เมนู

อรรถกถานันทสูตร



นันทสูตรที่ 2 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า นนฺโท เป็นชื่อของพระเถระนั้น. จริงอยู่ พระเถระนั้น
ได้นามว่านันทะ เพราะมารดาบิดา บริวารชน และเครือญาติทั้งสิ้นเกิด
ความยินดี เพราะท่านประกอบด้วยลักษณะแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ. บทว่า
ภควโต ภาตา ความว่า ชื่อว่าเป็นพระภาดา เพราะเป็นโอรสร่วมบิดา
เดียวกันกับพระผู้มีพระภาคเจ้า. จริงอยู่ ไม่มีพระโอรสที่เกิดร่วมครรภ์กับ
พระผู้มีพระภาคเจ้า. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มาตุจฺฉาปุตฺโต อธิบาย
ว่าเป็นโอรสของพระน้านาง. ด้วยว่าท่านเป็นโอรสของพระน้านางนามว่า
มหาปชาบดีโคตมี. บทว่า อนภิรโต ตัดเป็น น อภิรโต แปลว่า ไม่ยินดี
ยิ่ง. บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่ การประพฤติดังพรหม คือ ประเสริฐ
สูงสุด มีที่นั่งอันเดียว ที่นอนอันเดียว เว้นเมถุนธรรม. บทว่า สนฺตาเนตุํ
ได้แก่ เพื่อจะยังจิตดวงแรกจนถึงจิตดวงสุดท้ายให้ดำเนินไป คือให้เป็น
ไปโดยชอบ คือ บริบูรณ์ บริสุทธิ์. ก็ในข้อนี้ พึงทราบสังคหะ คือการ
สงเคราะห์มรรคพรหมจรรย์ ด้วยบทว่า พรหมจรรย์ บทที่ 2. บทว่า
สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย ความว่า ห้าม คือสละสิกขา 3 ที่สมาทานพร้อมกับ
ความเป็นภิกษุภาวะในเวลาอุปสมบทซึ่งไม่ตั้งขึ้น โดยภาวะที่ควรจะบัง-
เกิด. บทว่า หีนาย แปลว่า เพื่อความเป็นคฤหัสถ์. บทว่า อาวตฺติสฺ-
สามิ
ได้แก่ จักกลับไป. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ท่านจึงกราบทูลอย่าง
นั้น ? ในข้อนั้น มีอนุบุพพิกถาดังต่อไปนี้ :-
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวรแล้ว เสด็จไป
กรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ ณ พระเวพุวันวิหาร อันพระกาฬุทายิเถระ

ผู้ไปภายหลังเขาทั้งหมด ในบรรดาทูต 10 คน ซึ่งมีบริวารคนละ 1,000
ที่พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงส่งไปด้วยพระดำรัสว่า พวกท่านจงนำบุตร
มาแสดงแก่เรา บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยบริวาร บรรลุพระอรหัตแล้ว
รู้กาลเสด็จไป (ของพระองค์) ได้พรรณนาหนทางแล้วทูลอาราธนา เพื่อ
เสด็จไปยังพระชาติภูมิ (พระองค์) แวดล้อมด้วยพระขีณาสพสองหมื่น
เสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงทำฝนโบกขรพรรษาในสมาคมพระญาติให้เป็น
อุบัติเหตุ แล้วทรงแสดงเวสสันดรชาดก ในวันรุ่งขึ้นได้เสด็จบิณฑบาต
ทรงให้พระบิดาดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ด้วยพระคาถาว่า อุตฺติฏฺเฐ
นปฺปมชฺเชยฺย
ไม่พึงประมาทในบิณฑะอันบุคคลพึงลุกขึ้นยืนรับ แล้ว
เสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ ทรงให้พระนางมหาปชาบดี ดำรงอยู่ในโสดา-
ปัตติผล ทรงให้พระราชาดำรงอยู่ในสกทาคามิผล ด้วยพระคาถาว่า
ธมฺมญฺจเร พึงประพฤติธรรมเป็นต้น.
ก็ในกาลเสร็จภัตกิจ ทรงอาศัยการพรรณนาพระคุณของราหุล
มารดา ตรัสจันทกินรีชาดกในวันที่ 3 ครั้นเมื่อวันวิวาหมงคลซึ่งเป็นที่
เชิญเสด็จเข้าเรือน เพื่ออภิเษกของนันทกุมารเป็นไปอยู่ ก็เสด็จเข้าไป
บิณฑบาต ประทานบาตรในหัตถ์ของนันทกุมาร ตรัสมงคล (อวยพร)
เสด็จลุกจากอาสนะแล้วหลีกไป หาได้ทรงรับบาตรจากหัตถ์ของนันทกุมาร
ไม่. ฝ่ายนันทกุมาร ด้วยความเคารพในพระตถาคต จึงมิอาจทูล (เตือน)
ว่า ขอพระองค์รับบาตรไปเถิด พระเจ้าข้า. แต่คิดอย่างนี้ว่า พระศาสดา
คงจักทรงรับบาตรที่หัวบันได ในที่นั้นพระศาสดาก็ไม่ทรงรับ, ฝ่าย
นันทกุมารก็คิดว่า คงจะทรงรับที่ริมเชิงบันได. แม้ในที่นั้น พระศาสดา
ก็ไม่ทรงรับ. นันทกุมารคิดว่า จักทรงรับที่พระลานหลวง. แม้ในที่นั้น

