เมนู

ผู้เจริญ ข้าพระองค์นั้นแลเป็นผู้อันราชบุรุษรักษาแล้วคุ้มครองแล้วอย่างนี้
ยังเป็นผู้กลัว หวาดเสียว ระแวง สะดุ้งอยู่ แต่บัดนี้ ข้าพระองค์ผู้เดียว
อยู่ป่าก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดี อยู่เรือนว่างก็ดี ไม่กลัว ไม่หวาดเสียว ไม่ระแวง
ไม่สะดุ้ง มีความขวนขวายน้อย มีขนตก เป็นไปอยู่ด้วยของที่ผู้อื่นให้ มี
ใจดุจเนื้ออยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เห็นอำนาจประโยชน์นี้แล
อยู่ในป่าก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดี อยู่เรือนว่างก็ดี จึงได้เปล่งอุทานเนือง ๆ ว่า
สุขหนอ สุขหนอ.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ความกำเริบ (ความโกรธ) ย่อมไม่มีจากจุติของ
พระอริยบุคคลผู้ก้าวล่วงความเจริญและความเสื่อมมี
ประการอย่างนั้น เทวดาทั้งหลาย ย่อมไม่สามารถ
เพื่อจะเห็นพระอริยบุคคลนั้นผู้ปราศจากภัย มีความ
สุข ไม่มีความโศก.

จบกาฬิโคธาภัททิยสูตรที่ 10
จบมุจจลินทวรรคที่ 2


อรรถกถากาฬิโคธาภัททิยสูตร



กาฬิโคธาภัททิยสูตรที่ 10 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อนุปิยายํ ได้แก่ ใกล้พระนครอันมีชื่ออย่างนี้. บทว่า
อมฺพวเน ความว่า ในที่ไม่ไกลแต่นครนั้น เจ้ามัลละทั้งหลายได้มีสวน
มะม่วงแห่งหนึ่ง ในสวนมะม่วงนั้น เจ้ามัลละทั้งหลายได้สร้างวิหารถวาย

แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า วิหารนั้นเขาเรียกกันว่าอัมพวัน. พระผู้มีพระภาค-
เจ้าทรงกระทำอนุปิยนครให้เป็นโคจรคาม ประทับอยู่ในอัมพวันนั้น.
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อนุปิยายํ วิหรติ อมฺพวเน. บทว่า ภทฺทิโย
เป็นชื่อของพระเถระนั้น. บทว่า กาฬิโคธาย ปุตฺโต ความว่า สักยราช-
เทวี สากิยานี พระนามว่า กาฬิโคธา เป็นพระอริยสาวิกา บรรลุอริยผล
แล้วเข้าใจศาสนาแจ่มแจ้งแล้ว, พระเถระนี้เป็นบุตรของพระนาม.
บรรพชาวิธีของพระเถระนั้นมาในขันธกะนั้นแล. พระเถระนั้น ครั้น
บรรพชาแล้วเริ่มตั้งวิปัสสนา ไม่นานนักก็ได้อภิญญา 6 ท่านสมาทาน
ประพฤติธุดงค์แม้ทั้ง 13. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสถาปนาท่านไว้ใน
เอตทัคคะในทางผู้มีสกลสูงว่า ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุผู้สาวกของเราผู้
มีสกุลสูง บุตรของพระนางกาฬิโคธา ชื่อว่าภัททิยะ เป็นผู้หนึ่งที่อยู่ใน
จำนวนพระสาวก 80 องค์.
ด้วยบทว่า สุญฺญาคารคโต ท่านกล่าวว่า เว้นบ้านและอุปจาร
บ้าน นอกนั้นชื่อว่าป่า, เว้นป่าและโคนไม้เสีย ที่อยู่อาศัยอย่างอื่นมีซอก
ภูเขาเป็นต้นอันสมควรแก่บรรพชิต ท่านประสงค์เอาว่า สุญญาคารในที่นี้
เพราะไม่แออัดด้วยหมู่ชน. อีกอย่างหนึ่ง แม้เรือนหลังใดหลังหนึ่งที่สงัด
ก็พึงทราบว่าสุญญาคารเพราะไม่มีเสียงที่เป็นข้าศึกต่อฌาน. ผู้เข้าถึงสุญญา-
คารนั้น. บทว่า อภิกฺขณํ แปลว่า มากหลาย. บทว่า อุทานํ อุทาเนสิ
ความว่า เพราะท่านผู้มีอายุนั้นแม้เข้าพักผ่อนกลางวันก็ดี เข้าพักผ่อน
ตอนกลางคืนก็ดี โดยมาก ให้กาลผ่านไปด้วยสุขอันเกิดแต่ผลสมาบัติ และ
สุขอันเกิดแต่นิโรธ ฉะนั้น ท่านหมายเอาสุขนั้น จึงเกลียดสุขในราช-
สมบัติอันมีภัย มีความเร่าร้อน อันตนเคยเสวยในกาลก่อน จึงเปล่งถึง

