เมนู

นันทวรรควรรณนาที่ 3



อรรถกถากรรมสูตร



นันทวรรค

กรรมสูตรที่ 1 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อญฺญตโร ภิกฺขุ ได้แก่ ภิกษุผู้ขีณาสพรูปหนึ่ง ซึ่งไม่
ปรากฏนามและโคตร.
ได้ยินว่า ภิกษุนั้นเป็นกุลบุตรชาวกรุงราชคฤห์ อันพระมหาโมค-
คัลลานะให้สังเวชแล้ว เห็นโทษในสงสาร จึงบรรพชาในสำนักพระ-
ศาสดา ชำระศีลให้หมดจด ยึดเอากรรมฐานอันสัมปยุตด้วยสัจจะ 4
ไม่นานนัก ได้บำเพ็ญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต. ภายหลังท่านได้เกิด
อาพาธอย่างแรงกล้า. ท่านยับยั้งด้วยการพิจารณาอยู่ จริงอยู่ ธรรมดา
ว่าพระขีณาสพไม่มีทุกข์ทางใจ แต่ทุกข์ทางกายยังมีอยู่เหมือนกัน. วัน-
หนึ่ง เมื่อพระศาสดากำลังแสดงธรรม ท่านอดกลั้นทุกข์นั่งสมาธิอยู่ในที่ไม่
ไกล. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า ภควโต อวิทูเร นิสินฺโน
โหติ
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปลฺลงฺกํ แปลว่า นั่งพับขาโดยรอบ.
บทว่า อาภุชิตฺวา แปลว่า พับ. บทว่า อุชุํ กายํ ปณิธาย ความว่า
ท่านตั้งกายเบื้องบนให้ตรง แล้วให้กระดูกสันหลัง 18 ข้อจดถึงกัน. ก็
เมื่อท่านนั่งอย่างนี้ หนัง เนื้อ และเอ็นจะไม่ตึง เพราะฉะนั้น ท่านจึง
ได้นั่งอย่างนั้น. บทว่า ปุราณกมฺมวิปากชํ แปลว่า เกิดโดยเป็นวิบากแห่ง
กรรมที่ทำไว้ก่อน. อีกอย่างหนึ่ง เกิดโดยความเป็นส่วนหนึ่งแห่งกรรม
นั้น ในเมื่อวิบากของกรรมเก่า ซึ่งมีอาการเป็นสุขและทุกข์ เกิดเป็น
วิปากวัฏ. ข้อนั้นคืออะไร ? คือทุกข์. ก็ด้วยคำว่า ปุราณกมฺมวิปากชํ นี้

ท่านแสดงถึงอาพาธนั้นมีกรรมเป็นสมุฏฐาน จึงห้ามความที่กรรมเกิดจาก
ฤดูเปลี่ยนแปรเป็นต้นอันรู้สึกเจ็บปวด. บทว่า ทุกฺขํ ได้แก่ ทุกข์อัน
ปุถุชนไม่สามารถจะทานได้. บทว่า ติปฺปํ แปลว่า แรงกล้า หรือหนัก
เพราะครอบงำเป็นไป. บทว่า ขรํ แปลว่า กล้าแข็ง. บทว่า กฏุกํ
แปลว่า ไม่สำราญ. บทว่า อธิวาเสนฺโต แปลว่า ยับยั้ง คือ อดกลั้น
อดทน เป็นอย่างสูง. บทว่า สโต สมฺปชาโน ได้แก่ มีสติ มีสัมปชัญญะ
ด้วยอำนาจสติและสัมปชัญญะ อันเป็นตัวกำหนัดเวทนา. ท่านกล่าวคำ
อธิบายนี้ไว้ว่า ธรรมดาว่าเวทนานี้ ชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะอรรถว่ามีแล้ว
กลับไม่มี ชื่อว่า ปฏิจจสมุปปันนะ เพราะอาศัยปัจจัยมีอารมณ์ที่ไม่น่า
ปรารถนาเป็นต้นเกิดขึ้น ชื่อว่า มีความสิ้น มีความเสื่อม มีคลายกำหนัด
มีดับเป็นธรรมดา เพราะมีการเกิดขึ้นแล้วแตกไปโดยส่วนเดียวเป็นสภาวะ
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า สโต มีสติ เพราะเป็นผู้กระทำสติโดยกำหนด
เวทนาว่าเป็นอนิจจตาความไม่เที่ยง และชื่อว่าเป็นผู้มีสัมปชัญญะ เพราะ
แทงตลอดสภาวะที่ไม่แปรผัน. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เป็นผู้มีสติ เพราะมี
สติปรากฏด้วยดีในกาย เวทนา จิต และธรรม ในที่ทุกแห่ง โดยถึงความ
เป็นผู้ไพบูลย์ด้วยสติ ชื่อว่า เป็นผู้มีสัมปชัญญะ เพราะเป็นผู้กำหนด
สังขาร โดยถึงความเป็นผู้ไพบูลย์ด้วยปัญญา โดยประการนั้น. บทว่า
อวิหญฺญมาโน ความว่า ไม่เดือดร้อนเหมือนอันธปุถุชน โดยนัยดังตรัส
ไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ อันทุกขธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
ถูกต้องแล้ว ย่อมเศร้าโศก ย่อมลำบาก ย่อมร่ำไร คร่ำครวญ ตีอก ถึง
ความงมงาย ดังนี้ ไม่ให้ทุกข์ทางใจเกิดขึ้น เพราะถอนขึ้นได้ด้วยมรรค
นั่นเอง นั่งอดกลั้นทุกข์ในร่างกายซึ่งเกิดแต่วิบากแห่งกรรมอย่างเดียว