พระศาสดาก็ไม่ทรงรับ. พระกุมารปรารถนาจะเสด็จกลับ (แต่) จำเสด็จ
ไปด้วยความไม่เต็มพระทัย, ด้วยความเคารพ จึงไม่อาจทูลว่า ขอพระองค์
ทรงรับบาตรเถิด ทรงเดินนึกไปว่า พระองค์จักทรงรับในที่นี้ พระองค์
จักทรงรับในที่นี้. ขณะนั้น หญิงพวกอื่น (เห็นอาการนั้นแล้ว) จึงบอก
แก่นางชนบทกัลยาณีว่า พระแม่เจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพานันทกุมาร
เสด็จไปแล้ว คงจักพรากนันทกุมารจากพระแม่เจ้า. นางชนบทกัลยาณีนั้น
มีหยาดน้ำตายังไหลอยู่ มีผมอันเกล้าได้กึ่งหนึ่ง รีบขึ้นสู่ปราสาท ยืนอยู่ที่
ทวารแห่งสีหบัญชรทูลว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า ขอพระองค์จงด่วนเสด็จกลับ.
คำของนางนั้น ประหนึ่งตกไปขวางตั้งอยู่ในหทัยของนันทกุมารนั้น. แม้
พระศาสดาก็ไม่ทรงรับบาตรจากหัตถ์ของนันทกุมารนั้นเลย ทรงนำนันท-
กุมารนั้นไปสู่วิหารแล้วตรัสว่า นันทะ เธออยากบวชไหม ? นันทะนั้น
ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า จึงไม่ทูลว่าจักไม่บวช ทูลรับว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ จักบวชพระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย
ถ้ากระนั้น เธอทั้งหลายจงให้นันทะบวชเถิด, จึงเสด็จไปสู่กรุงกบิลพัสดุ์
ในวันที่ 3 ทรงให้นันทกุมารบวชแล้ว. ในวันที่ 7 พระศาสดาให้พระ-
ราหุลกุมาร ซึ่งพระมารดาตกแต่งส่งไปด้วยดำรัสว่า ข้าแต่พระสมณะ
ท่านจงประทานทรัพย์มรดกแก่ข้าพระองค์เถิด ดังนี้แล้ว มายังอารามกับ
พระองค์ให้บรรพชาแล้ว วันรุ่งขึ้นจึงตรัสมหาธรรมปาลชาดก ให้พระ-
ราชาดำรงอยู่ในอนาคามิผล.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงให้พระนางมหาปชาบดี ดำรงอยู่ในโสดา-
ปัตติผล ทรงให้พระบิดาดำรงอยู่ในผล 3 ทรงแวดล้อมไปด้วยหมู่ภิกษุ

เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์อีก แต่นั้นได้รับปฏิญญาที่ท่านอนาถบิณฑิกะเชื้อ-
เชิญ เพื่อเสด็จมายังกรุงสาวัตถี เมื่อพระเชตวันมหาวิหารสำเร็จแล้ว ก็
เสด็จไปประทับอยู่ ณ ที่นั้น ด้วยประการฉะนี้. เมื่อพระศาสดาประทับอยู่
ในพระเชตวัน ด้วยอาการอย่างนี้ ท่านนันทะ บวชโดยไม่พอพระทัย ไม่
เห็นโทษในกาม หวนระลึกถึงคำที่นางชนบทกัลยาณีกล่าว เกิดความ
เบื่อหน่าย บอกความไม่ยินดียิ่งแก่ภิกษุทั้งหลายแล้ว. ด้วยเหตุนั้นท่านจึง
กล่าวว่า เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา นนฺโท ฯ เป ฯ หีนายาวตฺติสฺ-
สามิ
ดังนี้.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงให้ท่านนันทะ
บวชอย่างนั้น. ตอบว่า เพราะพระศาสดาเป็นผู้ฉลาดในการฝึกเวไนยสัตว์
ด้วยประสงค์ว่า เราจักแสดงโทษก่อนทีเดียว จึงไม่ให้ท่านนันทะสงัดจาก
กามทั้งหลายได้ ก็แล ครั้นให้บวชแล้ว จึงให้สงัดจากกามนั้นโดยอุบาย
จึงยังคุณวิเศษเบื้องบนให้เกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงให้ท่านนันทะนั้นบวช
ก่อน. บทว่า สากิยานี ได้แก่ ธิดาแห่งเจ้าศากยะ. บทว่า ชนปทกลฺยาณี
แปลว่า หญิงผู้มีความงามในชนบท ผู้เลอโฉมโดยรูป เว้นโทษในร่างกาย
6 อย่าง ประกอบด้วยความงาม 5 อย่าง. ก็เพราะเหตุที่เธอไม่สูงนัก
ไม่เตี้ยนัก ไม่ผอมนัก ไม่อ้วนนัก ไม่ดำนัก ไม่ขาวนัก ล่วงวรรณะ
ของมนุษย์ แต่ไม่ถึงวรรณะของเทพ ฉะนั้น จึงชื่อว่าเว้นโทษในร่างกาย
6 ประกอบด้วยความงามเหล่านี้ คือ ผิวงาม เนื้องาม เล็บงาม (บาง
แห่งว่า ผมงาม) กระดูกงาม และวัยงาม. บรรดาความงามเหล่านั้น ผิว
ย่อมทำความสว่าง ในที่ประมาณ 10- 12 ศอก ด้วยแสงสว่างจากสรีระ
ของตน มีผิวเสมอด้วยดอกประยงค์หรือเสมอด้วยทองคำ นี้ชื่อว่า นาง