สุขอันเกิดพร้อมด้วยโสมนัส มีญาณเป็นสมุฏฐาน มิปีติเป็นสมุฏฐานว่า
สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ ดังนี้.
บทว่า สุตฺวาน เตสํ เอตทโหสิ ความว่า ภิกษุเป็นอันมากเหล่า
นั้น ครั้นได้ฟังอุทานของท่านผู้มีอายุเปล่งว่า สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ
ก็ได้มีปริวิตกดังนี้ว่า ท่านผู้มีอายุนี้ เบื่อหน่ายประพฤติพรหมจรรย์ โดย
ไม่ต้องสงสัย จริงอยู่ ภิกษุเหล่านั้นเป็นปุถุชน เมื่อไม่รู้อุทานอันหมาย
ถึงสุขอันเกิดแต่วิเวกของท่านผู้มีอายุนั้น จึงได้ดูหมิ่นอย่างนั้น ด้วยเหตุ
นั้น ท่านจึงกล่าวคำว่า นิสฺสํสยํ ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิสฺสํสยํ คือ โดยไม่ต้องสนเท่ห์
อธิบายว่า โดยแท้จริง. อาจารย์บางพวกกล่าวบาลีเป็นต้นว่า ยํ โส
ปุพฺเพ อคาริยภูโต สมาโน
(ท่านเป็นผู้ครองเรือนในกาลก่อน เสวย
สุข ใด) แล้วพรรณนาอรรถด้วยคำที่เหลือว่า อนุภวิ (เสวย) อาจารย์
อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ยํส แต่บาลีเป็น ยํส ปุพฺเพ อคาริยภูตสฺส.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ยํส ตัดเป็น ยํ อสฺส, เพราะลบ อ อักษรและ
อักษร ด้วยอำนาจสนธิ เหมือนในประโยคมีอาทิว่า เอวํส เต และ
ว่า ปุปฺผํสา อุปฺปชฺชติ. พึงทราบความหมายของคำนั้นดังต่อไปนี้ ท่าน
พระภัททิยะนั้น ก่อนแต่บวช เป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนเสวยสุขในราช-
สมบัติใด. บทว่า โส ตมนุสฺสรมาโน ความว่า บัดนี้ ท่านหวนระลึก
ถึงสุขนั้น ด้วยความเบื่อหน่าย.
บทว่า เต ภิกฺขู ภควนฺตํ เอตทโวจุํ ความว่า ภิกษุเป็นอันมาก
เหล่านั้นตั้งอยู่ในสภาพกล่าวอวด จึงได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาค-
เจ้า โดยประสงค์จะอนุเคราะห์ท่าน ไม่ใช่ประสงค์จะยกโทษ. บทว่า

