เมนู

ดังนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงประกาศเหตุในการให้เยียวยาพระ-
เถระ สำหรับเหล่าชนผู้คิดว่า เพื่อประโยชน์อะไร พระเถระนี้จึงให้หมอ
เยียวยาโรคของตนแล้ว นั่งในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า
จบอรรถกถากรรมสูตรที่ 1

2. นันทสูตร



ว่าด้วยเรื่องบอกคืนสิกขาลาเพศ



[67] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่าน
พระนันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาคเจ้า โอรสของพระมาตุจฉา ได้
บอกแก่ภิกษุเป็นอันมากอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผมไม่ยินดี
ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่สามารถจะทรงพรหมจรรย์อยู่ได้ ผมจะบอกคืน
สิกขาลาเพศ ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่
ประทับถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระนันทะพระภาดา
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า โอรสของพระมาตุจฉา ได้บอกแก่ภิกษุเป็นอัน
มากอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผมไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์
ไม่สามารถจะทรงพรหมจรรย์ ผมจะบอกคืนสิกขาลาเพศ ลำดับนั้นแล
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งว่า มาเถิดภิกษุ เธอจงเรียก
นันทภิกษุมาตามคำของเราว่า ดูก่อนท่านนันทะ พระศาสดารับสั่งให้หา

ท่าน ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเข้าไปหาท่านพระนันทะถึงที่
อยู่ ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะท่านพระนันทะว่า ดูก่อนท่านนันทะ พระ-
ศาสดารับสั่งให้หาท่าน ท่านพระนันทะรับคำภิกษุนั้นแล้วเข้าไปเฝ้าพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านพระนันทะว่า ดูก่อนนันทะ ได้ยินว่า
เธอได้บอกแก่ภิกษุเป็นอันมากอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผมไม่
ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ฯ ล ฯ ผมจักบอกคืนสิกขาลาเพศ ดังนี้จริงหรือ
ท่านพระนันทะกราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนนันทะ ท่านไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ จักไม่สามารถ
ทรงพรหมจรรย์ไว้ได้ จักบอกคืนสิกขาลาเพศเพื่อเหตุไรเล่า.
น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ออกจากเรือน นาง-
สากิยานีชนบทกัลยาณีมีผมอันสางไว้กึ่งหนึ่งแลดูแล้ว ได้กล่าวกะข้า-
พระองค์ว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า ขอพระลูกเจ้าพึงด่วนเสด็จกลับมา ข้า-
พระองค์ระลึกถึงคำของนางนั้น จึงไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ ไม่
สามารถจะทรงพรหมจรรย์ไว้ได้ จักบอกคืนสิกขาลาเพศ.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจับท่านพระนันทะที่แขน แล้ว
ทรงหายจากพระวิหารเชตวัน ไปปรากฏในเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ เหมือน
บุรุษมีกำลัง พึงเหยียดแขนที่คู้ หรือพึงคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น.
[68] ก็สมัยนั้นแล นางอัปสรประมาณ 500 มีเท้าดุจนกพิราบ
มาสู่ที่บำรุงของท้าวสักกะจอมเทพ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะ
ท่านพระนันทะว่า ดูก่อนนันทะ เธอเห็นนางอัปสร 500 เหล่านี้ผู้มีเท้า
ดุจนกพิราบหรือไม่ ท่านพระนันทะทูลรับว่า เห็น พระเจ้าข้า.

พ. ดูก่อนนันทะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน นางสากิยานี
ผู้ชนบทกัลยาณี หรือนางอัปสรประมาณ 500 เหล่านี้ ซึ่งมีเท้าดุจนก-
พิราบ ไหนหนอมีรูปงามกว่า น่าดูกว่า หรือน่าเลื่อมใสกว่า.
น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางลิงตัวมีอวัยวะใหญ่น้อยถูกไฟไหม้
หูและจมูกขาด ฉันใด นางสากิยานีผู้ชนบทกัลยาณีก็ฉันนั้นแล เมื่อเทียบ
กับนางอัปสรประมาณ 500 เหล่านี้ ย่อมไม่เข้าถึงเพียงหนึ่งเสี้ยว ไม่
เข้าถึงเพียงส่วนหนึ่งของเสี้ยว ไม่เข้าถึงเพียงการเอาเข้าไปเปรียบว่าหญิง
นี้เป็นเช่นนั้น ที่แท้นางอัปสรประมาณ 500 เหล่านี้มีรูปงามกว่า น่าดู
กว่า และน่าเลื่อมใสกว่าพระเจ้าข้า.
พ. ยินดีเถิดนันทะ อภิรมย์เถิดนันทะ เราเป็นผู้รับรองเธอเพื่อ
ให้ได้นางอัปสรประมาณ 500 ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ.
น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับรองข้า-
พระองค์เพื่อให้ได้นางอัปสรประมาร 500 ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบไซร้
ข้าพระองค์จักยินดีประพฤติพรหมจรรย์ พระเจ้าข้า.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจับท่านพระนันทะที่แขน
แล้วทรงหายจากเทวดาชั้นดาวดึงส์ ไปปรากฏที่พระวิหารเชตวัน เหมือน
บุรุษมีกำลังพึงเหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น ภิกษุทั้งหลาย
ได้สดับข่าวว่า ท่านพระนันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาคเจ้า โอรส
ของพระมาตุจฉา ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะเหตุแห่งนางอัปสร ได้ยิน
ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้รับรองท่าน เพื่อให้ได้นางอัปสรประมาณ
500 ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ.
[69] ครั้งนั้นแล ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสหายของท่านพระนันทะ