มีผิวงาม. ส่วนมือทั้งสอง เท้าทั้งสอง และริมฝีปากของนาง เป็นเช่น
กับแก้วประพาฬและผ้ากัมพลแดง ประหนึ่งฉาบทาด้วยน้ำครั้ง นี้ชื่อว่า
นางมีเนื้องาม. ส่วนเล็บทั้ง 20 กาบเป็นเหมือนธารน้ำนม ในที่ที่พ้น
จากเนื้อ ประหนึ่งขจิตด้วยน้ำครั้งในที่ที่ไม่พ้นจากเนื้อ นี้ชื่อว่านางมี
เล็บงาม. ฟัน 32 ซี่เรียบสนิท เป็นเสมือนแถวของแก้วประพาฬที่ขาว
บริสุทธิ์ ย่อมปรากฏเหมือนระเบียบแห่งเพชร นี้ชื่อว่านางมีกระดูกงาม.
นางแม้มีอายุ 120 ปี เป็นเหมือนหญิงสาวอายุ 16 ปี ไม่มีผมหงอกเลย
นี้ชื่อว่านางมีวัยงาม. และนางเป็นผู้มีความดีงามประกอบด้วยคุณสมบัติ
เห็นปานนี้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ชนปทกลฺยาณี นางงามใน
ชนบท.
บทว่า ฆรา นิกฺขมนฺตสฺส เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ใช้ในอรรถอนาทร
อธิบายว่า เมื่อออกจากเรือน. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ฆรา นิกฺขมนฺติ
ดังนี้ก็มี. บทว่า อุปฑฺฒุลฺลิขิเตหิ เกเสหิ เป็นตติยาวิภัตติใช้ในลักษณะ
อิตถัมภูต อธิบายว่า นางเกล้าผมค้างอยู่. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า
อฑฺฒุลฺลิขิเตหิ ดังนี้ก็มี. ก็คำว่า อุลฺลิขิตํ เป็นการทำผมให้ตั้งอยู่โดย
เป็นทรงพังพาน. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า อฑฺฒการวิธานํ ดังนี้ก็มี.
บทว่า อปโลเกตฺวา ได้แก่ ชำเลืองดูด้วยนัยน์ตาอันส่องถึงความซ่านไป
แห่งรสเสน่หา เหมือนผูกพันไว้. บทว่า มํ ภนฺเต ความว่า แม้เมื่อก่อน
นางก็ได้กล่าวซ้ำว่า มํ เอตทโวจ เพราะนางมีจิตวุ่นวายด้วยความ
กระสัน. บทว่า ตุวฏํ แปลว่า เร็ว. บทว่า ตมนุสฺสรมาโน ความว่า
ท่านนันทะหวนระลึกถึงคำของนางนั้น หรือคำที่ประกอบด้วยอาการของ
นางนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงสดับคำของพระนันทะนั้นแล้ว ทรง
พระดำริจะระงับราคะของพระนันทะด้วยอุบาย เมื่อจะนำพระนันทะนั้นไป
ยังภพดาวดึงส์ด้วยกำลังฤทธิ์ จึงทรงแสดงนางลิงลุ่นตัวหนึ่ง ตัวมีหู จมูก
และหางขาด นั่งอยู่บนตอที่ถูกไฟไหม้ ในนาที่ถูกไฟไหม้แห่งหนึ่ง ใน
ระหว่างทาง ทรงนำไปสู่ภพดาวดึงส์. แต่ในพระบาลี พระศาสดาตรัส
เหมือนไปยังภพดาวดึงส์โดยครู่เดียวเท่านั้น ไม่ตรัสการไปอันนั้น ตรัส
หมายเอาภพดาวดึงส์. จริงอยู่ พระศาสดาเมื่อเสด็จไปนั่นแหละ ทรงแสดง
นางลิงลุ่นตัวนั้นแก่ท่านพระนันทะในระหว่างทาง. ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น
การแสดงการคู้ (แขน) เป็นต้น เป็นอย่างไร ? การแสดงอันนั้นควรถือ
เอาว่า เป็นการแสดงการอันตรธานไป. พระศาสดาทรงนำท่านพระนันทะ
ไปยังภพดาวดึงส์ ด้วยประการอย่างนั้น แล้วทรงแสดงนางอัปสร 500
ผู้มีเท้าดังนกพิราบ ผู้มาบำรุงท้าวสักกเทวราช ยืนถวายบังคมพระองค์
อยู่ แล้วตรัสถามความแปลกกัน โดยเทียบรูปสมบัติของนางอัปสร 500
เหล่านั้นกับนางชนบทกัลยาณี. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข
ภควา อายสฺมนตํ นนฺทํ พาหาย คเหตฺวา ฯปฯ กกุฏปาทานิ
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พาหาย คเหตฺวา แปลว่า เหมือนจับแขน.
จริงอยู่ ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรุงแต่งอิทธาภิสังขาร
เช่นอย่างที่ท่านพระนันทะ เป็นเหมือนถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าจับแขนนำไป
ฉะนั้น. ก็ในการนั้น ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาให้ท่านพระ-
นันทะเห็นหรือเข้าไปยังเทวโลกชั้นดาวดึงส์ พระองค์ก็พึงทรงแสดง
เทวโลกนั้นแก่ท่านนันทะ ผู้นั่งอยู่อย่างนั้นแหละ เหมือนในเวลาแสดง
ฤทธิ์ในการเปิดโลก หรือพึงส่งท่านพระนันทะนั่นแหละไปในเทวโลก

ด้วยฤทธิ์. ก็เพราะเหตุที่เพื่อจะถือเอาโดยง่าย ถึงภาวะแห่งอัตภาพของ
มนุษย์เป็นสิ่งที่เลว และน่าเกลียดกว่าอัตภาพอันเป็นทิพย์ พระองค์
ประสงค์จะทรงแสดงนางลิงลุ่นนั้น ในระหว่างทางแก่ท่านพระนันทะ
และมีพระประสงค์จะทรงแสดงให้ท่านนันทะยึดเอาสิริสมบัติ และภาว-
สมบัติในเทวโลก ฉะนั้น จึงทรงพาท่านนันทะไปในเทวโลกนั้น. แม้
ด้วยอาการอย่างนี้ ท่านนันทะก็จักมีความยินดียิ่ง เป็นพิเศษในการอยู่
ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อสมบัตินั้นแล.
บทว่า กกุฏปาทานิ ความว่า ชื่อว่ามีเท้าเหมือนเท้านกพิราบ
เพราะมีสีแดง. ได้ยินว่า นางอัปสรแม้ทั้งหมดนั้น ได้มีเท้าละเอียดอ่อน
เช่นนั้น เพราะได้ถวายน้ำมันสำหรับทาเท้า แก่สาวกของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ.
บทว่า ปสฺสสิ โน ตัดเป็น ปสฺสสิ นุ. บทว่า อภิรูปตรา แปลว่า
มีรูปวิเศษกว่า. บทว่า ทสฺสนียตรา ความว่า ชื่อว่าน่าชมกว่า เพราะ
อรรถว่ากระทำผู้แลดูอยู่แม้ตลอดวัน ก็ไม่อิ่ม. บทว่า ปาสาทิกตรา
ได้แก่ นำมาซึ่งความชื่นชมโดยทั่วไป เพราะมีอวัยวะทุกส่วนงาม.
ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงให้ท่านนันทะผู้มีจิตอันชุ่ม
ด้วยราคะ แลดูนางอัปสรเล่า ? เพื่อจะนำกิเลสของท่านนันทะออกโดย
สะดวกทีเดียว. พึงทราบว่า เหมือนอย่างว่า แพทย์ผู้ฉลาดเยียวยาบุคคลผู้
มีโทษหนาแน่น ชั้นแรกชำระโทษด้วยการดื่มน้ำมันเป็นต้น ภายหลังจึง
ให้นำออกด้วยการอาเจียนและการถ่าย ได้โดยง่ายดายฉันใด พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าผู้ฉลาดในการฝึกเวไนยสัตว์ก็ฉันนั้น ทรงแสดงนางเทพอัปสรกะ