อญฺญตรํ ได้แก่ภิกษุรูปหนึ่งผู้ไม่ปรากฏนามและโคตร. บทว่า อามนฺเตสิ
ได้แก่ มีพระประสงค์จะให้ภิกษุเหล่านั้นเข้าใจ จึงมีพระบัญชา. บทว่า
เอวํ ได้แก่ ในการรับพระดำรัส . อธิบายว่า ดังข้าพระองค์ขอวโรกาส.
บทว่า เอวํ ได้แก่ ด้วยการปฏิญญาอีก. บทว่า อภิกฺขณํ อโห สุขํ
อโห สุขนฺติ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ
ความว่า รับรู้อุทานของตนว่า
ข้อนั้น จงเป็นอย่างนั้น คือ จงเป็นโดยประการที่ภิกษุเหล่านั้นกล่าว.
บทว่า กึ ปน ตฺวํ ภทฺทิย ถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ตรัสถาม พระองค์ไม่ทรงทราบจิตของท่านหรือ ? ตอบว่า ไม่ทรงทราบ
ก็หามิได้ ก็เพราะเหตุนั้นนั่นแล พระองค์จึงตรัสถาม เพื่อให้กล่าวเรื่องนั้น
แล้วให้ภิกษุเหล่านั้นยินยอม. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้มีอาทิว่า พระ-
ตถาคตทั้งหลายทั้งที่รู้ตรัสถามก็มี ทั้งที่รู้ไม่ตรัสถานก็มี. บทว่า อตฺถวสํ
แปลว่า เหตุ.
บทว่า อนฺเตปุเร ได้แก่ ในภายในพระราชตำหนักอันเป็นที่สัญจร
ของสาวชาววัง อันเป็นที่ทรงสนาน ทรงเสวย และเป็นที่บรรทมเป็นต้น
ของพระราชา. บทว่า รกฺขา สุสํวิหิตา ได้แก่ การคุ้มครองอันพวก
ราชบุรุษกระทำการรักษาอย่างกวดขัน ได้จัดแจงไว้โดยรอบอย่างดี. บท
ว่า พหิปิ อนฺเตปุเร ได้แก่ ในราชตำหนักอันเป็นภายนอกจากภายใน
พระราชวัง มีหอคอยเป็นต้น . บทว่า เอวํ รกฺขิโต โคปิโต สนฺโต
ความว่า ข้าพระองค์นั้นเป็นผู้อันราชบุรุษหลายร้อยรักษา คุ้มครอง เพื่อ
ความปลอดภัย เพื่อความอยู่สำราญของข้าพระองค์เอง ด้วยการจัดแจง
การรักษาป้องกัน และคุ้มครองอย่างดีในที่มากมาย ทั้งภายในและภาย-
นอกพระตำหนักราชธานี ราชอาณาเขต ด้วยประการอย่างนี้. บทว่า
ภีโต เป็นต้น เป็นไวพจน์ของกันและกัน. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ภีโต

ได้แก่ อันราชศัตรูเกรงกลัว. บทว่า อุพฺพิคฺโค ได้แก่ เป็นผู้หวาด
หวั่นไหวด้วยความหวาดภัยอันเกิดจากการก่อความกำเริบตามปกติ แม้ใน
ราชสีมาอาณาจักร. บทว่า อุสฺสงฺกี ได้แก่ ระแวงอยู่เป็นเบื้องหน้า
ด้วยการไม่วางใจในที่ทุกแห่ง และด้วยความระแวงถึงกิจและกรณียะนั้น
เพราะคำพูดว่า ธรรมดาพระราชาไม่ควรไว้วางใจทุก ๆ เวลา. บทว่า
อุตฺราสี ได้แก่ สะดุ้งด้วยความสะดุ้งอันสามารถทำให้เกิดตัวสั่นอันเกิดขึ้น
ว่า ในกาลบางคราว ความพินาศพึงมีแก่เราผู้ไม่รู้ตัวเลย แม้เพราะคน
ใกล้ชิด. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อุตฺราโส ดังนี้ก็มี. บทว่า วิหาสึ
ได้แก่ เราเป็นอย่างนี้อยู่.
บทว่า เอตรหิ ได้แก่ บัดนี้ นับตั้งแต่เวลาที่บวชมา. บทว่า เอโก
ได้แก่ ไม่มีเพื่อน, ด้วยบทว่า เอโก นั้น ท่านแสดงถึงความเป็นผู้มี
ตนหลีกออกแล้ว . พึงทราบอรรถแห่งบทว่า อภีโต เป็นต้น โดยปริยาย
ตรงกันข้ามกับคำที่กล่าวแล้ว. ท่านแสดงถึงจิตวิเวกด้วยคำมีอาทิว่า
ความที่ท่านไม่มีความกลัวเป็นต้น เพราะไม่มีการกำหนดจับนิมิตมีภัยเป็น
ต้น และภัยคือกิเลสอันมีการกำหนดนั้นเป็นนิมิต. บทว่า อปฺโปสฺสุกฺโก
ได้แก่ปราศจากความขวนขวายในการคุ้มครองร่างกาย. บทว่า ปนฺนโลโม
ได้แก่ ไม่มีขนชูชัน เพราะไม่มีความหวาดเสียวอันทำให้เกิดขนชูชันเป็น
ต้น. ด้วยบททั้งสอง ท่านแสดงถึงการอยู่อย่างเสรี. บทว่า ปรทวุตฺโต
ความว่า เป็นไปอยู่ด้วยจีวรเป็นต้นที่คนอื่นให้, ด้วยบทนั้น ท่านแสดงถึง
การเว้นจากเหตุแห่งภัยโดยเด็ดขาด ด้วยมุขคือความไม่มีความติดขัดโดย
ประการทั้งปวง. บทว่า มิคภูเตน เจตสา ได้แก่ มีจิตเกิดเป็นเหมือน
มฤค เพราะอยู่อย่างโล่งใจ. จริงอยู่ มฤคอยู่ในป่าอันเป็นถิ่นที่ไม่มีมนุษย์