เหมือนบุคคลนั่งเข้าสมาบัติ. บทว่า อทฺทส ความว่า ได้ทรงเห็นท่านผู้มี
อายุนั้นนั่งอยู่อย่างนั้น ด้วยอธิวาสนขันติ.
บทว่า เอตมตฺถํ ความว่า ทรงทราบโดยประการทั้งปวงถึงอรรถ
นี้ กล่าวคือพระขีณาสพไม่ถูกโลกธรรมฉาบทา อันเป็นเหตุให้ถึงความ
ไม่ขวนขวาย เพื่อให้หมอเยียวยาโรคเช่นนั้น. ด้วยบทว่า อิมํ อุทานํ
พระองค์ทรงเปล่งอุทานนี้ อันเป็นความแจ่มแจ้งแห่งสังขตธรรมอันถึง
ความไม่คับแค้นด้วยทุกขธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพกมฺมชหสฺส ได้แก่ ผู้ละกรรม
ทั้งหมดได้แล้ว. จริงอยู่ จำเดิมแต่เวลาที่อรหัตมรรคเกิดขึ้น กุศลกรรม
และอกุศลกรรมทั้งปวง ชื่อว่าเป็นอันพระอรหันต์ละได้แล้ว เพราะไม่
สามารถจะให้ปฏิสนธิได้, อันเป็นเหตุให้เรียกอริยมรรคญาณว่า กระทำ
ความสิ้นไปแห่งกรรม. บทว่า ภิกฺขุโน ได้แก่ ชื่อว่าเป็นภิกษุ เพราะ
ทำลายกิเลส. บทว่า ธุนมานสฺส ปุเรกตํ รชํ ความว่า ทุกขฺเวทนียกรรม
อันได้นามว่า รชํ เพราะเจือด้วยกิเลสดุจธุลี มีราคะเป็นต้น ที่กระทำ
ไว้ในกาลก่อนแต่การบรรลุพระอรหัต, ผู้ขจัด คือ กำจัดทุกขเวทนียกรรม
นั้น ด้วยการเสวยวิบาก, แต่เบื้องหน้าแต่กาลบรรลุพระอรหัต ย่อมไม่
เกิดกิริยาที่มีโทษเลย และกิริยาที่ไม่มีโทษก็เป็นเพียงกิริยาเท่านั้น เพราะ
ไม่มีความสามารถที่จะให้ผลเหตุตัดมูลรากของภพได้เด็ดขาด เหมือน
ดอกไม้ไม่สามารถจะให้ผลเพราะถูกตัดราก ฉะนั้น.
บทว่า อมมสฺสา ความว่า ชื่อว่าไม่ยึดถือว่าของเรา คือ เว้นจาก
มมังการ เพราะไม่ยึดถือว่าของเราในอารมณ์ไหน ๆ มีรูปารมณ์เป็นต้น.
เพราะผู้ที่มีมมังการย่อมให้แพทย์เป็นต้นรักษาร่างกาย ด้วยความรักตน.