ท่านนันทะผู้มีราคะหนาให้หมดโทษ ทรงประสงค์จะนำท่านนันทะออกโดย
เด็ดขาดด้วยเภสัช คืออริยมรรค.
บทว่า ปลุฏฺฐมกฺกฏี ได้แก่ นางลิงตัวมีอวัยวะเหมือนถูกไฟไหม้.
บทว่า เอวเมวโข ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางลิงลุ่นซึ่งมีหูและ
จมูกขาด ที่พระองค์ทรงแสดงแก่ข้าพระองค์นั้น เทียบกับนางชนบท-
กัลยาณีฉันใด นางชนบทกัลยาณีเทียบกับนางอัปสร 500 เหล่านี้ ก็ฉันนั้น
เหมือนกัน. บทว่า ปญฺจนฺนํ อจฺฉราสตานํ เป็นฉัฏฐีวิภัตติใช้ในอรรถ
ทุติยาวิภัตติ ความว่า ซึ่งนางอัปสร 500. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปญฺจนฺนํ
อจฺฉราสตานํ
นี้ เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ใช้ในอรรถที่เชื่อมกับอวัยวะ. ด้วยคำนั้น
มีอธิบายว่า เทียบรูปสมบัติของนางอัปสร 500. ก็บทว่า อุปนิธาย
ได้แก่ ตั้งอยู่ในที่ใกล้กัน อธิบายว่า เทียบเคียงกัน. บทว่า สงฺขฺยํ ได้แก่
การนับหรือเสี้ยวว่า หญิง. บทว่า กลภาคํ แปลว่า ส่วนแห่งเสี้ยว. เมื่อ
แบ่งส่วนหนึ่งให้เป็น 16 ส่วน แล้วถือเอาส่วนเดียวจาก 16 ส่วนนั้น
แล้วนับโดย 16 ส่วน, ใน 16 ส่วนนั้น แต่ละส่วนท่านประสงค์เอาว่า
ส่วนแห่งเสี้ยว. ท่านกล่าวว่า ไม่เข้าถึงส่วนแห่งเสี้ยวแม้นั้น. บทว่า
อุปนิธึ ได้แก่ แม้วางไว้ในที่ใกล้กัน โดยถือเอาด้วยความเทียบเคียงว่า
หญิงนี้เหมือนกับหญิงนี้.
พรหมจรรย์ที่พระนันทะนี้ไม่ยินดีนั้น กล่าวไว้แล้วและปรากฏใน
กาลก่อน เพราะฉะนั้นเพื่อไม่พาดพิงข้อนั้น จึงให้ท่านเกิดความเอื้อเฟื้อ
ในความยินดียิ่งในพรหมจรรย์นั้น จึงตรัสย้ำว่า ยินดีเถิด นันทะ ยินดี
เถิด นันทะ
ดังนี้. บทว่า อหํ เต ปาฏิโภโค ความว่า เพราะเหตุไร
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารถนาให้ท่านนันทะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์

จึงได้ทรงรับรองประกันไม่ให้ท่านนันทะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ? เพราะ
พระองค์ เพื่อจะทำอารมณ์ที่ท่านนันทะมีความกำหนัดติดแน่นอยู่ แล้วให้
ก้าวไปในอารมณ์ใหม่ จึงสามารถให้ละได้โดยง่าย เพราะเหตุนั้น จึงทรง
รับรองประกัน. ในอนุปุพพิกถา มีกถาปรารภสวรรค์ เป็นเครื่องชี้ถึง
อรรถนี้. บทว่า อสฺโสสุํ ได้แก่ ภิกษุทั้งหลาย ได้ฟังมาอย่างไร ? ก็เพราะ
ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อท่านนันทะแสดงวัตรแล้วไปยังที่พัก
กลางวันของตน ตรัสเรื่องนั้นแก่ภิกษุผู้มาอุปัฏฐาก มีพระประสงค์จะนำ
ความกำหนัดของท่านนันทะในอารมณ์ที่เคยชิน ด้วยอารมณ์ที่จรมา
(ใหม่) แล้วจึงนำออกไป กระทำอารมณ์แม้นั้น ให้เป็นเหตุในมรรค-
พรหมจรรย์ เหมือนบุรุษผู้ฉลาด เอาลิ่มอีกอันหนึ่งตอกลิ่มที่ยังไม่ออกให้
ออกไป แล้วเอามือเป็นต้นจับลิ่มนั้นโยกไปมาแล้วดึงออก จึงทรงพระ-
บัญชาว่า มาเถิดภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ จงเรียกภิกษุนันทะด้วยวาทะ
ลูกจ้างและด้วยวาทะว่า ถูกไถ่มา. ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลอย่างนั้น.
ฝ่ายอาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรับปรุงอิทธาภิ-
สังขารดังที่ภิกษุทั้งหลายรู้เนื้อความนั้น.
บทว่า ภตกวาเทน แปลว่า ด้วยวาทะว่าลูกจ้าง. ก็ผู้ใดทำการงาน
เพื่อค่าจ้าง ผู้นั้นเขาเรียกว่าลูกจ้าง. ท่านพระนันทะแม้นี้ ประพฤติ
พรหมจรรย์อันมีการอยู่ร่วมกับนางอัปสรเป็นเหตุ จึงเป็นเหมือนลูกจ้าง
เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า ภตกวาเทน ดังนี้. บทว่า อุปกฺกิตกวาเทน
ความว่า ผู้ใด ซื้ออะไรด้วยกหาปณะเป็นต้น ผู้นั้น เขาเรียกว่า ผู้ถูกไถ่
มา. แม้ท่านนันทะ ก็ซื้อพรหมจรรย์ของตนเพราะเหตุแห่งนางอัปสร
เพราะฉะนั้น ภิกษุทั้งหลาย จึงเรียกพระนันทะด้วยคำอย่างนี้ว่า ผู้ถูก