จะยืนนั่งนอนก็โล่งใจ และก้าวไปตามความปรารถนา เที่ยวไปโดยไม่ติด
ขัด ท่านแสดงว่า แม้เราก็อยู่อย่างนั้น. สมจริงดังที่พระปัจเจกพุทธเจ้า
ตรัสไว้ว่า
วิญญูชนมุ่งถึงความเสรีภาพ เป็นผู้เดียวเที่ยวไป
เหมือนนอแรด เปรียบเหมือนมฤคในป่าไม่ถูกมัดไว้
เที่ยวหากินไปตามความปรารถนา.

บทว่า อิมํ โข อหํ ภนฺเต อตฺถวสํ ความว่า ข้าแต่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพระองค์เมื่อพิจารณาเห็นเหตุคือสุขอันเกิดแต่วิเวก
และสุขอันเกิดแต่ผลสมาบัติอันยอดเยี่ยมนี้เท่านั้น จึงเปล่งอุทานว่า สุขหนอ
สุขหนอ.
บทว่า เอตมตฺถํ ความว่า ทรงทราบโดยทุกประการ ถึงความนี้
กล่าวคือสุขอันเกิดแต่วิเวกอันล่วงวิสัยปุถุชน ของพระภัททิยเถระ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺสนฺตรโต น สนฺติ โกปา ความ
ว่า กิเลสมีราคะเป็นต้น ชื่อว่าทำจิตให้กำเริบ เพราะเป็นเหตุทำจิตให้
ฟุ้งขึ้นตามเวลา (และ) ความโกรธมีหลายประเภท ต่างโดยเหตุมีอาฆาต-
วัตถุเป็นต้น ย่อมไม่มีในภายใน คือในจิตของตน จากจิตของพระอริย-
บุคคลใดชื่อว่าย่อมไม่มี เพราะพระอริยบุคคลละได้ด้วยมรรค. จริงอยู่
อันตรศัพท์นี้ ปรากฏในเหตุ ในประโยคมีอาทิว่า ส่วนเราและท่านเป็น
เพราะอะไร. ปรากฏในท่ามกลาง ในประโยคมีอาทิว่า ในสมัยหิมะตกอัน
ตั้งอยู่ในท่ามกลาง. ปรากฏในระหว่าง ในประโยคมีอาทิว่า ระหว่างพระ-
วิหารเชตวันกับกรุงสาวัตถี. ปรากฏในจิต ในประโยคมีอาทิว่า ภัยเกิดจาก
จิตดังนี้ก็จริง, แม้ในที่นี้ พึงเห็นอันตรศัพท์ ใช้ในจิตเท่านั้น. ด้วยเหตุ
นั้น ท่านจึงกล่าวว่า อนฺตรโต อตฺตโน จิตฺเต จากจิต คือในจิตของตน.

