุทธิ เพราะเหตุนั้น สัตว์เหล่านั้นจึงชื่อว่าอุจเฉทวาทะ มีวาทะ
ว่าขาดสูญ. สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้แหละเป็น
สิ่งมีรูป อาศัยมหาภูตรูป 4 ฯ ล ฯ เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานอยู่
ผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อัตตานี้เป็นสิ่งที่ขาดสูญโดยชอบ. อนึ่ง ตรัส
ไว้ว่า ดูก่อนมหาบพิตร ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล การบูชาไม่มีผล
ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล ฯลฯ ทั้งคนพาลและบัณฑิตเบื้องหน้าแต่ตายเพราะ
กายแตก ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่มี. สมณพราหมณ์แม้เหล่านั้น
ผู้ยึดถือผิดตรงกันข้ามอย่างนี้ จักสลัดออกจากภพได้แต่ที่ไหน. ด้วยเหตุ
นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เรากล่าวว่าสมณพราหมณ์ทั้งหมดนั้น
ไม่สลัดออกจากภพไปได้. เพราะสัตวโลกยังไม่ได้ถอนกิเลสที่เหลือให้
หมดด้วยอริยมรรคภาวนา แม้ในกาลไหน ๆ ก็ไม่ได้ความหลุดพ้นด้วยการ
สลัดออกจากภพ. จริงอย่างนั้น สมณพราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้ตกไปใน
ส่วนสุดทั้งสองว่ามี (หรือ) ไม่มี เพราะไม่หยั่งรู้ตามความเป็นจริง จึง
กระสับกระส่ายและดิ้นรน เพราะอำนาจตัณหาและทิฏฐิ เพราะเขาเหล่านั้น
มีทิฏฐิเป็นคติ ลุ่มหลงอยู่แม้ในเหตุแห่งความเป็นไป (คือสมุทัย) ถูก
เครื่องผูก คือตัณหาล่ามไว้ที่เสาคือทัสสนะอันผิดตรงกันข้าม ซึ่งฝังไว้
แน่นที่แผ่นดินคือสักกายทิฏฐิ ย่อมไม่ละที่ที่ผูกไปได้ เหมือนสุนัขที่ล่ามไว้
ด้วยเครื่องล่าม สมณพราหมณ์เหล่านั้นจะมีความหลุดพ้นแต่ที่ไหน.

พระศาสดาเมื่อทรงแสดงว่า สมณพราหมณ์เหล่าใด ไม่ข้องแวะ
ส่วนสุด 2 อย่างนั้น เพราะไม่งมงายในปวัตติเป็นต้น โดยแจ่มแจ้งใน
สัจจะทั้ง 4 ย่อมขึ้นสู่มัชฌิมปฏิปทา สมณพราหมณ์เหล่านั้นนั่นแหละ
จะมีการหลุดพ้นและการสลัดออกไปจากภพได้ จึงตรัสว่า อุปธิ ดังนี้
เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปธิ ได้แก่ อุปธิมีขันธ์เป็นต้น. ศัพท์
ว่า หิ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า ปฏิจฺจ แปลว่า อาศัย คือทำให้เป็นที่
อาศัย. บทว่า ทุกฺขํ ได้แก่ ทุกข์มีชาติทุกข์เป็นต้น. ท่านกล่าวอธิบาย
ไว้อย่างไร ? ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า สัตว์เหล่านี้มีทิฏฐิเป็นคติ สำคัญว่า
หลุดพ้นในที่ใด พวกเขาก็ได้ประสบอุปธิ คือ ขันธ์ กิเลส และอภิสังขาร
ในที่นั้น สัตวโลกนั้นจะสลัดออกจากทุกข์ได้แต่ที่ไหน. ก็เพราะอภิสังขาร
เกิดมีในที่ที่กิเลสเกิดมี ความสืบเนื่องแห่งภพจึงไม่ขาดไปเลย เพราะ-
ฉะนั้น วัฏทุกข์ (ของสัตวโลก) จึงไม่ดับ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ก็ทุกข์นี้ย่อมเกิดมี เพราะอาศัยอุปธิ.
บัดนี้ เพื่อแสดงเหตุเครื่องสลัดทุกข์ จึงตรัสว่า เพราะอุปาทาน
ทั้งปวงสิ้นไป ทุกข์จึงไม่เกิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพุปาทานกฺขยา ความว่า เพราะ
ละได้เด็ดขาดซึ่งอุปาทานทั้งหมด 4 อย่างนี้ คือ กามุปาทาน ทิฏฐิปาทาน
สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน ด้วยการบรรลุอริยมรรค. ในอุปาทาน
4 เหล่านั้น อุปาทาน 3 เหล่านี้ คือ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน และ
อัตตวาทุปาทาน อันโสดาปัตติมรรคให้สิ้นไป คือถึงความไม่เกิดขึ้นเป็น
ธรรมดา. พึงทราบว่า กามุปาทานอันยังสัตว์ให้ไปอบายมรรคที่ 1 ให้