ไถ่มา. อีกอย่างหนึ่ง ท่านพระนันทะ ยังชีวิตกล่าวคือ การประพฤติพรหม-
จรรย์ให้เป็นไป ด้วยค่าจ้าง กล่าวคือ การอยู่ร่วมกับนางอัปสร ตาม
พระบัญชาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นเหมือนพระองค์ทรงเลี้ยง ด้วยการ
ยังชีวิตให้เป็นไปด้วยค่าจ้างนั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกว่า ผู้อันพระผู้-
มีพระภาคเจ้าทรงเลี้ยง. อนึ่ง ท่านกระทำการขาย กล่าวคือ การอยู่ร่วม
กับนางอัปสร ให้เป็นสิ่งอันตนพึงยึดเอา แล้วตั้งอยู่ในพระบัญชาของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเป็นเหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไถ่มา ด้วยการ
ขายนั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ผู้อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ไถ่มา.
บทว่า อฏฺฏิยมาโน ได้แก่ ถูกบีบคั้น คือให้ได้รับความลำบาก.
บทว่า หรายมาโน ได้แก่ ละอายอยู่. บทว่า ชิคุจฺฉมาโน ได้แก่
ติเตียนอยู่โดยเป็นของน่าเกลียด. บทว่า เอโก แปลว่า ไม่มีเพื่อน. บทว่า
วูปกฏฺโฐ ความว่า มีกายและจิตสงัดแล้วจากวัตถุกามและกิเลสกาม. บทว่า
อปฺปมตฺโต ได้แก่ ไม่ละสติในกัมมัฏฐาน. บทว่า อาตาปี ได้แก่ ชื่อว่า
ยังกิเลสให้เร่าร้อน เพราะให้เร่าร้อน ด้วยความเพียรทางกายและความ
เพียรทางจิต. ชื่อว่า อาตาปะ เพราะยังกิเลสให้ร้อนทั่ว ได้แก่ ความเพียร.
บทว่า ปหิตตฺโต แปลว่า มีกายส่งไปแล้ว คือมีอัตภาพสละแล้ว โดยไม่
อาลัยในกายและชีวิต หรือมีจิตส่งไปแล้วในพระนิพพาน. บทว่า
นจิรสฺเสว ได้แก่ ไม่นานนักจากการเริ่มกัมมัฏฐาน. บทว่า
ยสฺสตฺถาย ตัดเป็น ยสฺส อตฺถาย. บทว่า กุลปุตฺตา ได้แก่ กุลบุตร 2
จำพวก คือกุลบุตรโดยกำเนิด 1 กุลบุตรโดยมรรยาท 1. แต่ท่านพระ-
นันทะนี้ เป็นบุตรมีสกุลทั้งสองฝ่าย. บทว่า สมฺมเทว ได้แก่ โดยเหตุ

และโดยการณ์. บทว่า อคารสฺมา แปลว่า จากเรือน. บทว่า อนคาริยํ
แปลว่า การบรรพชา. จริงอยู่ กรรมมีกสิกรรมและวณิชยกรรมเป็นต้น
เป็นประโยชน์แก่เรือน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อคาริยะ. กรรมนั้นไม่มี
ในบรรพชานี้ เพราะฉะนั้น บรรพชา จึงเรียกว่า อนคาริยะ. บทว่า
ปพฺพชนฺติ แปลว่า เข้าถึง. บทว่า ตทนุตฺตรํ ตัดเป็น ตํ อนุตฺตรํ. บทว่า
พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ได้แก่ อรหัตผล อันเป็นที่สุดแห่งมรรคพรหม-
จรรย์. จริงอยู่ กุลบุตรทั้งหลาย ย่อมบวชในพระศาสนานี้ เพื่อประโยชน์
แก่อรหัตผลนั้น. บทว่า ทิฏฺเฐว ธมฺเม คือ ในอัตภาพนั้นเอง. บทว่า
สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ความว่า กระทำให้ประจักษ์ด้วยปัญญาตนเอง
ทีเดียว อธิบายว่า รู้โดยไม่มีผู้อื่นเป็นเหตุ. บทว่า อุปสมฺปชฺชิ วิหาสิ
ได้แก่ ถึงหรือสำเร็จอยู่. ท่านแสดงปัจจเวกขณภูมิ (ของท่านพระนันทะ)
ด้วยคำนี้ว่า ท่านพระนันทะเป็นอยู่อย่างนี้แหล่ะ จึงรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
ฯ ล ฯ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขีณา ชาติ ได้แก่ ก่อนอื่นชาติที่เป็น
อดีตของท่านพระนันทะนั้น สิ้นไปก็หามิได้ เพราะสิ้นไปในอดีตแล้ว
ชาติที่เป็นอนาคตของท่าน สิ้นไปแล้วก็หามิได้ เพราะยังไม่มาทั้งใน
อดีตและปัจจุบัน ชาติที่เป็นปัจจุบันของท่าน สิ้นไปแล้วก็หามิได้ เพราะ
ยังมีอยู่. อนึ่ง ชาติใดอันต่างด้วยขันธ์ 1 ขันธ์ 4 และขันธ์ 5 ในเอก-
โวการภพ จตุโวการภพและปัญจโวการภพ จะพึงเกิดขึ้น เพราะยังไม่
เจริญมรรค ชาตินั้น ชื่อว่า สิ้นไปแล้ว เพราะถึงความไม่เกิดขึ้นเป็น
ธรรมดา ที่ได้เจริญมรรคแล้ว. ท่านพระนันทะนั้น พิจารณาถึงกิเลสที่
ละแล้วด้วยมรรคภาวนา จึงรู้ยิ่งถึงชาตินั้น ด้วยการรู้ว่า กรรมแม้มีอยู่

