เมนู

อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล
ท่านพระสารีบุตรนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เบื้องหน้า อยู่ใน
ที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นท่านพระสารี-
บุตรนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เบื้องหน้า อยู่ในที่ไม่ไกล.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ภิกษุผู้ดุจภูเขา ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะความสิ้น
โมหะ เหมือนภูเขาหินไม่หวั่นไหว ตั้งอยู่ด้วยดีฉะนั้น.
จบสารีปุตตสูตรที่ 4

อรรถกถาสารีปุตตสูตร



สารีปุตตสูตรที่ 4 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปริมุข สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา ความว่า ตั้งสติให้มุ่งตรงต่อ
อารมณ์ คือ ตั้งสติไว้ในที่ใกล้หน้า. จริงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้ในวิภังค์ว่า สตินี้เป็นอันปรากฏแล้ว ปรากฏด้วยดีแล้ว ที่ปลาย
นาสิก หรือที่มุขนิมิต ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐ-
เปตฺวา
ตั้งสติไว้ตรงหน้า. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปริ มีอรรถว่า กำหนด.
บทว่า มุขํ มีอรรถว่า นำออก. บทว่า สติ มีอรรถว่า ปรากฏ. ด้วย
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปริมุขํ สตึ. ก็ในที่นี้ พึงทราบอรรถโดยนัย
ดังกล่าวแล้วในปฏิสัมภิทา ด้วยประการฉะนี้. ในข้อนั้น มีความสังเขป

ดังต่อไปนี้. ก็บทว่า นิยฺยานํ ในบทว่า ปริคฺคหิตนิยฺยานสตึ กตฺวา นี้
พึงเห็นอารมณ์ที่สติหยั่งลง. ก็ในข้อนี้ ความต้นและความหลัง พึงเห็น
สติควบคุมอารมณ์ไว้ได้ทั้งหมด นอกนั้น พึงเห็นการประมวลส่วนเบื้อง
ต้นแห่งสมาบัติ. อีกอย่างหนึ่ง ฌาน ท่านเรียกว่าสติ โดยยกสติขึ้นเป็น
ประธาน เหมือนในประโยคมีอาทิว่า ภิกษุใด บริโภคกายคตาสติ. ถามว่า
ก็ฌานนั้นเป็นไฉน ? ตอบว่า ได้แก่ฌานอันสัมปยุตด้วยอรหัตผล ที่
กระทำรูปาวจรจตุตถฌานให้เป็นบาทแล้วจึงเข้า. ถามว่า ก็ฌานนั้นจะ
พึงรู้ได้อย่างไร ? ตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงประกาศความที่
พระเถระไม่หวั่นไหวพร้อมด้วยคุณวิเศษ เพราะประกอบด้วยอาเนญช-
สมาธิ และความที่พระเถระนั้นเป็นผู้อันอะไร ๆ ให้หวั่นไหวไม่ได้ โดย
เปรียบด้วยภูเขา จึงทรงเปล่งอุทานนี้ เพราะเหตุนั้น ย่อมรู้เนื้อความนี้ได้
ด้วยคาถานั่นแหละ. ก็นี้มิใช่พระเถระนั่งเพื่อแทงตลอดสัจจะ โดยที่แท้
นั่งเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน. จริงอยู่ ในกาลก่อนนั้นแล เมื่อพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ทีฆนขปริพาชก หลานของพระเถระ ที่ถ้ำ
สุกรขาตา พระมหาเถระนี้ถึงที่สุดกิจแห่งการแทงตลอดสัจจะแล.
บทว่า เอตมตฺถํ ความว่า พระองค์ทรงทราบโดยประการทั้งปวง
ถึงอรรถนี้ กล่าวคือความที่พระเถระอันอะไร ๆ ให้หวั่นไหวไม่ได้ เพราะ
ประกอบด้วยอาเนญชสมาธิ และเพราะถึงความเป็นผู้คงที่ จึงทรงเปล่ง
อุทานนี้ ประกาศความนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถาปิ ปพฺพโต เสโล ความว่า เหมือน
ภูเขาศิลาเป็นแท่งทึบ ล้วนแล้วด้วยหิน ไม่ใช่ภูเขาดินร่วน หรือไม่ใช่
ภูเขาเจือดิน. บทว่า อจโล สุปฺปติฏฺฐิโต ความว่า มีรากตั้งอยู่ด้วยดี ไม่

หวั่น ไม่ไหว ด้วยลมตามปกติ. บทว่า เอวํ โมหกฺขยา ภิกฺขุ ปุพฺพโตว
น เวธติ
ความว่า ภิกษุชื่อว่าละอกุศลทั้งปวงได้ เพราะละโมหะได้เด็ดขาด
และเพราะละอกุศลทั้งปวงมีโมหะเป็นมูล ย่อมไม่หวั่น คือไม่ไหวด้วยโลก-
ธรรม เหมือนภูเขานั้นไม่สะเทือนด้วยลมตามปกติ. อีกอย่างหนึ่ง เพราะ
เหตุที่พระนิพพานและพระอรหัตท่านเรียกว่า โมหักขยะ ฉะนั้น ภิกษุนั้น
จึงชื่อว่าตั้งอยู่ด้วยดีแล้วในอริยสัจ 4 เพราะบรรลุพระนิพพานและพระ-
อรหัต เหตุสิ้นไปแห่งโมหะ แม้ในเวลาที่ไม่เข้าสมาบัติก็ไม่หวั่นไหวด้วย
อะไร ๆ เหมือนภูเขาดังกล่าวแล้ว. อธิบายว่า จะป่วยกล่าวไปไยในเวลา
เข้าสมาบัติเล่า.
จบอรรถกถาสารีปุตตสูตรที่ 4

5. โกลิตสูตร



ว่าด้วยกายคตาสติ


[77] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล
ท่านพระมหาโมคคัลลานะนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง มีกายคตาสติอันตั้งไว้
แล้วในภายใน อยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ทรงเห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง มีกายคตาสติ
อันตั้งไว้ดีแล้วในภายใน อยู่ในที่ไม่ไกล.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า