เมนู

อีกอย่างหนึ่ง ด้วยบทว่า สติ กายคตา อุปฏฺฐิตา นี้ ทรงแสดงถึง
ความที่พระเถระเป็นผู้ถึงความไพบูลย์ด้วยสติ ด้วยการแสดงถึงการกำหนด
รู้ตามสภาวะแห่งกายของตนและของคนอื่น. ด้วยบทว่า ฉสุ ผสฺสายต-
เนสุ สํวุโต
นี้ ทรงแสดงถึงการที่พระเถระถึงความไพบูลย์ด้วยปัญญา
อันประกาศถึงสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งการอยู่ด้วยความสงบเป็นต้น
อันแสดงถึงความสำรวมอย่างแท้จริง ในทวาร 6 มีจักขุทวารเป็นต้น.
ด้วยบทว่า สตตํ ภิกฺขุ สมาหิโต นี้ ทรงแสดงอนุบุพพวิหารสมาบัติ 9
โดยแสดงถึงความเป็นผู้มากด้วยสมาบัติ. ก็ภิกษุผู้เป็นอย่างนี้ พึงรู้
นิพพานของตน
คือ พึงรู้ พึงคิดถึงอนุปาทิเสสนิพพานธาตุของตน
อย่างเดียวเท่านั้น เพราะไม่มีกรณียกิจอันยิ่ง เพราะทำกิจเสร็จแล้ว
อธิบายว่า แม้กิจอื่นที่เธอจะพึงคิดก็ไม่มี.
จบอรรถกถาโกลิตสูตรที่ 5

6. ปิลินทวัจฉสูตร



ว่าด้วยวาทะว่าคนถ่อย



[78] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลัน-
ทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล ท่านพระปิลินทวัจฉะ
ย่อมร้องเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะว่าคนถ่อย ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วย
กัน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่

พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระปิลินทวัจฉะย่อมร้องเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะ
ว่าคนถ่อย ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งว่า
ดูก่อนภิกษุ เธอจงไปเรียกปิลินทวัจฉภิกษุมาตามคำของเราว่า ดูก่อน
อาวุโสวัจฉะ พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้วเข้าไปหาท่านพระปิลินทวัจฉะถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่าน
ปิลินทวัจฉะว่า ดูก่อนอาวุโส พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน ท่านพระ-
ปิลินทวัจฉะรับคำภิกษุนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถาม
ท่านพระปิลินทวัจฉะว่า ดูก่อนปิลินทวัจฉะ ได้ยินว่า เธอย่อมร้องเรียก
ภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะว่าคนถ่อยจริงหรือ ท่านพระปิลินทวัจฉะทูลรับว่า
อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมนสิการถึงขันธ์อันมีในก่อน
ของท่านพระปิลินทวัจฉะ แล้วตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายอย่ายกโทษวัจฉภิกษุเลย วัจฉภิกษุย่อมไม่มุ่งโทษ เรียกภิกษุ
ทั้งหลายด้วยวาทะว่าคนถ่อย วัจฉภิกษุเกิดในสกุลพราหมณ์ 500 ชาติ
โดยไม่เจือปนเลย วาทะว่าคนถ่อยนั้นวัจฉภิกษุประพฤติมานาน เพราะ-
ฉะนั้น วัจฉภิกษุนี้จึงร้องเรียกภิกษุทั้งหลายด้ายวาทะว่าคนถ่อย.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
มายา มานะ ย่อมไม่เป็นไปในผู้ใด ผู้ใดมีความ
โลภสิ้นไปแล้ว ไม่มีความยึดถือว่าเป็นของเรา ไม่มี

ความหวัง ผู้ละความโกรธได้แล้ว มีจิตเย็นแล้ว
ผู้นั้น ชื่อว่าเป็นพราหมณ์ ผู้นั้น ชื่อว่าเป็นสมณะ
ผู้นั้น ชื่อว่าเป็นภิกษุ.
จบปิลินทวัจฉสูตรที่ 6

อรรถกถาปิลินทวัจฉสูตร



ปิลินทวัจฉสูตรที่ 6 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
บทว่า ปิลินฺทวจฺโฉ ความว่า บทว่า ปิลินทะ เป็นชื่อของพระ-
เถระ ชนทั้งหลายจำพระเถระได้ โดยโคตรว่า วัจฉะ. บทว่า วสลวาเทน
สมุทาจรติ
ความว่า พระเถระย่อมกล่าว ย่อมเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะ
ว่าคนถ่อย โดยนัยมีอาทิว่า มาเถอะ คนถ่อย หลีกไปเถอะ คนถ่อย.
บทว่า สมฺพหุลา ภิกฺขู แปลว่า ภิกษุเป็นอันมาก. ภิกษุเหล่านั้นเห็น
พระเถระร้องเรียกเช่นนั้น เมื่อไม่รู้ว่า พระเถระเป็นพระอรหันต์ กล่าว
อย่างนั้นเพราะยังละวาสนาไม่ได้ จึงคิดว่า พระเถระนี้เห็นจะเป็นผู้มุ่งร้าย
จึงร้องเรียกอย่างนี้ มีประสงค์จะพูดอวด จึงกราบทูลแด่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า เพื่อจะให้ออกจากความเป็นผู้มุ่งร้ายนั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านปิลินทวัจฉะ เรียกภิกษุทั้งหลายด้วย
วาทะว่าคนถ่อย.
ส่วนเกจิอาจารย์กล่าวว่า ภิกษุทั้งหลายจำพระเถระนี้ได้ว่า เป็น
พระอรหันต์ คิดว่า ก็พระเถระนี้เรียกภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ ด้วยคำหยาบ
อุตริมนุสธรรมในพระเถระนี้ เห็นจะไม่มีจริงกระมัง ดังนี้ ไม่รู้การ