ก็ไม่มีปฏิสนธิต่อไป เพราะไม่มีกิเลส. บทว่า วุสิตํ ความว่า อยู่แล้ว
คืออยู่จบแล้ว ได้แก่ กระทำแล้ว ประพฤติแล้ว อธิบายว่า สำเร็จแล้ว.
บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่ มรรคพรหมจรรย์. ก็พระเสขะ 7 จำพวกรวม
กับกัลยาณปุถุชน ชื่อว่า กำลังอยู่พรหมจรรย์. พระขีณาสพ ชื่อว่า ผู้อยู่
จบพรหมจรรย์แล้ว. เพราะฉะนั้น ท่านพระนันทะนั้น เมื่อพิจารณาการ
อยู่พรหมจรรย์ของตน จึงรู้ชัดว่า พรหมจรรย์เราอยู่จบแล้ว. บทว่า กตํ
กรณียํ
ความว่า ให้กิจ 16 อย่างสำเร็จ โดยปริญญากิจ ปหานกิจ สัจฉิ-
กิริยากิจ และภาวนากิจ ในสัจจะ 4 ด้วยมรรค 4. จริงอยู่ กัลยาณ-
ปุถุชนเป็นต้น ชื่อว่า กำลังทำกิจนั้น. พระขีณาสพ ชื่อว่า ทำกรณียกิจ
เสร็จแล้ว. เพราะเหตุนั้น ท่านพระนันทะ เมื่อพิจารณากรณียกิจของตน
จึงรู้ชัดว่า กรณียกิจทำแล้ว. บทว่า นาปรํ อิตฺถตฺตาย ความว่า รู้ชัดว่า
บัดนี้ เราไม่มีเพื่อความเป็นอย่างนี้ต่อไป คือเพื่อกิจ 16 อย่างนี้ หรือ
เพื่อเจริญเป็นที่สิ้นกิเลส. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า นาปรํ อิตฺถตฺตาย ความว่า
รู้ชัดว่า ขันธสันดานต่อไปจากความเป็นอย่างนี้ คือจากขันธสันดานที่เป็น
ปัจจุบันนี้ คือที่มีประการดังกล่าวนี้ ไม่มีแก่เรา แต่ขันธ์ 5 เหล่านี้ เรา
กำหนดรู้แล้วดำรงอยู่ เหมือนต้นไม้ขาดรากแล้ว ขันธ์ 5 เหล่านั้น จักดับ
คือถึงความไม่มีบัญญัติ เพราะดับจริมกจิต เหมือนไฟดับไม่มีเชื้อฉะนั้น.
บทว่า อญฺญตโร ได้แก่ ท่านพระนันทะเป็นผู้หนึ่ง และได้เป็นพระมหา-
สาวกผู้หนึ่งในภายในอรหันตสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
บทว่า อญฺญตรา เทวตา ได้แก่ พรหมเทวดาองค์หนึ่งผู้บรรลุมรรค.
จริงอยู่ พรหมเทวดานั้น รู้ชัดถึงอารมณ์ของพระอเสขะ เพราะตนเอง
เป็นพระอเสขะ. ก็พระเสขะทั้งหลาย ย่อมรู้อารมณ์ของพระเสขะนั้น ๆ ได้

ส่วนปุถุชนย่อมรู้เฉพาะอารมณ์ปุถุชนของตนเท่านั้น. บทว่า อภิกฺกนฺตาย
รตฺติยา
ได้แก่ เมื่อราตรีผ่านไป, อธิบายว่า เมื่อมัชฌิมยามผ่านไป. บทว่า
อภิกฺกนฺตวณฺณา แปลว่า มีวรรณะสูงสุดยิ่ง. บทว่า เกวลกปฺปํ ได้แก่
โดยรอบไม่มีส่วนเหลือ. บทว่า โอภาเสตฺวา ได้แก่ ทำพระเชตวันให้มี
แสงสว่างเป็นอันเดียวกัน ด้วยรัศมีของตน เหมือนพระจันทร์และพระ-
อาทิตย์. บทว่า เตนุปสงฺกมิ ความว่า พรหมเทวดานั้น ทราบว่า ท่าน
พระนันทะบรรลุพระอรหัตแล้ว จึงเกิดปีติโสมนัสเข้าไปเฝ้า ด้วยหมายใจ
ว่า จักกราบทูลความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ในบทว่า อาสวานํ ขยา นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ ชื่อว่า อาสวะ
เพราะอรรถว่า ไหลไป อธิบายว่า เป็นไปทางจักษุทวารเป็นต้น. อีกอย่าง
หนึ่ง ชื่อว่า อาสวะ เพราะอรรถว่า ไหลไปจนถึงโคตรภู หรือจนถึง
ภวัคคพรหม, อธิบายว่า กระทำธรรมเหล่านี้และโอกาสนี้ให้อยู่ภายใน
ไหลไป. ชื่อว่า อาสวะ เพราะอรรถว่า เหมือนน้ำดองมีสุราเป็นต้น
เพราะหมักไว้นาน. พึงทราบความที่อาสวะเหล่านั้นหมักอยู่นาน ด้วย
พระดำรัสมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นของอวิชชาไม่ปรากฏ.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อาสวะ เพราะอรรถว่า ถึง คือประสบสงสารทุกข์
อันยืดยาว. ก็ในข้อนี้ อรรถต้นย่อมควรในกิเลส อรรถหลัง ย่อมควร
ทั้งในกรรม. ก็ไม่ใช่แต่กรรมกิเลสอย่างเดียวเท่านั้น ที่ชื่อว่า อาสวะ โดย
ที่แท้ อุปัทวะมีประการต่าง ๆ ก็ชื่อว่า อาสวะ. จริงอย่างนั้น กิเลสอัน
เป็นวิวาทมูลมาโดยชื่อว่า อาสวะ ในพระดำรัสนี้ว่า ดูก่อนจุนทะ เราหา
ได้แสดงธรรม เพื่อสังวรอาสวะอันเป็นไปในปัจจุบันอย่างเดียวก็หาไม่.