สิ้นไป ที่เป็นกามราคะอย่างหยาบ มรรคที่ 2 ให้สิ้นไป. กามราคะและ
พยาบาทอย่างละเอียด มรรคที่ 3 ให้สิ้นไป. การละรูปราคะอรูปราคะ
มรรคที่ 4 ให้สิ้นไป รวมความว่าอุปาทานอันมรรคทั้ง 4 ให้สิ้นไป คือ
ถึงการไม่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา. บทว่า นตฺถิ หุกฺขสฺส สมฺภโว ความว่า
เพราะอุปาทานสิ้นไปโดยประการทั้งปวงอย่างนี้ คือ เพราะรกชัฏคือกิเลส
แม้ทั้งหมดโดยที่รวมอยู่ในฐานเดียวกันกับอุปาทานนั้นไม่เกิดขึ้น วัฏทุกข์
แม้มีประมาณน้อยก็ไม่เกิด คือไม่ปรากฏ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงปวัตติคือ (ทุกขสัจ และนิวัตติคือ
นิโรธสัจ) พร้อมด้วยเหตุดังพรรณนามาฉะนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงว่า
สัตวโลกนี้เมื่อไม่รู้นัยนี้ ก็เงยศีรษะขึ้นจากวัฏฏะไม่ได้ จึงตรัสคำมีอาทิว่า
โลกมิมํ ปสฺส.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โลกมิมํ ปสฺส ความว่า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเมื่อจะทรงชักนำในการกระทำการพิจารณาดู จึงตรัสเรียกเฉพาะ
พระองค์ว่า จงดูโลกนี้ เพราะพระองค์เข้าถึงภาววิสัย (ของโลก) โดย
ประจักษ์ด้วยพุทธจักษุ. บทว่า ปุถุ แปลว่า มาก. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า
ปุถุ แปลว่า เป็นพวก ๆ. บทว่า อวิชฺชา ปเรตา ความว่า ถูกอวิชชา
อันเป็นตัวปกปิดสัจจะ 4 ครอบงำ. ซึ่งตรัสไว้โดยนัยมีอาทิว่า ความไม่
รู้ในทุกข์. บทว่า ภูตา แปลว่า เกิดแล้ว คือบังเกิดแล้ว เพราะกรรมและ
กิเลส. บทว่า ภูตรตา ความว่า ยินดียิ่งด้วยตัณหาในสัตว์ทั้งหลาย คือใน
สัตว์อื่นด้วยความสำคัญว่า บิดา มารดา บุตรและภรรยาเป็นต้น หรือในภูต
คือเบญจขันธ์ด้วยกำหนดว่าเป็นสตรีบุรุษเป็นต้น ด้วยภาวะว่าเที่ยงเป็นต้น
และด้วยการถือว่าตนและมีในตน โดยไม่หยั่งรู้ภาวะแห่งเบญจขันธ์ว่า

ไม่เที่ยง ไม่งาม เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา. บทว่า ภวาอปริมุตฺตา
ความว่า ไม่หลุดพ้นจากภพจากสงสาร ด้วยการยึดถือด้วยอำนาจตัณหา
และทิฏฐิดังที่กล่าวแล้ว.
ก็ในบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า โลกมิมํ นี้ อันดับแรกเมื่อจะทรงนำ
หมู่สัตว์แม้ทั้งสิ้นเข้าเป็นกลุ่มเดียวกัน โดยภาวะเสมอกันก่อน จึงทรง
แสดงศัพท์โดยไม่เจาะจงด้วยเอกวจนะ แล้วทรงประกาศอานุภาพแห่ง
พุทธจักษุญาณของพระองค์ว่า สัตวโลกนี้นั้นมีความแตกต่างกันเป็นหลาย
ประเภทโดยภพ กำเนิด คติ ฐิติ และสัตตาวาสเป็นต้น และโดยหมู่สัตว์
นั้น ๆ เป็นต้นในภพเป็นต้นแม้นั้น เราตรวจดูแล้วแต่ละอย่าง ๆ จึงกระ-
ทำประเภทวจนะอีก แล้วทรงแสดงศัพท์โดยเจาะจงด้วยพหุวจนะ ด้วย
พระดำรัสมีอาทิว่า สัตว์เป็นอันมากถูกอวิชชาครอบงำ. ก็แลครั้นทำคำ
อธิบายดังว่ามานี้แล้วทำให้เป็นทุติยาวิภัตติว่า โลกมิมํ แม้นิเทศที่เป็น
ปฐมาวิภัตติพหุวจนะโดยพระบาลีว่า อวิชฺชาย ปเรตา เป็นต้น ก็เป็นอัน
ไม่ผิด เพราะมีพากย์ต่างกัน แต่เมื่อว่าโดยความประสงค์ให้เป็นพากย์อัน
เดียวกัน อาจารย์บางพวกจึงกล่าวว่าภูตอันอวิชชาครอบงำ ยินดีในภูต
ไม่พ้นไปจากภพได้. แต่บาลีเก่ากล่าวโดยความต่างแห่งวิภัตติเท่านั้น.
บัดนี้ เมื่อจะแสดงวิปัสสนาวิถีอันเป็นโคจรของพระพุทธเจ้าไม่เป็น
วิสัยแห่งเดียรถีย์ ซึ่งเป็นอุบายให้พ้นจากภพทั้งหมด จึงตรัสคำมีอาทิว่า
เย หิ เกจิ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เย หิ เกจิ ภวา ความว่า ก็ภพ
เหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีอายุยืน หรือมีอายุชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งมีประเภทแตกต่าง
กันโดยจำแนกเป็นกามภพเป็นต้น สัญญาภพเป็นต้น และเอกโวการภพ