บทว่า อิติ ภวาภวตญฺจ วีติวตฺโต ความว่า เพราะเหตุที่สมบัติ
ชื่อว่า ภพ วิบัติชื่อว่า อภพ. อนึ่ง ความเจริญชื่อว่า ภพ ความเสื่อมชื่อ
ว่า อภพ. อนึ่ง ความเที่ยงชื่อว่า ภพ ความขาดสูญชื่อว่า อภพ. อนึ่ง
บุญชื่อว่า ภพ บาปชื่อว่า อภพ. อนึ่ง สุคติชื่อว่า ภพ ทุคติชื่อว่า อภพ.
อนึ่ง ภพเล็ก ชื่อว่า ภพ ภพใหญ่ ชื่อว่า อภพ. ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า
เป็นภวาภวะ ภพ อภพ มีประการเป็นอเนก คือ สมบัติ วิบัติ ความ
เจริญ ความเสื่อม ความเที่ยง ความขาดสูญ บุญ บาป สุคติ ทุคติ
และอุปบัติภพน้อยใหญ่. พระอริยบุคคลผ่านพ้น คือก้าวล่วงความโกรธ
นั้น และภพ อภพ ดังกล่าวมาในนัยนั้น ๆ ตามความเป็นจริง ด้วย
อริยมรรคทั้ง 4. พึงเปลี่ยนวิภัตติไปตามอรรถ. บทว่า ตํ วิคตภยํ ความ
ว่า ซึ่งพระขีณาสพนั่น คือ เห็นปานนั้น ผู้ประกอบด้วยคุณดังกล่าวแล้ว
ชื่อว่า ผู้ปราศจากภัย เพราะปราศจากเหตุแห่งภัยโดยไม่มีความกำเริบ
แห่งจิต และโดยก้าวล่วงภวาภวะดังกล่าวแล้ว, ชื่อว่า มีความสุข ด้วย
สุขอันเกิดแต่วิเวก และสุขอันเกิดแต่มรรคจิตและผลจิต, ชื่อว่า ผู้ไม่มี
ความโศก
เพราะปราศจากภัยนั่นเอง. บทว่า เทวานานุภวนฺติ ทสฺสนาย
ความว่า อุปบัติเทพแม้ทั้งหมด เว้นผู้บรรลุมรรค แม้พยายามอยู่ ก็ไม่ได้
ไม่อาจ ไม่สามารถ เพื่อจะเห็น คือ แลเห็น ด้วยการเห็นโดยการท่อง
เที่ยวไปแห่งจิต จะป่วยกล่าวไปไยถึงพวกมนุษย์เล่า ก็แม้พระเสขะทั้ง
หลาย ก็ไม่รู้ความเป็นไปแห่งจิตของพระอรหันต์ ได้เหมือนปุถุชนไม่รู้
ความเป็นไปแห่งจิตของพระเสขะแล.
จบอรรถกถากาฬิโคธาภัททิยสูตรที่ 10
จบมุจลินทวรรควรรณนาที่ 2


รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
1. มุจจลินทสูตร 2. ราชสูตร 3. ทัณฑสูตร 4. สักการสูตร
5. อุปาสกสูตร 6. คัพภินีสูตร 7. เอกปุตตสูตร 8. สุปปวาสาสูตร
9. วิสาขาสูตร 10. กาฬิโคธาภัททิยสูตร และอรรถกถา.

นันทวรรคที่ 3



1. กรรมสูตร



ว่าด้วยการละกรรมทั้งหมด



[66] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ภิกษุ
รูปหนึ่งนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงอยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า อดกลั้น
ทุกขเวทนาอันกล้าเผ็ดร้อนซึ่งเกิดแต่ผลแห่งกรรมเก่า มีสติสัมปชัญญะ
ไม่พรั่นพรึงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุนั้น นั่งคู้
บัลลังก์ตั้งกายตรงอยู่ในที่ไม่ไกล อดกลั้นทุกขเวทนาอันกล้าเผ็ดร้อนซึ่ง
เกิดแต่ผลแห่งกรรมเก่า มีสติสัมปชัญญะ ไม่พรั่นพรึงอยู่.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึง
ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ภิกษุละกรรมทั้งหมดได้แล้ว กำจัดกรรมเป็นดัง
ธุลีที่ตนทำไว้แล้วในก่อน ไม่มีการยึดถือว่าของเรา
ดำรงมั่นคงที่ ประโยชน์ที่จะกล่าวกะชน (ว่าท่านจง
ทำยาเพื่อเรา) ย่อมไม่มี.

จบกรรมสูตรที่ 1