ส่วนพระอรหันต์ไม่มีมมังการ เพราะฉะนั้น ท่านจึงวางเฉยได้แม้ในการ
ปรนนิบัติร่างกาย. บทว่า ฐิตสฺส ได้แก่ ผู้ข้ามโอฆะ แม้ทั้ง 4 แล้วตั้ง
อยู่บนบก คือพระนิพพาน หรือตั้งอยู่โดยไม่มีการท่องเที่ยวไปด้วยอำนาจ
การถือปฏิสนธิ. จริงอยู่ พระเสขะและปุถุชน ชื่อว่าย่อมท่องเที่ยวไป
ด้วยอำนาจจุติและปฏิสนธิ เพราะท่านละกิเลสและอภิสังขาร ยังไม่ได้
อนึ่ง พระอรหันต์ท่านเรียก ฐิโต ผู้ตั้งอยู่ เพราะไม่มีจุติและปฏิสนธินั้น.
อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ผู้ตั้งอยู่ในอริยธรรม 10 ประการ กล่าวคือพระ-
ขีณาสพ. บทว่า ตาทิโน ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยอริยฤทธิ์ 5 ประการ
ที่ท่านกล่าวไว้โดยนัยมีอาทิว่า เป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลว่าเป็นสิ่งไม่
ปฏิกูลอยู่ และประกอบด้วยอุเบกขามีองค์ 6 อันไม่หวั่นไหวด้วยโลก-
ธรรม 8 ชื่อว่าผู้คงที่ เพราะเป็นผู้คงที่ กล่าวคือความเป็นผู้เช่นเดียวกัน
ในอิฏฐารมณ์เป็นต้น. บทว่า อตฺโถ นตฺถิ ชนํ ลเปตเว ความว่า ไม่มี
ประโยชน์ที่จะกล่าวคือพูดกะชนว่า ท่านทั้งหลายจงปรุงเภสัชเป็นต้นแก่
เรา เพราะไม่มีความอาลัยในร่างกาย. จริงอยู่ อัธยาศัยของพระขีณาสพ
(มี) ว่า กายนี้จงแตกตกไปของทีเดียว เหมือนใบไม้เหลืองหล่นจากขั้ว
ฉะนั้น. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า
เราไม่หวังความตาย ไม่หวังความเป็นอยู่ แต่
ยังหวังกาลเวลา เหมือนลูกจ้างหวังค่าจ้างฉะนั้น.

อีกอย่างหนึ่ง พระขีณาสพไม่มีความต้องการเพื่อจะแสดงนิมิต
อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วกล่าวกะชนว่า พระผู้เป็นเจ้าต้องการอะไร คือ เพื่อ
ให้ชนพูดโดยการเชื้อเชิญด้วยปัจจัยทั้งหลาย เพราะท่านถอนมิจฉาชีพเช่น
นั้นเสียได้ด้วยมรรคจิตนั่นเอง.

ดังนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงประกาศเหตุในการให้เยียวยาพระ-
เถระ สำหรับเหล่าชนผู้คิดว่า เพื่อประโยชน์อะไร พระเถระนี้จึงให้หมอ
เยียวยาโรคของตนแล้ว นั่งในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า
จบอรรถกถากรรมสูตรที่ 1

2. นันทสูตร



ว่าด้วยเรื่องบอกคืนสิกขาลาเพศ



[67] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่าน
พระนันทะพระภาดาของพระผู้มีพระภาคเจ้า โอรสของพระมาตุจฉา ได้
บอกแก่ภิกษุเป็นอันมากอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผมไม่ยินดี
ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่สามารถจะทรงพรหมจรรย์อยู่ได้ ผมจะบอกคืน
สิกขาลาเพศ ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่
ประทับถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระนันทะพระภาดา
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า โอรสของพระมาตุจฉา ได้บอกแก่ภิกษุเป็นอัน
มากอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผมไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์
ไม่สามารถจะทรงพรหมจรรย์ ผมจะบอกคืนสิกขาลาเพศ ลำดับนั้นแล
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งว่า มาเถิดภิกษุ เธอจงเรียก
นันทภิกษุมาตามคำของเราว่า ดูก่อนท่านนันทะ พระศาสดารับสั่งให้หา