เป็นต้น ที่สมมติกันว่ามีความสำราญ ที่ต่างกันโดยสาระ และเว้นจาก
ความสำราญ. บทว่า สพฺพธิ ได้แก่ ในที่ทั้งปวงโดยวิภาคมีอาทิว่า
เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง. บทว่า สพฺพตฺถตาย ได้แก่ โดย
ภาวะทั้งปวง มีสวรรค์ อบาย และมนุษย์เป็นต้น. พึงทราบวินิจฉัยในบท
มีอาทิว่า สพฺเพ เต ดังต่อไปนี้.
ภพทั้งหมดนั้นมีรูปและเวทนาเป็นต้นเป็นธรรม ชื่อว่า ไม่เที่ยง
เพราะอรรถว่ามีแล้วกลับไม่มี. ชื่อว่า เป็นทุกข์ เพราะถูกความเกิดและ
ความดับบีบคั้น. ชื่อว่ามีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เพราะจะต้อง
แปรปรวนไปด้วยเหตุ 2 ประการ คือ ชราและมรณะ. อิติ ศัพท์ มีอาทิ
เป็นอรรถหรือมีปการะเป็นอรรถ. คืออย่างไร ? คือ ด้วย อิติ ศัพท์นั้น
พระองค์ทรงสงเคราะห์แม้อนัตตลักษณะแล้วตรัสว่า ชื่อว่า อนัตตา เพราะ
ไม่เป็นไปในอำนาจ หรือชื่อว่า อนัตตา เพราะอรรถว่าไม่เป็นไปใน
อำนาจ เหตุมีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา. สัตวโลก พิจารณาเห็น
เบญจขันธ์นี้กล่าวคือภพ ตามความเป็นจริง คือ ไม่แปรผัน ด้วยปัญญา
อันชอบ คือ ด้วยญาณอันชอบ ได้แก่ด้วยปัญญาอันสัมปยุตด้วยมรรค
อันประกอบด้วยวิปัสสนา คือแทงตลอดด้วยปริญญาอภิสัมเป็นต้น จึง
ละตัณหา ในภพอันเป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า ภพเที่ยง ด้วยประการฉะนี้
คือ ด้วยอาการแทงตลอดลักษณะ 3 คือดับได้เด็ดขาดพร้อมกับการบรรลุ
อรหัตมรรคนั่นแล ย่อมไม่เพลิดเพลิน คือย่อมไม่ปรารถนา วิภพ คือ
ความตัดขาด เพราะละอุจเฉททิฏฐิได้ด้วยประการทั้งปวง. เพราะความ
สิ้นไป คือ เพราะละตัณหา 108 ประเภทมีกามตัณหาเป็นต้น และมี
ประเภทหาที่สุดมิได้โดยวิภาคการกำหนดเป็นต้นของสัตวโลกผู้เป็นอยู่

อย่างนั้น โดยอาการทั้งปวง คือโดยประการทั้งปวง การดับโดย
ไม่เกิดขึ้นแห่งธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งสังกิเลสทั้งสิ้นโดยที่รวมอยู่ในฐาน
เดียวกับตัณหานั้น โดยไม่เหลือ คือโดยเด็ดขาด ด้วยธรรมเครื่องสำรอก
คือด้วยอริยมรรคนั้น คือ พระนิพพาน.
ครั้นทรงแสดงอุปาทิเสสนิพพาน โดยการละตัณหาเป็นประธาน
ดังพรรณนามาฉะนี้ บัดนี้ เมื่อจงทรงแสดงอนุปาทิเสสนิพพาน จึงตรัส
คาถาว่า ตสฺส นิพฺพุตสฺส ดังนี้เป็นต้น.
คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายดังนี้ เพราะภิกษุผู้ขีณาสพผู้ทำลายกิเลส
โดยนัยดังกล่าวแล้ว ดับสนิทด้วยกิเลสปรินิพพานเพราะสิ้นตัณหาโดย
ประการทั้งปวง ไม่มีอุทาน คือ หมดอุปาทาน หรือเพราะไม่ยึดมั่น
กิเลสมารและอภิสังขารมาร ภพใหม่จึงไม่มี คือไม่มีอุปปัตติภพโดยการ
ปฏิสนธิต่อไป. และภิกษุผู้เป็นอย่างนั้น ครอบงำมารเสียได้ คือ ในขณะ
จริมกมรรค ครอบงำกิเลสมารอภิสังขารมาร และเทวบุตรมาร ในขณะ
จริมกจิต จิตดวงสุดท้าย (อรหัตมรรค) ครอบงำขันธมาร และมัจจุมาร
เสียได้ รวมความว่า ท่านครอบงำมารทั้ง 5 เสียได้ คือให้พ่ายแพ้ ได้แก่
ทำให้หมดพยศด้วยการไม่ให้เงยศีรษะขึ้นได้อีก เพราะท่านชนะสงครามที่
พวกมารทำให้เกิดในที่นั้นๆ. ก็ด้วยประการอย่างนี้ ท่านชื่อว่าชนะสงคราม
ชื่อว่า ผู้คงที่ คือ เป็นพระอรหันต์ เพราะถึงลักษณะของความเป็นผู้คงที่
เพราะไม่มีวิการในอารมณ์ทั้งปวงมีอิฏฐารมณ์เป็นต้น ชื่อว่า ก้าวล่วง คือ
ก้าวล่วงด้วยดี ซึ่งภพทั้งปวง คือ ภพแม้ทั้งหมดมีประเภทตามกล่าวแล้ว
ไม่จัดเข้าในที่ใดที่หนึ่ง โดยที่แท้เป็นผู้หาบัญญัติมิได้เบื้องหน้าแต่
ปรินิพพานไปเหมือนไฟหมดเชื้อ ฉะนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอา

ยอดแห่งอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ จึงให้มหาอุทานนี้จบลง ด้วยประการ
ฉะนี้.
จบอรรถกถาโลกสูตรที่ 10
จบนันทวรรควรรณนาที่ 3

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
1. กรรมสูตร 2. นันทสูตร 3. ยโสชสูตร 4. สารีปุตตสูตร
5. โกลิตสูตร 6. ปิลินทวัจฉสูตร 7. มหากัสสปสูตร 8. ปิณฑปาตสูตร
9. สิปปสูตร 10. โลกสูตร และอรรถกถา

เมฆิยวรรคที่ 4



1. เมฆิยสูตร



ว่าด้วยตรัสธรรม 5 แก่พระเมฆิยะ



[85] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ จาลิกบรรพต ใกล้
เมืองจาลิกา ก็สมัยนั้นแล ท่านพระเมฆิยะเป็นอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้งนั้นแล ท่านพระเมฆิยะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวาย
บังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มี-
พระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาจะเข้าไป
บิณฑบาตในชันตุคาม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนเมฆิยะ เธอจง
สำคัญเวลาอันควร ณ บัดนี้เถิด ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า ท่านพระเมฆิยะนุ่ง
แล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังชันตุคามเพื่อบิณฑบาต ครั้นเที่ยวไปใน
ชันตุคามเพื่อบิณฑบาตแล้ว กลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต เข้าไป
ยังฝั่งแม่น้ำกิมิกาฬา ครั้นแล้วเดินพักผ่อนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำกิมิกาฬา ได้เห็น
ป่ามะม่วงน่าเลื่อมใส น่ารื่นรมย์ ครั้นแล้วคิดว่า ป่ามะม่วงนี้น่าเลื่อมใส
น่ารื่นรมย์จริงหนอ ป่ามะม่วงนี้สมควรแก่ความเพียรของกุลบุตรผู้มีความ
ต้องการด้วยความเพียรจริงหนอ ถ้าว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทรงอนุญาต
เราไซร้ เราพึงมาสู่อัมพวันนี้เพื่อบำเพ็ญเพียร ลำดับนั้นแล ท่านพระ-
เมฆิยะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เวลาเช้า ข้าพระองค์นุ่งแล้ว
ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังชันตุคาม ครั้นเที่ยวไปบิณฑบาตใน