กรรมที่เป็นไปในภูมิ 3 และอกุศลธรรมทั้งหมดมา โดยชื่อว่า อาสวะ
ในคำเป็นคาถานี้ว่า
ความบังเกิดเป็นเทวดา หรือคนธรรพ์ ผู้เที่ยว
ไปในเวหา พึงมีแก่เราด้วยอาสวะใด เราพึงถึง
ความเป็นยักษ์ และเกิดเป็นมนุษย์ด้วยอาสวะใด
อาสวะเหล่านั้นของเราสิ้นไปแล้ว เรากำจัดเสียแล้ว
กระทำให้ปราศจากเครื่องผูกพัน.

ก็อุปัทวะมีประการต่าง ๆ มีการเบียดเบียนผู้อื่น ความเดือดร้อน
การฆ่า และการจองจำเป็นต้น และอันเป็นอบายทุกข์เหล่านั้น ชื่อว่า
อาสวะ เพราะบาลีว่า เพื่อปิดกั้นอาสวะอันเป็นปัจจุบัน เพื่อกำจัดอาสวะ
ที่เป็นไปในภพหน้า. มาในพระวินัย โดยส่วน 2 คือ เพื่อปิดกั้นอาสวะ
อันเป็นปัจจุบัน เพื่อกำจัดอาสวะที่เป็นไปในภพหน้า. มาในสฬายตน-
สูตร โดยส่วน 3 คือ อาวุโส อาสวะ 3 เหล่านี้ คือ กามาสวะ ภวาสวะ
อวิชชาสวะ. และมาในสุตตันตะอื่นก็เหมือนกัน. ในอภิธรรม อาสวะ 3
นั้นแหละ มาเป็น 4 กับทิฏฐาสวะ. ในนิพเพธิกปริยายสูตร มาเป็น 5
อย่าง โดยพระดำรัสมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะเพื่อให้สัตว์ไป
สู่นรกมีอยู่. ในฉักกนิบาตมาเป็น 6 อย่าง โดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย อาสวะที่จะพึงละด้วยสังวรธรรมมีอยู่. ในสัพพาสวปริยายสูตร
อาสวะเหล่านั้นนั่นแหละรวมกับทัสสนปหาตัพพธรรม มาเป็น 7 อย่าง
แต่ในที่นี้ พึงทราบอาสวะ 4 ตามนัยที่มาในอภิธรรม. ก็ในบทว่า ขยา นี้
ตรัสความแตกต่างอาสวะพร้อมด้วยกิจว่า อาสวักขยะในประโยคมีอาทิว่า
ความสิ้นไป ความแตกไป ความทำลายไปแห่งอาสวะใด. ตรัสความไม่

เกิดขึ้นต่อไปแห่งอาสวะว่า อาสวักขยะ ในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นอาสวะแก่ผู้รู้อยู่เห็นอยู่. ตรัสมรรคจิตว่า
อาสวักขยะ ในประโยคมีอาทิว่า
ปฐมญาณ (อนัญญตัญญัสสามิตินทรีย์) ย่อม
เกิดขึ้น ในเพราะโสดาปัตติมรรค อันเป็นเครื่องทำ
กิเสสทั้งหลายให้สิ้นไป แก่พระเสขะผู้ยังต้องศึกษา
อยู่ ผู้ปฏิบัติตามทางอันตรง ปัญญาที่รู้ทั่วถึง (อัญ-
ญินทรีย์) ย่อมเกิดขึ้นในลำดับแต่ปฐมญาณนั้น.

ตรัสผลจิตว่า อาสวักขยะ ในประโยคมีอาทิว่า เป็นสมณะ เพราะ
ความสิ้นอาสวะ. ตรัสพระนิพพานว่า อาสวักขยะ ในประโยคมีอาทิว่า
อาสวะทั้งหลาย ย่อมเจริญแก่ผู้ตามเห็นโทษ
ผู้อื่น ผู้สำคัญในการเพ่งโทษเป็นนิจ บุคคลนั้นชื่อว่า
เป็นผู้ไกลจากธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ.

แต่ในที่นี้ ตรัสความสิ้นไปแห่งอาสวะโดยส่วนเดียว คือความไม่
เกิดขึ้นแห่งอาสวะหรือมรรคจิตว่า อาสวักขยะ.
บทว่า อนาสวํ ได้แก่ ผู้ละอาสวะโดยประการทั้งปวง ด้วยปฏิ-
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์. บทว่า เจโตวิมุตฺตึ ได้แก่ สมาธิอันสัมปยุตด้วย
อรหัตผล. บทว่า ปญฺญาวิมุตฺตึ ได้แก่ ปัญญาอันสัมปยุตด้วยอรหัตผล.
คำทั้งสอง มีอรรถแสดงภาวะที่สมถะและวิปัสสนาเนื่องกันเป็นคู่ แม้ใน
ผลจิตเหมือนในมรรคจิต. บทว่า ญาณํ ได้แก่ พระสัพพัญญุตญาณ.
ในลำดับคำของเทวดานั้นแหละ แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง
คำนึงทรงพิจารณาว่า เป็นอย่างนั้นหรือหนอ ญาณก็เกิดขึ้นว่า นันทะ

