เมนู

เรื่องเห็นปานนี้นั้นไม่สมควรเลย เธอทั้งหลายประชุมกันแล้วพึงกระทำ
อาการ 2 อย่าง คือ ธัมมีกถา หรือดุษณีภาพเป็นอริยะ.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ถ้าว่าภิกษุไม่อาศัยเสียงสรรเสริญแล้วไซร้ เทวดา
และมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมรักใคร่ต่อภิกษุผู้ถือการเที่ยว
บิณฑบาตเป็นวัตร ผู้เลี้ยงตนมิใช่ผู้เลี้ยงคนอื่น ผู้คงที่.

จบปิณฑปาตสูตรที่ 8

อรรถกถาปิณฑปาตสูตร



ปิณฑปาตสูตรที่ 8 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปจฺฉาภตฺตํ ความว่า แม้เวลาภายในเที่ยงวันของภิกษุถือ
เอกาสนิกังคธุดงค์และขลุปัจฉาภัตตกังคธุดงค์ ผู้ฉันอาหารเช้าแล้ว ก็เป็น
ปัจฉาภัตเหมือนกัน. แต่ในที่นี้ ภายหลังแต่ฉันอาหารตามปกตินั่นแหละ
พึงทราบว่า เป็นปัจฉาภัต. บทว่า ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺตานํ ความว่า
ผู้กลับจากบิณฑบาต คือแสวงหาบิณฑบาตแล้ว กลับจากบิณฑบาตนั้น
โดยทำภัตกิจให้สำเร็จ. บทว่า กเรริ ในบทว่า กเรริมณฺฑลมาเฬ เป็น
ชื่อของไม้กุ่ม. เล่ากันว่า ไม้กุ่มนั้น อยู่ภายในระหว่างมณฑปกับศาลา
พระคันธกุฎี ด้วยเหตุนั้น แม้พระคันธกุฎี ท่านเรียกว่า กเรริกุฏิกา.
มณฑปก็ดี ศาลาก็ดี ท่านเรียกว่า กเรริมัณฑลมาฬ โรงกลมใกล้ต้นไม้
กุ่ม. เพราะเหตุไร ในโรงกลมกล่าวคือศาลาที่นั่ง ซึ่งสร้างไว้ไม่ไกลต้น

กุ่มนั้น. อาจารย์บางพวกกล่าวถึงหลังคาที่มุงด้วยหญ้าและใบไม้ฝนไม่รั่ว
รดว่า โรงกลม. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า มณฑปที่มุงด้วยเถาวัลย์มี
อติมุตตกเถาวัลย์เป็นต้น ชื่อว่า โรงกลม. บทว่า กาเลน กาลํ ได้แก่
ในระหว่างเวลาหนึ่ง ๆ อธิบายว่า ในสมัยนั้น ๆ. บทว่า มนาปิเก
แปลว่า น่าเจริญใจ อธิบายว่า ปิยรูปที่น่าปรารถนา. ก็ความเป็นอิฏ-
ฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ พึงถือเอาด้วยอำนาจบุคคล และด้วยอำนาจ
ทวาร. จริงอยู่ ความเป็นอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์นั้น เข้าใจกันว่า
เป็นสิ่งน่าปรารถนาของคนบางคน ไม่น่าปรารถนาของคนบางคน สมมติ
ว่าไม่น่าปรารถนาของคนบางคน ไม่น่าปรารถนาของคนบางคน. อนึ่ง น่า
ปรารถนาของทวารหนึ่ง ไม่น่าปรารถนาของทวารหนึ่ง. แต่ในที่นี้พึง
ทราบวินิจฉัยด้วยอำนาจวิบาก จริงอยู่ กุศลวิบาก น่าปรารถนาโดยส่วน
เดียว อกุศลวิบาก ไม่น่าปรารถนาเลยแล. บทว่า จกฺขุนา รูเป ปสฺสิตุํ
ความว่า ภิกษุไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต เมื่อพวกอุบาสกนิมนต์ให้เข้าไป
ยังเรือน นำอาสนะและเพดานเป็นต้นเข้าไป เพื่อทำการบูชาสักการะ ได้
เห็นรูปที่น่ายินดี กล่าวคือ รูปที่รุ่งเรืองด้วยความงดงามต่าง ๆ และ
รูปที่มีวิญญาณครองอย่างอื่น ด้วยญาณอันไปทางจักษุทวาร. บทว่า
สทฺเท ความว่า ภิกษุเข้าไปสู่เรือนอิสรชน ได้ยินเสียงเพลงขับและ
ประโคม ที่เขาบรรเลงเพื่ออิสรชนเหล่านั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. บทว่า
คนฺเธ ความว่า เพื่อดมกลิ่นมีกลิ่นดอกไม้และกลิ่นธูปเป็นต้น ที่เขา
เหล่านั้นน้อมเข้านำเข้าไป โดยบูชาและสักการะก็เหมือนกัน. บทว่า รเส
ความว่า เพื่อลิ้มรสเลิศต่าง ๆ ในการบริโภคอาหารที่เขาเหล่านั้นถวาย.
บทว่า โผฏฺฐพฺเพ ความว่า เพื่อถูกต้องโผฏฐัพพารมณ์ เป็นสุขสัมผัส