ย่อมร้องเรียกท่านพระนันทะด้วยวาทะว่าเป็นลูกจ้าง และด้วยวาทะว่าผู้อัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไถ่มาว่า ได้ยินว่า ท่านพระนันทะเป็นลูกจ้าง
ได้ยินว่า ท่านพระนันทะเป็นผู้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไถ่มา ท่าน
ประพฤติพรหมจรรย์เพราะเหตุนางอัปสร ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงเป็นผู้รับรองท่าน เพื่อให้ได้นางอัปสร 500 ซึ่งมีเท้าดุจนกพิราบ.
ครั้งนั้นแล ท่านพระนันทะอึดอัดระอาเกลียดชังด้วยวาทะว่า เป็น
ลูกจ้าง และด้วยวาทะว่าเป็นผู้อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไถ่มาของพวก
ภิกษุผู้เป็นสหาย จึงหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร
มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ ไม่นานนักก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อัน
ยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น
ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น
อย่างนี้มิได้มี ก็ท่านพระนันทะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวน
พระอรหันต์ทั้งหลาย.
[70] ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว เทวดาองค์หนึ่งมี
วรรณะงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ท่านพระนันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาคเจ้า โอรสของพระมาตุจฉา
ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะ
ทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ แม้ญาณก็ได้เกิด
ขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระนันทะทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญา-

วิมุตติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.
ครั้นพอล่วงราตรีนั้นไป ท่านพระนันทะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค-
เจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงรับรองข้าพระองค์ เพื่อให้ได้นางอัปสร 500 ผู้มีเท้าดุจนก-
พิราบ ข้าพระองค์ขอปลดเปลื้องพระผู้มีพระภาคเจ้าจากการรับรองนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนันทะ แม้เราก็กำหนดรู้ใจของเธอด้วย
ใจของเรา นันทะทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะ
มิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึง
อยู่ แม้เทวดาก็ได้บอกเนื้อความนี้แก่เราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่าน
พระนันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาคเจ้า โอรสของพระมาตุจฉา ทำให้
แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลาย
สิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ดูก่อนนันทะ เมื่อใด
แล จิตของเธอหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น เมื่อนั้น
เราพ้นแล้วจากการรับรองนี้.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ภิกษุใดข้ามเปือกตูมคือกามได้แล้ว ย่ำยีหนาม
คือกามได้แล้ว ภิกษุนั้นบรรลุถึงความสิ้นโมหะ ย่อม
ไม่หวั่นไหวในเพราะสุขและทุกข์.

จบนันทสูตรที่ 2

อรรถกถานันทสูตร



นันทสูตรที่ 2 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า นนฺโท เป็นชื่อของพระเถระนั้น. จริงอยู่ พระเถระนั้น
ได้นามว่านันทะ เพราะมารดาบิดา บริวารชน และเครือญาติทั้งสิ้นเกิด
ความยินดี เพราะท่านประกอบด้วยลักษณะแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ. บทว่า
ภควโต ภาตา ความว่า ชื่อว่าเป็นพระภาดา เพราะเป็นโอรสร่วมบิดา
เดียวกันกับพระผู้มีพระภาคเจ้า. จริงอยู่ ไม่มีพระโอรสที่เกิดร่วมครรภ์กับ
พระผู้มีพระภาคเจ้า. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มาตุจฺฉาปุตฺโต อธิบาย
ว่าเป็นโอรสของพระน้านาง. ด้วยว่าท่านเป็นโอรสของพระน้านางนามว่า
มหาปชาบดีโคตมี. บทว่า อนภิรโต ตัดเป็น น อภิรโต แปลว่า ไม่ยินดี
ยิ่ง. บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่ การประพฤติดังพรหม คือ ประเสริฐ
สูงสุด มีที่นั่งอันเดียว ที่นอนอันเดียว เว้นเมถุนธรรม. บทว่า สนฺตาเนตุํ
ได้แก่ เพื่อจะยังจิตดวงแรกจนถึงจิตดวงสุดท้ายให้ดำเนินไป คือให้เป็น
ไปโดยชอบ คือ บริบูรณ์ บริสุทธิ์. ก็ในข้อนี้ พึงทราบสังคหะ คือการ
สงเคราะห์มรรคพรหมจรรย์ ด้วยบทว่า พรหมจรรย์ บทที่ 2. บทว่า
สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย ความว่า ห้าม คือสละสิกขา 3 ที่สมาทานพร้อมกับ
ความเป็นภิกษุภาวะในเวลาอุปสมบทซึ่งไม่ตั้งขึ้น โดยภาวะที่ควรจะบัง-
เกิด. บทว่า หีนาย แปลว่า เพื่อความเป็นคฤหัสถ์. บทว่า อาวตฺติสฺ-
สามิ
ได้แก่ จักกลับไป. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ท่านจึงกราบทูลอย่าง
นั้น ? ในข้อนั้น มีอนุบุพพิกถาดังต่อไปนี้ :-
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวรแล้ว เสด็จไป
กรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ ณ พระเวพุวันวิหาร อันพระกาฬุทายิเถระ