ทำให้แจ้งพระอรหัตแล้ว. จริงอยู่ ท่านพระนันทะ ถูกภิกษุผู้สหายเย้ยหยัน
เช่นนั้น จึงเกิดความสังเวชขึ้นว่า ข้อที่เราบวชในพระธรรมวินัย ที่ตถาคต
ตรัสดีแล้วอย่างนี้ ได้กระทำพระศาสดาให้เป็นผู้รับประกัน เพื่อได้นาง
อัปสรนั้น จัดว่าเราทำกรรมหนักหนอ จึงเข้าไปตั้งหิริและโอตตัปปะ
เพียรพยายามบรรลุพระอรหัต แล้วคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงให้พระผู้มี-
พระภาคเจ้าพ้นจากการรับรอง. ท่านเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบ
ทูลความประสงค์ของตนแด่พระศาสดา. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
อถ โข อายสฺมา นนฺโท ฯ ป ฯ เอตสฺมา ปฏิสฺสวา ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิสฺสวา ความว่า จากการรับรอง
การประกัน คือจากปฏิญญาว่า เราเป็นผู้ประกันเพื่อให้ได้นางอัปสร.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสแก่ท่านว่า เพราะเหตุที่เรา
รู้ข้อนี้ว่า เธอยินดีพระอรหัตผล ทั้งเทวดาก็บอกแก่เรา ฉะนั้น เราจึง
ไม่ถูกท่านให้พ้นจากการรับรองในบัดนี้ เพราะท่านพ้นแล้วด้วยการบรรลุ
พระอรหัตนั้นเอง. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า ยเทว โข เต
นนฺท
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยเทว ตัดเป็น ยทา เอว. บทว่า เต
แก้เป็น ตว แปลว่า ของท่าน. บทว่า มุตฺโต แปลว่า พ้นแล้ว. ท่าน
กล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า ในกาลใดแล จิตของท่านพ้นจากอาสวะ ในกาล
นั้น คือในลำดับนั้นเอง เราพ้นจากการรับรองนั้น. ฝ่ายท่านพระนันทะ
ในเวลาเจริญวิปัสสนานั่นเอง เกิดความอุตสาหะขึ้นว่า เราจักข่มการไม่
สังวรอินทรีย์ ที่เราอาศัยถึงประการอันแปลกนี้เท่านั้นด้วยดี มีหิริและ
โอตตัปปะอย่างแก่กล้า และได้ถึงปฏิปทาอย่างอุกฤษฏ์ในอินทรีย์สังวร

เพราะได้ทำบุญญาธิการไว้ในเรื่องนั้น. สมดังพระดำรัสที่ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ถ้าว่าท่านนันทะพึงตรวจดูทิศตะวันออกไซร้ ท่านประมวลจิต
ทั้งหมดมาดูทิศตะวันออก ด้วยคิดว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เราเหลียวดูทิศ
ตะวันออก อภิชฌา โทมนัส อกุศลธรรมที่ลามก ไม่พึงติดตาม ดังนั้น
ท่านจึงมีสัมปชัญญะในข้อนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่า ท่านนันทะพึง
ตรวจดูทิศตะวันตก ฯ ลฯ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเบื้องสูง ทิศเบื้องต่ำ
ทิศเฉียงไซร้ เธอประมวลจิตทั้งหมด เหลียวดูทิศเฉียงนั้น ด้วยคิดว่า
เมื่อเป็นเช่นนี้ เรา ฯ ลฯ มีสัมปชัญญะ. ด้วยเหตุนั้น พระศาสดาจึง
สถาปนาท่านพระนันทะนั้นไว้ในเอตทัคคะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดา
ภิกษุผู้สาวกของเราผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ท่านนันทะเป็นเลิศ.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบโดยประการทั้งปวง
ถึงความนั้น กล่าวคือการที่ท่านพระนันทะทำอาสวะทั้งปวงให้สิ้น แล้ว
ถึงความเป็นผู้คงที่ ในโลกธรรมมีสุขเป็นต้น. บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า
ทรงเปล่งอุทานนี้ อันประกาศความนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส ติณฺโณ กามปลฺโก ความว่า
เปือกตมคือทิฏฐิทั้งหมด อันพระอริยบุคคลใดข้ามแล้ว ด้วยสะพานคือ
อริยมรรค หรือเปือกตมคือสงสารนั่นเอง อันพระอริยบุคคลใดข้ามแล้ว
ด้วยการถึงฝั่งคือพระนิพพาน. บทว่า มทฺทิโต กามกณฺฏโก ความว่า
กิเลสกามทั้งหมด คือว่าหนามคือกามทั้งหมดอันได้นามว่า กามกัณฏกะ
เพราะเสียดแทงเหล่าสัตว์ อันพระอริยบุคคลใดย่ำยีแล้ว คือหักเสียแล้ว
ทำลายแล้วอย่างสิ้นเชิง ด้วยท่อนไม้คืออรหัตมรรคญาณ. บทว่า โม-
หกฺขยํ อนุปฺปตฺโต
ความว่า ก็ท่านพระนันทะผู้เป็นอย่างนี้ บรรลุความ

สิ้นโมหะ โดยธรรมสัมโมหะทั้งหมดอันมีทุกข์เป็นต้น เป็นอารมณ์ให้สิ้นไป
คือบรรลุพระอรหัตผลและพระนิพพาน. บทว่า สุขทุกฺเขสุ น เวธติ ส
ภิกฺขุ
ความว่า ภิกษุผู้ทำลายกิเลสนั้น ย่อมไม่หวั่น ไม่ไหวในสุขที่เกิด
ขึ้นเพราะประจวบกันอิฏฐารมณ์ และในทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะประจวบกับ
อนิฏฐารมณ์ คือไม่ถึงความเปลี่ยนแปลงแห่งจิตอันมีสุขทุกข์นั้นเป็นเหตุ.
ก็บทว่า สุขทุกฺเขสุ นี้ เป็นเพียงเทศนา. พึงทราบว่า ท่านพระนันทะ
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมแม้ทั้งหมด.
จบอรรถกถานันทสูตรที่ 2

3. ยโสชสูตร



ว่าด้วยเสียงอื้ออึง



[71] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ภิกษุ
ประมาณ 500 รูป มีพระยโสชะเป็นประมุข เดินทางมาถึงพระนคร
สาวัตถีโดยลำดับ เพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ภิกษุอาคันตุกะเหล่านั้น
ปราศรัยอยู่กับภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเจ้าถิ่น ปูลาดเสนาสนะ เก็บบาตรและ
จีวรกันอยู่ ได้ส่งเสียงอื้ออึง ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามท่าน
พระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ ใครนั่นมีเสียงอื้ออึงเหมือนชาวประมง
แย่งปลากัน ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุ
ประมาณ 500 รูป มีพระยโสชะเป็นประมุขเหล่านี้ เดินทางมาถึงพระนคร-