ในกาลนั่งบนอาสนะที่ลาดไว้ค่ามาก. ก็แล ครั้นทรงระบุถึงการได้อิฏ-
ฐารมณ์ที่เป็นไปทางทวาร 5 ดังกล่าวมาแล้วนี้ บัดนี้เพื่อแสดงการได้
อิฏฐารมณ์ที่เป็นไปทางมโนทวาร จึงตรัสคำมีอาทิว่า สกฺกโต ดังนี้.
คำนั้นมีอรรถดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ.
ถามว่า ก็นัยนี้ สำหรับภิกษุผู้ไม่ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ย่อมไม่ได้
หรือ ? ตอบว่า ได้. จริงอยู่ ในเวลาที่ภิกษุแม้เหล่านั้น เข้าไปยังบ้าน
เพื่อนิมันตภัตและสลากภัตเป็นต้น อุบาสกทั้งหลาย ผู้มีสมบัติมาก ย่อม
กระทำสักการะและสัมมานะเช่นนั้นเหมือนกัน. แต่ข้อนั้น ไม่แน่นอนนัก.
ส่วนสำหรับภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร แน่นอนในกาลนั้น. ภิกษุ
เหล่านั้น เห็นเขากำลังทำการบูชาและสักการะในที่นั้น ดำรงอยู่ในทาง
ไม่เป็นที่สลัดออก (จากทุกข์) เพราะยังหนักในสักการะ จึงกล่าวอย่างนั้น
ด้วยอโยนิโสมนสิการ. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล จึงกล่าวคำมีอาทิว่า หนฺทาวุโส
มยํ ปิณฺฑปาติกา โหม อาวุโส
ช่างเถิด พวกเราเป็นผู้ถือการเที่ยว
บิณฑบาตเป็นวัตร.
บรรดาบทเหล่านั้น ศัพท์ว่า หนฺท เป็นนิบาต ใช้ในอรรถว่าสละ.
บทว่า ลจฺฉาม แปลว่า จักได้. บทว่า เตนุปสงฺกมิ ความว่า พระองค์
ประทับนั่งในพระคันกุฎีมีกลิ่นหอมนั้นทรงสดับการเจรจาปราศรัยนั้นของ
ภิกษุเหล่านั้น จึงเสด็จเข้าไปยังโรงกลม ด้วยหมายพระทัยว่า ภิกษุ
เหล่านี้ บวชในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้เช่นเรา แม้อยู่ในวิหาร
เดียวกันกับเรา ก็ยังใช้ถ้อยคำโดยอโยนิโสมนสิการอย่างนี้ ไม่ประพฤติ
ในการขัดเกลา เอาเถิด เราจักห้ามภิกษุเหล่านั้นจากเหตุนั้น แล้วประกอบ

ไว้ในธรรมเป็นเครื่องอยู่ขัดเกลา. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง
นั่นแล.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบเนื้อความนี้ว่า แม้
เทพทั้งหลาย ย่อมกระหยิ่มต่อท่านผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร เพื่อกำจัดกิเลส
เพื่อทำตัณหาให้เหือดแห้ง ด้วยธรรมเป็นเครื่องขัดเกลาคือมักน้อยและ
สันโดษ เกิดความเอื้อเฟื้อในการปฏิบัติประพฤติรักใคร่ต่อท่าน ไม่ประ-
พฤติรักใคร่อย่างอื่นจากนี้ ดังนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันแสดงเนื้อ
ความนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โน เจ สิโลกนิสฺสิโต ความว่า หาก
ไม่อยากได้อาศัยความสรรเสริญ กล่าว คือเสียงที่ชนเหล่าอื่นยกย่อง โดย
นัยมีอาทิว่า น่าอัศจรรย์ พระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้มักน้อยสันโดษ มีความ
ประพฤติขัดเกลาอย่างยิ่ง. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อเสียง ได้แก่ การโฆษณา
ชมเชยคุณเฉพาะหน้า สรรเสริญ ได้แก่ การชมเชยลับหลัง หรือความ
เป็นผู้มียศแผ่ไป. คำที่เหลือ มีนัยที่กล่าวไว้ในสูตรอันเป็นลำดับนั้นแล.
จบอรรถกถาปิณฑปาตสูตรที่ 8

9. สิปปสูตร



ว่าด้วยภิกษุสนทนากันเรื่องศิลป์



[83] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล